โต้วเหลียนจงพูดว่า “ใต้เท้าโม่จะให้ข้าเขียนใบค้างหนี้ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วขอรับ”
“ช้าก่อน!” ผู้ว่าการโม่ยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ใบค้างหนี้ ข้าไม่ได้สั่งให้เ้าเขียน ส่วนเื่ค่าชดใช้ เ้าทำมรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวแตกเสียหาย ตามหลักแล้วเ้าก็จะต้องมีคำตอบให้กับเขามิใช่หรือ ใบค้างหนี้จะเขียนไม่เขียน มันไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่เ้า หากเ้าเขียน เื่นี้ก็จบเพียงเท่านี้ ต่อไปก็เป็เื่ของเ้ากับจวนจิ่นอีโหวที่ต้องไปตกลงกันว่าจะจ่ายค่าชดเชยเท่าไหร่ หากเ้าไม่เขียน ก็ไม่เป็ไร ข้าก็จะเอาคำให้การนี้ส่งไปให้ที่กรมอาญา ให้ทางกรมอาญาจัดการเื่นี้ต่อไป”
“ไม่ได้นะขอรับ” โต้วเหลียนจงรีบพูด “ข้าจะเขียนใบค้างหนี้เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
เขารู้เกี่ยวกับหกกรมของต้าฉู่ดี ต่างฝ่ายต่างดูแลไม่เกี่ยวข้องกัน กรมอาญากับกรมพระคลังดูแลคนละส่วน ถึงแม้จะมีบางเื่ที่ต้องประสานงานกัน แต่จะไม่มีการแทรกแซงซึ่งกันและกัน
หากสำนวนการให้การในวันนี้ถูกส่งไปยังกรมอาญา เมื่อเปิดออกดู เจอคำให้การที่สามารถเอาถึงชีวิตได้ ไม่แน่อาจจะมีคนหาข้ออ้างทำให้เป็เื่ใหญ่ได้
ในตอนนี้ทำได้เพียงทำตามที่ท่านผู้ว่าการโม่บอกโดยการเขียนใบค้างหนี้ เพื่อไม่ให้คำให้การมันแพร่ออกไป หลังจากนี้ค่อยไปหาคนปรึกษาอีกที
กระดาษและหมึกมาวางอยู่ตรงหน้า โต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้ต่อหน้าผู้ว่าการโม่ จากนั้นก็มอบให้กับผู้ว่าการโม่ ผู้ว่าการโม่อ่านดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว กวักมือเรียกหยางหนิงมา แล้วถามว่า “ใบค้างหนี้เ้าลองอ่านดูว่าใช้ได้หรือไม่? หากใช้ได้ เ้าก็ลงลายมือชื่อเสียแต่ตอนนี้”
“ไม่ได้ขอรับ” หยางหนิงกวาดสายตาอ่าน แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “ในนี้ระบุว่าทำม้าหยกหลิวหลีแตก โต้วเหลียนจง เ้าคิดจะเล่นคำในเอกสารนี้อย่างนั้นหรือ? เ้าทำมรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวแตก ไม่ใช่ม้าหยกหลิวหลี”
“ข้าทำม้าหยกหลิวหลีแตก หรือจะทำมรดกตกทอดแตกหรือไม่ ข้าไม่สน” โต้วเหลียนจงพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าเขียนตามความเป็จริง”
ผู้ว่าการโม่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดูท่าพวกเ้าสองคนยังตกลงกันมิได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จนปัญญา คงต้องส่งเื่นี้ให้กับทางกรมอาญา...!”
โต้วเหลียนจงชะงักไป แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า “ช้าก่อน ใต้เท้าโม่ ข้า... ข้าจะเขียนตามที่เขา้า” จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่หยางหนิง แล้วเขียนใบค้างหนี้ขึ้นมาใหม่ หยางหนิงรับมันมาอย่างพอใจ ผู้ว่าการโม่ให้โต้วเหลียนจงลงชื่อแล้วประทับลายนิ้วมือ จากนั้นก็ยื่นให้หยางหนิง หยางหนิงเก็บเข้าในเสื้อบริเวณหน้าอก ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว จะชดใช้อย่างไรเท่าไหร่ รอจวนจิ่นอีโหวปรึกษากันก่อน ท่านวางใจได้ ข้าไม่ใช่คนโลภ”
ในใจโต้วเหลียนจงโกรธยิ่งนัก หันหน้ายกมือคำนับผู้ว่าการโม่ แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่ ข้าน้อยขอตัวก่อน!” หันหลังกำลังจะไป หยางหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “คุณชายโต้ว เ้าบอกจ้าวซิ่นด้วยนะ มารับเงินชดเชยที่จวนจิ่นอีโหวได้ตลอดเวลา จิ่นอีโหวของเรามีหนี้ต้องใช้ ไม่มีทางหนีหนี้แน่นอน”
หยางหนิงยกมือขึ้นคำนับผู้ว่าการโม่แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่ ขอบคุณท่านมากที่ให้ความเป็ธรรมกับข้าน้อย ฉีหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”
เขาเป็คนฉลาด แน่นอนว่าดูออกอยู่แล้ว ผู้ว่าการโม่ในวันนี้ถึงแม้จะดูเป็ธรรม แต่จริงๆ แล้วก็แอบเข้าข้างเขาอยู่
ก่อนที่เขาจะเข้ามาในศาลาว่าการเมืองหลวง เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ไม่ว่าใช้วิธีใดก็ตามก็จะต้องให้โต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้ให้จงได้
แต่ว่าเื่ราวมันราบรื่นมากกว่าที่เขาคิดไว้ยิ่งนัก ผู้ว่าการโม่จับผิดโต้วเหลียนจงได้ถึงสองครั้งสองครา มีบันทึก ก็สามารถใช้บันทึก ทำให้โต้วเหลียนจงต้องเขียนใบค้างหนี้ได้
ในใจของเขารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก แอบคิดในใจว่าหรือผู้ว่าการโม่กับจวนจิ่นอีโหวจะมีสัมพันธ์อันใดต่อกัน? ไม่อย่างนั้นใต้เท้าโม่จะปกป้องเขาไปเพราะเหตุใดกัน?
