เสียงฟ้าร้องดังจากผืนนภา สายฝนปรอยลงมาชำระล้างเมืองเล็กๆ นอกูเาอูอิน ยามนี้พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าไปแล้ว
ฟ่านเถี่ยหนิว บุตรชายคนรองของตระกูลฟ่านยืนอยู่หน้าลานบ้าน ทอดสายตามองสายฝนด้านนอกที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จิตใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่น พลันได้ยินเสียงะโของแม่เฒ่าจากด้านใน ฟ่านเถี่ยหนิวหันไปตอบกลับแล้วเดินเข้าเรือน
“ท่านแม่ เรียกข้าหรือ”
แม่เฒ่าตระกูลฟ่านชรามากแล้ว สามีเสียชีวิตไปั้แ่นางยังสาวจึงอยู่เป็ม่ายมาถึงบัดนี้ เถี่ยหนิวเป็เด็กที่นางเก็บมาจากข้างถนน นางเป็แม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงดูเขาด้วยความรัก ชายหนุ่มเองก็กตัญญูต่อนางมาั้แ่เด็ก ผู้เป็มารดาถ่ายทอดทักษะการทำอาหารให้ รวมทั้งเปิดร้านอาหารเล็กๆ ในเมือง สองแม่ลูกดำเนินชีวิตอย่างราบเรียบมั่นคงเสมอมา เพียงแต่ว่าไม่นานนี้ฟ่านเถี่ยหนิวบังเอิญพบกับบางสิ่ง
ตอนนั้นยังเช้าตรู่ เป็่ที่สัตว์ป่าบนูเาออกมาหากิน ดังนั้นทุกๆ เช้าใน่หยินสือ [1] เถี่ยหนิวจะขึ้นเขาอูอินเพื่อล่าสัตว์
บรรยากาศวันนั้นยังคงเงียบสงบเหมือนเคย ผ่าน่หยินสือไปไม่นาน เถี่ยหนิว ก็สะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่และถือคบเพลิงขึ้นูเา น้ำค้างยามเช้ายังไม่ทันระเหยไปหมด เป็เวลาที่เหมาะกับการเก็บเห็ดซงลู่ [2]
ทางตอนเหนือของูเาอูอินคือจุดที่เถี่ยหนิวมักจะเดินทางไป แถบนั้นค่อนข้างห่างไกลไม่มีทางเดิน การขึ้นไปต้องอาศัยความคุ้นเคยและความจำ ไม่เช่นนั้นอาจหลงได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่คนที่มายังูเาลูกนี้ สถานที่นี้จึงถือได้ว่าเป็ที่ลับของเถี่ยหนิว เพราะเห็ดซงลู่ที่นี่เติบโตได้ดีและอุดมสมบูรณ์ที่สุด
เถี่ยหนิวลุยผ่านธารน้ำ เดินเลี่ยงป่าทึบ และเดินต่ออีกประมาณหนึ่งเค่อก็ไปถึงสถานที่นั้น พื้นที่นี้มีประชากรเบาบางจึงทำให้ของป่าอย่างเห็ดซงลู่ยังมีอยู่ทุกหนแห่ง
เถี่ยหนิวรีบนั่งยองๆ เก็บเห็ดซงลู่ แต่จู่ๆ เบื้องหน้าก็ถูกขวางไว้ด้วยเงามืด ชายหนุ่มพลันตื่นตระหนก ตอนแรกคิดว่าเป็สัตว์ป่า เตรียมหันหลังวิ่งหนีโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง คาดไม่ถึงว่าจะมีเสียงผู้ชายดังมาจากเหนือศีรษะ
“เ้านำสิ่งนี้ไปทำอาหารได้อย่างนั้นหรือ”
เถี่ยหนิวถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงคน จากนั้นจึงหันกลับมาก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนที่ในมือถือเห็ดซงลู่อยู่ ฝ่ายนั้นเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวัง
เถี่ยหนิวพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ดีเหลือเกิน!”
