“หือ?”
ิอวี่หันหน้ากลับมา เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าคนคนนั้นจะเอ่ยปากพูดกับเขา
“ไม่มีอะไรน่าแปลกใจหรอก เ้าเองก็ถือว่าพอมีฝีมือ ข้าเห็นแล้วก็ไม่ได้ขัดหูขัดตา ไม่อย่างนั้น ข้าไม่มีทางพูดกับเ้าหรอก” ชายคนนั้นยิ้ม
ิอวี่เลิกคิ้วขึ้น เขาคนนั้นก็ดูเป็คนตรงๆ ดี ถึงแม้คำพูดจะดูขวานผ่าซากไปหน่อย ซึ่งิอวี่ไม่ค่อยชอบ แต่อย่างน้อยก็พูดมาจากใจไม่ได้เสแสร้ง
“ที่จูหงกับเหลียงชิงซานแตกหักกัน เ้าไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?” ิอวี่เห็นเขานิ่งเฉยตลอด เลยถามด้วยความสงสัย
ชายคนนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “การที่เ้าเอ่ยปากถามข้าแบบนี้ แสดงว่าประสบการณ์ที่เ้าเจอมาน่ะมันยังน้อยนัก”
“คำว่าพี่น้อง พูดกันจริงๆ ก็แค่การมีผลประโยชน์ต่อกันเท่านั้นแหละ คำสาบานที่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟด้วยกัน มันก็สามารถพังทลายลงได้ต่อหน้าผลประโยชน์ที่ยั่วยวนที่สุด เ้าว่ามันคือการทรยศหักหลังหรือเปล่า? ที่จริงมันก็คือธรรมชาติของมนุษย์”
ิอวี่ขมวดคิ้ว “แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับเ้านะ แม้ว่าโลกใบนี้จะเต็มไปด้วยการหลอกลวง แต่มันก็ยังมีความจริงใจที่คุ้มค่าที่จะคบหาอยู่นะ”
“ข้าบอกไปแล้ว เ้าน่ะประสบการณ์ยังน้อย”
คนคนนั้นพูดอย่างเรียบง่ายว่า “หลายครั้งสิ่งที่เ้าคิดว่าจริงใจ แต่ในความเป็จริงเ้ากลับมองไม่เห็น ในโลกใบนี้มันเต็มไปด้วยผู้อ่อนแอที่เป็เนื้อ ส่วนผู้แข็งแกร่งก็คือผู้ที่ได้กินเนื้อก้อนนั้น ผลประโยชน์อยู่ในทุกหนทุกแห่ง เมื่อเข้าไปในสำนักเทพอัคคีซึ่งทุกคนกระหายผลประโยชน์ทุกอย่างที่อยู่ในนั้น เ้าก็จะได้เห็นความเป็ธรรมชาติของมนุษย์ที่แท้จริง!”
“สิ่งที่ข้าอยากจะบอกเ้าก็คือ ต่อให้เ้าจะรู้สึกว่ามนุษย์น่ารังเกียจ แต่ตัวเ้าก็ไม่ได้ผิดอะไร ก็แค่แย่งชิงผลประโยชน์เท่านั้น ต่อให้ตอนนี้เ้าจะเต็มไปด้วยคุณธรรม แต่เมื่อเข้าสำนักเทพอัคคีไปแล้วเ้าก็จะกลายเป็คนแบบนั้น แต่อย่าได้เสียใจไปนะ เพราะถึงเวลานั้นเ้าก็จะเข้าใจความเป็จริงของโลกนี้ และเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง”
ิอวี่ตั้งใจฟังมาก แต่ยิ่งฟังในใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
ที่จริง ที่คนคนนั้นพูดก็มีเหตุผล แต่ว่า ... มันจะเป็อย่างนั้นจริงหรือ?