ชายคนนั้นดึงเถี่ยหนิวขึ้นไปบนเขา เถี่ยหนิวเป็บุรุษร่างกำยำ แต่กลับถูกชายร่างผอมจับจูงจนเกือบตามไม่ทัน คบเพลิงในมือก็แทบจะหลุดตก
หลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มก็ถูกพาไปยังที่ราบบนเขาซึ่งอยู่ไม่ไกล ตรงนั้นมีหินไข่ห่านปูอยู่บนพื้น บนก้อนหินมีหม้อเหล็กกำลังตั้งไฟ
“เ้าไปทำสิ!” ชายคนนั้นชี้ไปที่หม้อเหล็ก แล้วก็ชี้เห็ดซงลู่ในตะกร้าบนหลังของเถี่ยหนิว
ก็แค่ทำอาหาร เถี่ยหนิวรู้ดีว่านี่คือจุดแข็งของตนจึงไม่ปฏิเสธและบังเอิญว่าเขาก็หิวอยู่เหมือนกัน เพราะตื่นั้แ่ก่อนรุ่งสางจึงยังไม่ได้กินอะไรเลย
เห็ดซงลู่มีรสชาติดีและเหมาะสำหรับการทำซุปที่สุด ไม่จำเป็ต้องเติมเครื่องปรุงอะไรมาก อีกอย่างก็ไม่มีเครื่องปรุงใดๆ ติดมือมาด้วย ผ่านไปไม่นานซุปก็ต้มเสร็จ กลิ่นหอมอบอวลทำให้ผู้คนน้ำลายไหล
ดูเหมือนชายคนนั้นจะหิวจนแทบทนไม่ไหว เขาไม่สนใจว่าซุปกำลังเดือด แล้วใช้ช้อนไม้ตักมันเข้าปาก หลังจากดื่มซุปก็เลียริมฝีปากและยกนิ้วหัวแม่มือให้คนปรุง
“อร่อย!”
เถี่ยหนิวยกมือเกาหลังคอและยิ้มใสซื่อ จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินไปที่ตะกร้าสะพายหลังเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง สักพักก็หยิบถุงผ้าใบหนึ่งออกมา เมื่อเปิดดูก็พบแผ่นแป้งเซียนเล่า [3] อยู่สองสามชิ้นซึ่งเตรียมมาเป็อาหารเช้า
เขายื่นมันให้ชายคนนั้นแล้วเอ่ยว่า “เ้ากินไหม กินคู่กันจะยิ่งอร่อย”
อีกฝ่ายไม่คิดเกรงใจแล้วเอื้อมมือไปรับมากินทันที ดวงตาก็จ้องไปยังซุปเห็ดเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ
“ข้าก็ไม่เห็นว่าเ้าจะใส่เครื่องปรุงมากกว่าข้าเลย แต่เหตุใดซุปเห็ดที่ข้าทำถึงได้มีรสขม”
เถี่ยหนิวหัวเราะ หยิบเห็ดซงลู่ขึ้นมาแล้วชี้ไปยังส่วนบน “เ้าเห็นผงสีเหลืองบนนี้หรือไม่ สิ่งนี้เรียกว่าผงสนซึ่งมีรสขม เ้าต้องเอาผงนี้ออกก่อนจึงจะนำไปทำซุปได้”
ชายผู้นั้นพลันเข้าใจถึงสาเหตุ
หลังจากทั้งคู่รับประทานอาหารจนอิ่มหนำ ชายคนนั้นก็หันหลังตั้งท่าจะจากไป แต่ก่อนไปยังไม่วายเอ่ยถามเถี่ยหนิว
“เ้าอาศัยอยู่ที่ใด”
เถี่ยหนิวมิได้สงสัยในตัวเขา ตอบออกไปด้วยความจริงใจ “หมู่บ้านเล็กๆ ที่เชิงเขา”
ชายคนนั้นครุ่นคิดและถามอีกครั้ง “เ้ารู้จักสำนักมิ่งเก๋อหรือไม่"
เถี่ยหนิวพยักหน้า “แน่นอน ไม่มีใครในดินแดนเจ๋อที่ไม่รู้จัก”
“แล้วเ้ารู้ไหมว่าสำนักมิ่งเก๋ออยู่ที่ใด”
เถี่ยหนิวพยักหน้าและกล่าวว่า “อยู่ทางตอนใต้ของูเาอูอิน แต่ข้าไม่เคยไปมาก่อน”
ชายคนนั้นยิ้ม “ทุกวันที่สิบห้าของเดือน เ้าสามารถเดินทางมาทำอาหารที่สำนักมิ่งเก๋อได้หรือไม่”
“หา?” เถี่ยหนิวอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ
“วางใจได้ เ้าจะได้รับสิ่งตอบแทนแน่นอน ตกลงตามนี้!”
หลังพูดจบชายคนนั้นก็หันกลับไปในป่าทึบ
จากนั้นเป็ต้นมาทุกวันที่สิบห้าของเดือนจันทรคติ ฟ่านเถี่ยหนิวจะไปที่สำนักมิ่งเก๋อเพื่อปรุงอาหารให้ผู้คนที่นั่นได้รับประทาน เพียงแต่ทุกครั้งที่ไป นอกจากชายที่เขาเจอในครั้งก่อนก็ไม่เห็นใครสักคน
หลังจากทำอาหารที่สำนักมิ่งเก๋อได้สองเดือน วันหนึ่งก็มีชายสวมหน้ากากมาพบเขา เขามองไม่เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น แต่รู้สึกได้ถึงไอเย็นรอบกายเขา
ประโยคแรกที่ชายคนนั้นเอ่ยก็คือ “ข้าอยากขอให้เ้าช่วยอะไรสักอย่าง”
เสียงของเขาช่างไพเราะ ทว่าเ็าดั่งหน้ากากที่สวมใส่ ฟ่านเถี่ยหนิวไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรจึงได้แต่พยักหน้าด้วยท่าทีเฉื่อยชา อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าเป็เื่ใด บอกเพียงว่าภายในสามวันจะมาหา ซึ่งสามวันต่อมาก็คือวันแรกของปี
วันนี้ถือเป็วันแรกของปีใหม่ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีสายฝนกระหน่ำหนัก
ดวงตาแม่เฒ่าฟ่านฝ้าฟางแล้ว นางคว้ามือเถี่ยหนิวและเอ่ยถาม
“เถี่ยหนิว วันนี้เ้าไม่ขึ้นเขาหรือ”
เถี่ยหนิวปฏิเสธ
“อ๋อ ท่านแม่ ข้าไปแต่ข้างนอกฝนตกหนัก อีกเดี๋ยวถึงจะออกไป”
แม่เฒ่าฟ่านพยักหน้าและไม่เอ่ยถามอีก เถี่ยหนิวประคองให้นางนอนลง นำผ้าห่มผืนบางห่มให้ แล้วค่อยออกไปโดยไม่ส่งเสียงใด
ฝนยังกระหน่ำตกไม่หยุด ฟ่านเถี่ยหนิวเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตู หากยังไม่รีบขึ้นเขา การทำอาหารให้สำนักมิ่งเก๋ออาจล่าช้าได้
ขณะกำลังกังวลใจ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายก็ปรากฏร่างที่สวมชุดขาวเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ชายคนนั้นยังเหมือนครั้งแรกที่พบกัน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาว รูปร่างสง่างามหล่อเหลา เส้นผมสีเงินสลวยระเอว หน้ากากบนใบหน้าแผ่กลิ่นอายเ็ายากคาดเดาเช่นเคย ที่เอวมีขลุ่ยดินสีม่วงขยับห้อยไปมาขณะก้าวเดิน มือขวาถือร่มกระดาษน้ำมัน น้ำฝนไหลรินผ่านร่มนั้นตกลงรอบกาย สาดกระเซ็นอยู่เบื้องล่าง รองเท้าสีเขียวและชายเสื้อคลุมจึงเปียกชุ่ม แต่ก็ไม่อาจสร้างความรำคาญใจให้กับชายผู้นี้ได้ เขาเดินตรงมาทางนี้โดยไม่เร่งรีบ
“คุณชาย มาแล้วหรือ!”
ชายคนนั้นไม่เอ่ยปากพูดอะไร ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ
“เข้ามาหลบฝนในบ้านก่อนดีหรือไม่”
ชายคนนั้นส่ายหัว “ไม่จำเป็”
บุคคลเบื้องหน้าตอบสนองอย่างเ็า เถี่ยหนิวไม่รู้ว่าควรทำอะไรไปชั่วขณะ ดังนั้นจึงลองเอ่ยถามไปประโยคหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าคุณชาย้าให้เถี่ยหนิวทำสิ่งใดหรือ”
ในที่สุดชายตรงหน้าก็เอ่ยออกมามากกว่าเคย “พาข้าไปสำนักมิ่งเก๋อ!”
เถี่ยหนิวไม่ได้สงสัยอะไร เดิมทีคิดว่าคุณชายผู้นี้คงไม่รู้เส้นทางจึงให้เขานำทาง แต่ก็ไม่เข้าใจ เหตุใดคุณชายถึงรู้ว่าวันนี้เขาจะเดินทางไปสำนักมิ่งเก๋อ
อันที่จริงยังมีอีกอย่างที่เถี่ยหนิวไม่รู้ นั่นก็คือสำนักมิ่งเก๋อไม่ใช่สถานที่ที่จะให้ใครเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ที่เขาเข้าไปได้อย่างง่ายดายเพราะมีคนในสำนักนำทางและพาหลีกเลี่ยงสิ่งป้องกันต่างๆ เพราะหากง่ายดายขนาดนั้นเหตุใดคนตรงหน้าต้องบอกให้เขานำทาง อีกฝ่ายน่าจะไปได้ด้วยตนเองมิใช่หรือ
เวลากระชั้นเข้ามา ทั้งคู่ไม่อาจอ้อยอิ่งได้อีก เถี่ยหนิวบอกให้ชายคนนั้นรอสักครู่ก่อนจะหายเข้าไปในบ้าน ไม่นานเขาก็สวมหมวกไม้ไผ่สานเดินออกมา
“คุณชาย พวกเราไปกันเถอะ!”