“ดังนั้นเ้ากำลังจะบอกข้าว่า ความตั้งใจเดิมของเ้ามันไม่มีอยู่อีกแล้วใช่ไหม?” ิอวี่หันไปถาม
“ถูกต้อง” คนคนนั้นตอบแบบไม่ปิดบังและมั่นใจอย่างมากด้วย มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่มันเป็คำตอบที่จริงที่สุด
สายตาของิอวี่ยึดมั่นถือมั่น เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แน่ว่า หลังจากนี้ไม่ว่าข้าจะเจออะไร ข้าก็จะยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยก็ได้นะ”
ิอวี่ก็ไม่ได้ตอบแบบมั่นใจนัก เพราะเขารู้สึกว่าหากพูดแบบนั้นมันดูไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไร แต่ในใจของเขานั้นก็เข้าใจดี ความตั้งใจแรกของเขาไม่มีทางถูกผลประโยชน์ทำลายลงได้!
“เหอะๆ ”
คนคนนั้นมองมาที่ิอวี่แล้วพูดอย่างมีเลศนัยว่า “หากเ้าเข้าสำนักเทพอัคคีได้ ผ่านไปสักครึ่งปีค่อยมาพูดกับข้าแบบนี้นะ”
พอพูดจบก็เหมือนว่าเขาไม่อยากพูดอะไรกับิอวี่อีก ชายคนนั้นเดินไปขึ้นเหยี่ยวหัวล้านที่ขี้หงุดหงิดของเขา แล้วตรงลงไปในกระแสทรายวนและหายไปทันที
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน จูหงกับเหลียงชิงซานก็สู้กันจนใกล้หมดเสียงแล้ว
ิอวี่หันกลับไปดูก็เห็นกับตาว่าจูหงแทงดาบเข้าไปที่หน้าท้องของเหลียงชิงซาน ส่วนเหลียงชิงซานก็ดึงดาบออกมาจากหน้าท้องและฉวยโอกาสฟันดาบไปที่หัวของจูหง!
เคยร่วมเป็ร่วมตายกันมา อยู่ด้วยกันไม่ห่าง แต่ตอนนี้ทั้งสองคนถึงคราวแตกหัก คนหนึ่งเจ็บหนัก คนหนึ่งตายไปเลย
ิอวี่ถอนหายใจยาวๆ แล้วก็หันหลังกลับไปขึ้นหลังเ้าวิหคัปีกมืดบินเข้าไปในกระแสทรายวน โดยไม่ได้ไปสนใจเหลียงชิงซานที่สุดท้ายก็ได้เป็ผู้ชนะ แต่กลายเป็บ้านั่งหัวเราะอยู่ที่พื้น
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของิอวี่บิดเบี้ยว ทุกอย่างมืดไปหมด เขารู้สึกว่าตัวของเขาเหมือนจะเปลี่ยนรูปแล้วถูกดึงเข้าไปในมิติที่แปลกประหลาด ตอนที่ิอวี่รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเขาอยู่ในอุโมงค์อวกาศสีม่วงดำ!
พลังงานในพื้นที่สีม่วงดำวนรอบตัวไปทางด้านหลังของิอวี่อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เขาอยู่้าวิหคัปีกมืดพุ่งทะยานไปด้านหน้าที่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างบ้าคลั่ง
ความเร็วที่พุ่งไปข้างหน้านั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ร่างของิอวี่กับวิหคัปีกมืดกำลังผ่านอุโมงค์เหมือนะุที่รวดเร็ว ร่างนั้นเบลอและดูเหมือนเศษเงา
ิอวี่กับวิหคัปีกมืดเสียดสีกับอากาศจนเกิดเสียง เขาเกาะคอของวิหคัปีกมืดแน่นและหลับตาสนิท เพราะมันมีความรวดเร็วมากจนเขารู้สึกเวียนหัว
สภาพแบบนี้เป็อยู่แค่ครู่หนึ่งเท่านั้น แต่มันดูยาวนานเป็ศตวรรษเลย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่ิอวี่รู้สึกว่ารอบตัวของเขานั้นมีแสงสว่าง อากาศเริ่มบริสุทธิ์ มีลมพัดเย็นสบายพัดมาที่ใบหน้าของเขา
“ถึงแล้วหรือ?!”