ชายคนนั้นหลบให้เถี่ยหนิวเดินนำ ทั้งคู่ขึ้นไปบนเขาอูอินท่ามกลางหยาดฝนโปรยปราย
เถี่ยหนิวเป็คนที่มั่นใจในความแข็งแกร่งทางร่างกายของตนมาั้แ่เยาว์วัย แม่เฒ่าฟ่านคอยดูแลเขาด้วยความใส่ใจทำให้เขาแข็งแรงสมบูรณ์ ผู้คนวัยเดียวกันในหมู่บ้านไม่มีใครแข็งแกร่งไปกว่าเขา ถนนบนูเาอันขรุขระประกอบกับฝนตกหนัก ทำให้การเดินทางซึ่งปกติก็ยากเย็นแสนเข็นอยู่แล้วยิ่งลำบากกว่าเดิม หากไม่ระมัดระวังก็อาจลื่นล้มได้ง่ายๆ
หลังจากเดินมาประมาณหนึ่งชั่วยาม ทั้งคู่เพิ่งจะเดินไปได้ครึ่งทาง ในขณะที่เถี่ยหนิวเริ่มรู้สึกล้าขึ้นมาเล็กน้อยก็เห็นว่าชายคนนั้นยังเดินด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ในมือถือร่มกระดาษน้ำมันไว้ มองไม่ออกด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเหนื่อยหอบบ้างหรือไม่ แม้จะสวมหน้ากาก แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงคาดว่าคงอายุน้อยกว่าตน ทว่ากลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทำให้เถี่ยหนิวไม่พอใจเล็กน้อย เขาจึงกัดฟันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเถี่ยหนิวเร่งฝีเท้าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกว่าในที่สุดเขาก็เดินเร็วขึ้นสักที
ราวๆ ครึ่งชั่วยามต่อมาเถี่ยหนิวก็หยุดพักหอบหายใจ ขณะนี้หยาดฝนบนูเาหยุดลงแล้ว เส้นแสงสีรุ้งเปล่งประกายเหนือผืนฟ้า
เถี่ยหนิวถอดเสื้อกันฝนและหมวกไม้ไผ่สาน แล้วยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำที่ไม่รู้ว่าคือเหงื่อหรือฝนออกจากหน้าผาก คนเื้ัก็เก็บร่มกระดาษน้ำมันเช่นกัน แต่กลับไม่มีคราบฝนแม้แต่หยด เถี่ยหนิวก้มมองร่างตนเองก็เห็นว่ามีเพียงชุดที่สวมใส่อยู่ด้านในเท่านั้นที่ยังแห้ง ส่วนที่เหลือล้วนเปียกโชก อีกฝ่ายทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
ยามนี้สายมากแล้ว พระอาทิตย์ตั้งตรงบนศีรษะ แม้ไม่ได้ล่าช้ากว่ากำหนดแต่อีกไม่กี่เค่อก็จะถึงเวลาอาหารกลางวัน เถี่ยหนิวจึงรีบก้าวไปข้างหน้าพร้อมทั้งชี้ไปยังป่าทึบที่อยู่ไม่ไกล
“สำนักมิ่งเก๋ออยู่ทางนั้น คุณชาย้าเข้าไปพร้อมข้าหรือไม่”
คนด้านหลังพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจะไปกับเ้า”
เมื่อผ่านป่าทึบเข้าไปเถี่ยหนิวก็หยุดฝีเท้า เขาหยิบหินจากพื้นหนึ่งก้อน จากนั้นเดินไปที่ต้นสนโบราณและเคาะสามครั้ง เพียงชั่วครู่ก็มีเสียงฝีเท้าอันแ่เบาดังมาจากป่า ยังมองไม่เห็นตัวคนแต่ได้ยินเสียงนำมาก่อน
“วันนี้ช้าไปครึ่งชั่วยาม แม้ฝนจะตกหนัก แต่เ้า...”
ก่อนจะกล่าวจบผู้พูดก็เดินออกมาจากป่าทึบ ทว่าในยามที่เห็นใครอีกคนนอกเหนือจากเถี่ยหนิว เขาพลันหยุดชะงัก
____________________________
[1] หยินสือ หมายถึง คำแสดง่เวลา ก่อนยุคถังเท่ากับ่ 4:00-6:00 น. หลังยุคถังเท่ากับ่ 3:00-5:00 น.
[2] เห็ดซงลู่ หมายถึง เห็ดทรัฟเฟิล
[3] แผ่นแป้งเซียนเล่า หมายถึง แผ่นแป้งชีสเค็มหรือเนยเค็ม มักรับประทานเป็อาหารเช้าหรือทานร่วมกับซุป