ิอวี่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าตนเองอยู่เหนือทะเลเมฆหมอกที่สูงบนท้องฟ้า ในเวลานี้อยู่ทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามกำลังขึ้นมาอย่างช้าๆ ส่องแสงอรุณแห่งความหวังขึ้นมา
ิอวี่พยายามควบคุมอาการวิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้ที่เกิดจากการเดินทางผ่านมิติพื้นที่ด้วยความเร็วสูงเข้ามา แต่เมื่อเขามองลงไปด้านล่าง สิ่งที่ได้เห็นนั้นกลับเป็ภาพที่ทำให้เขาตะลึง!
สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันคือร่องเขาสีแดงทองที่กว้างใหญ่ตั้งตระหง่านเป็ชั้นๆ สลับกันไป หากดูใกล้ๆ จะพบว่ามันไม่ใชู่เาสีแดงทอง แต่เป็ตะเข็บร่องเขาที่มีลาวาสีแดงไหลผ่านลงมา!
ตะเข็บบนพื้นนั้นมีทั้งหมดเก้าสาย แต่ละสายไม่ต่างอะไรกับัตัวใหญ่สีแดงทองวนเลื้อยสลับกันไปมาจนดูยุ่งเหยิงไปหมด ซึ่งมารวมตัวกันเป็ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่หาดูได้ยากมากในยุคสมัยนี้!
ถึงแม้จะอยู่ไกล แต่ิอวี่ก็ยังััได้ว่ามันมีความร้อนแผ่ออกมาจากลาวาทั้งเก้าสาย!
ลาวาสีแดงทองพวกนั้นยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องราวกับมีชีวิต บนเทือกเขาขนาดใหญ่เหล่านี้ยังมีควันสีขาวจางๆ ปกคลุมไปทั่ว ทำให้พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้ราวกับดินแดนบน์ที่เต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาดและความลึกลับ
“นี่น่ะหรือสำนักเทพอัคคี!”
สายตาของิอวี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในหัวของเขาก่อนหน้านี้มีภาพจินตนาการของสำนักเทพอัคคีเต็มไปหมด ซึ่งเขาเองก็เตรียมใจมาแล้ว แต่พอมาถึงที่นี่จริงๆ ในใจของเขาก็อดที่จะรู้สึกตะลึงไปไม่ได้เลย!
เมื่อได้มาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ิอวี่รู้สึกว่าพลังแห่งฟ้าดินของที่นี่มันหนาแน่นมากกว่าราชวงศ์ต้าิอย่างน้อยสามเท่าตัว!
นั่นก็หมายความว่า หากฝึกวิชาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ก็จะมีความเร็วมากกว่าปกติอย่างน้อยสามเท่า!
เดิมทีิอวี่ยังกังวลอยู่เลยว่าความเร็วในการฝึกวิชาของเขานั้นจะไม่เร็วพอ แต่ตอนนี้ เขาเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว!
พอคิดได้แบบนี้ิอวี่ก็ใช้พลังจิต เขาใช้ใจสื่อถึงกันสั่งให้เ้าวิหคัปีกมืดบินตรงไปด้านหน้า ระหว่างทาง ิอวี่ััได้ถึงลมปราณจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาจากรอบตัว กำลังมุ่งหน้ามารวมตัวกัน
อย่าคิดว่ามองเห็นสำนักเทพอัคคีอยู่ที่ปลายทางได้ชัดเจน เพราะในความเป็จริงมันเหมือนทางตัน เข้ามาได้ประมาณหนึ่งชั่วยามแล้วแต่ก็ยังไม่อาจเข้าถึงสำนักเทพอัคคีได้เลย
เพียงแต่ผู้กล้ารอบตัวเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนมีผู้กล้าแค่สองสามคนเท่านั้นที่อยู่ใกล้ิอวี่ แต่ตอนนี้รอบตัวของเขานั้นกลับมีผู้กล้าอยู่ถึงสิบคน และทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปที่สำนักเทพอัคคีเช่นกัน
ิอวี่พบว่าผู้กล้าเหล่านี้ล้วนแต่มีขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่เก้า แล้วจากท่าทางของพวกเขา ดวงตาของพวกเขา แต่ละคนก็มีพลังเทียบเท่าราชสีห์หนึ่งหมื่นตัวกันหมด!
เดิมทีการจะพบผู้กล้าที่มีพลังเทียบเท่าราชสีห์หนึ่งหมื่นตัวนั้นมันยากยิ่งกว่ายาก แต่ว่าที่นี่กลับมีถึงสิบคน ร้อยคน ... ไม่ อาจจะมีถึงพันคน!
ผู้กล้าเหล่านี้มาจากสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ทั้งหมดมาที่นี่เพราะ้าเข้าสำนักเทพอัคคี
ิอวี่ที่เคยดูโดดเด่นกว่าใครในสายตาคนอื่น เมื่อมาอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่นี่กลับเป็คนที่ดูธรรมดาที่สุดคนหนึ่ง
แต่ิอวี่ก็รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้น่าจะยังไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักเทพอัคคี แค่มีเงื่อนไขเบื้องต้นที่ตรงตามที่สำนักเทพอัคคี้าเท่านั้น และหลังจากที่ผ่านการทดสอบแล้วก็จะต้องได้รับการคัดเลือกอีกครั้ง
ในแผนที่ลึกลับมีการระบุตำแหน่งที่ตั้งของสำนักเทพอัคคีเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดเลยว่าจะต้องทดสอบอะไร มันทำให้ิอวี่เครียดมาก ดังนั้นเขาจึงเข้าไปหาชายคนหนึ่งที่หน้าตาอวบอ้วนดูเป็มิตร แล้วยกมือคำนับพูดอย่างมีมารยาทว่า “เ้าเองก็มาเข้าร่วมการทดสอบของสำนักเทพอัคคีใช่ไหม? ข้าชื่อิอวี่ ไม่ทราบเ้าชื่ออะไรหรือ?”
ชายคนนั้นพูดว่า “ข้าชื่อถังซื่อหรง มีอะไรหรือเปล่า? เ้ามีปัญหาอะไรหรือ?”
ิอวี่เกาหัวแล้วพูดว่า “ที่จริงก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ข้าแค่อยากรู้ว่าบททดสอบของทางสำนักเทพอัคคีมันคืออะไร? หากข้ารู้ก่อนล่วงหน้าจะได้เตรียมตัวได้”
“เื่นี้ข้าไม่รู้หรอก”
ถังซื่อหรงยักไหล่แล้วพูดว่า “สำนักเทพอัคคีไม่มีทางหลุดเนื้อหาในการทดสอบออกมาแน่ แต่ว่าหากดูตามเนื้อหาการทดสอบจากสองสายของสำนักเทพอัคคีก่อนหน้านี้ เนื้อหาการทดสอบในคราวนี้น่าจะเน้นไปที่ความอดทน การเข้าถึง และความสามารถในการต่อสู้มาคัดเลือก”
ิอวี่พยักหน้าแต่เขาก็ขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อน ... เมื่อครู่เ้าพูดว่าสองสาย หมายความว่าอย่างไร?”
“สองในสามสายของสำนักเทพอัคคีไง” ถังซื่อหรงมองมาที่ิอวี่ด้วยความแปลกใจ
ิอวี่งงหนักกว่าเก่า “สำนักเทพอัคคีมันไม่ใช่แค่สำนักเทพอัคคีหรือ แล้วมาจากไหนอีกสองสาย?”
ถังซื่อหรงมองไปที่ิอวี่ด้วยความงง เขาเอามือแตะหน้าผากแล้วพูดกับิอวี่ด้วยความจนใจว่า “พี่ชาย เ้าไม่รู้อะไรเลยแต่ยังมาเข้าร่วมการทดสอบของสำนักเทพอัคคีอีกเนี่ยนะ เ้าทำอะไรลวกๆ เกินไปหน่อยไหม?”
“เฮ้อ เห็นแก่ที่เ้าไม่รู้อะไรเลยจนน่าสงสาร ข้าจะบอกเ้าก็ได้ เ้าเห็นสำนักเทพอัคคีที่อยู่ด้านหน้านั้นไหม? ว่ากันว่าเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ใต้พื้นดินแห่งนี้มีลาวาที่หนาแน่นมากเพราะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ที่นี่เลยดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์มามาก ทำให้ลาวามันมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น!”
“หลังจากผ่านการวิวัฒนาการมากว่าแสนปี ลาวาพวกนี้ก็ดูดซับพลังงานที่มากพอจนทำให้มันร้อนมากขึ้น และทำให้เปลือกโลกเกิดการเคลื่อนที่ พื้นดินเกิดการยุบตัว จนกลายเป็ร่องเขา”
“เดิมทีลาวาพวกนี้มันปรากฏอยู่ในอากาศ และจะเกิดปฏิกิริยาเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง แต่ว่า เพราะลาวาพวกนี้มีความร้อนที่สูงมากมันเลยไม่กระจายหายไปไหน ยังคงเคลื่อนที่อยู่บนเปลือกโลกจนเกิดเป็ร่องเขาทั้งเก้าสาย และยังเป็ร่องตะเข็บพื้นที่เก้าสายที่มีลาวาอยู่ จึงถูกเรียกว่า เส้นสายแห่งเพลิง”
ิอวี่ฟังจนเคลิ้มแล้วก็ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นสองสายที่เ้าว่ามันอะไรกัน?”
ถังซื่อหรงเองก็เหมือนมีอารมณ์ร่วมตามไปเหมือนกัน เขายิ่งเล่ายิ่งละเอียด “เ้ารีบร้อนไปไหนกัน ฟังข้าพูดก่อนสิ เมื่อแสนปีก่อน หรือพูดให้ถูกก็เมื่อห้าแสนแปดหมื่นเก้าพันหกร้อยปี มีผู้กล้าคนหนึ่งมายังดินแดนแห่งนี้ เขาพบว่าที่นี่เป็สถานที่ธาตุหยางล้ำค่ามาก เขาจึงอาศัยทรัพยากรที่นี่ในการฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์ จากนั้นก็ใช้ดินแดนแห่งนี้ในการผลิดอกออกใบ ค้นหาผู้กล้ากลุ่มหนึ่งแล้วตั้งสำนักเทพอัคคีขึ้นมา เขาคนนั้นก็คือ ท่านเ้าสำนักเทพอัคคี”
“แรกเริ่มเดิมที สำนักเทพอัคคีก็ยังเป็หนึ่งเดียวกัน ศิษย์ทั้งหมดล้วนแต่ดูดซับพลังงานจากเส้นสายแห่งเพลิง พลังฝีกมือของพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้น เมื่อมีศิษย์กลุ่มหนึ่งออกจากสำนักเทพอัคคีไปก็ส่งผลให้สำนักเทพอัคคีได้รับความนิยมและมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
“จนท้ายที่สุด ศิษย์ของสำนักเทพอัคคีนั้นก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เพราะมีมากจนเกินจะรับไหว สำนักเทพอัคคีจึงเริ่มสร้างกฎเกณฑ์ และสุดท้ายก็ตั้งเป็กฎที่เข้มงวดมากขึ้นมา และเพราะมีศิษย์จำนวนมากเกินไป ทางสำนักเทพอัคคีก็เลยแบ่งออกเป็เก้ากลุ่มตามความสามารถและพร์ของศิษย์แต่ละคน แยกออกไปตามสายของพลังงานเก้าสายของสำนัก ศิษย์ที่ถูกจัดให้ไปอยู่ในแต่ละสายก็จะสามารถดูดซับได้แค่พลังงานลาวาในสายเดียวเท่านั้น ห้ามไปยังสายอื่นเด็ดขาด และเส้นสายแห่งเพลิงทั้งเก้าสายทั้งหมดถือเป็สำนักเทพอัคคีทั้งหมด ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า เส้นเืเก้าสาย”