แต่ในเมื่อโต้วเหลียนจงกล้าที่จะนำเื่นี้มาจวนผู้ว่าการเมืองหลวงได้นั้น นั่นก็แสดงว่าผู้ว่าการโม่กับจวนจิ่นอีโหวไม่น่าจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้นโต้วเหลียนจงคงไม่มาฟ้องร้องถึงที่นี่อย่างแน่นอน
ผู้ว่าการโม่ถูกขนานนามว่า “ผู้ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม” หน้าหินไร้ความรู้สึก ตัดสินคดีด้วยความตรงไปตรงมา ในวันนี้ ถึงแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าเป็ธรรม เพราะแอบปกป้องเขาอยู่ สำหรับคนหน้าหินอย่างเขาแล้ว มันไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
ผู้ว่าการโม่นิ่งไป ไม่มีรอยยิ้ม ลุกขึ้นแล้วเดินลงมาจากแท่น ท่านราชเลขาเดินตามหลังใต้เท้าโม่มา แต่ทั้งสองคนมิได้พูดสิ่งใด
หยางหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซาง ในใจแอบแปลกใจไม่น้อย
ผู้ว่าการโม่เดินมาจนถึงประตู จึงหยุดเดิน แล้วทำสัญลักษณ์มือให้ท่านเลขาออกไปก่อน ท่านราชเลขาจึงโค้งคำนับแล้วเดินออกไป ทหารองครักษ์ของจวนทั้งสี่ก็เดินออกไปเช่นกัน
“เมื่อวานท่านช่วยเด็กคนหนึ่งเอาไว้ที่ตลาดดอกไม้ใช่หรือไม่?” ผู้ว่าการโม่ไม่ได้หันหน้ามา ทันใดนั้นเขาถามขึ้นมาว่า “เหตุใดท่านถึงต้องช่วยเขาด้วยเล่า?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงว่าผู้ว่าการโม่จะถามคำถามนี้ออกมา เขาพลันใ ในใจก็นึกถึงเื่เมื่อวานที่ช่วยเด็กน้อยมาจากสู่อ๋องซื่อจื่อ ตัวหยางหนิงนั้นก็เริ่มสั่นไปทั้งตัว จากนั้นจึงนึกถึงเหล่ยหยงหู่ขึ้นมา
เขาจำได้ว่าเหวียนหรงเคยบอกว่า เหล่ยหยงหู่มิใช่คนของจวนผู้ว่าการ แต่เกี่ยวข้องกับกรมอาญา ในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดสิ่งใดมากนัก ตอนนี้กลับนึกอะไรขึ้นมาได้
“ม้าจะทำร้ายผู้คน ข้าอยู่แถวนั้นพอดี ไม่ว่าจะผู้ใดก็ตาม ข้าคงไม่มีทางยืนดูเฉยๆ โดยไม่ช่วย” หยางหนิงคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่ การช่วยผู้คนที่เดือดร้อนมันจำต้องมีเหตุผลด้วยหรือขอรับ?”
ผู้ว่าการโม่พูดอย่างเรียบๆ ว่า “คนที่ยืนดูเฉยๆ มีตั้งมากมาย” เขาหยุดไป แล้วพูดต่อว่า “ได้ยินมาว่าตอนที่ท่านช่วยเด็กคนนั้นเอาไว้ ท่านเองก็าเ็ด้วย ท่านไม่คิดถึงชีวิตตัวท่านเองเลยหรือ?”
“นั่นเป็เพียงแค่คำพูดคุยโตโอ้อวด” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงแม้ข้าน้อยเกือบจะถูกม้าเหยียบตาย แต่ข้าน้อยก็แค่าเ็่ล่างเท่านั้น ไม่น่าจะมีอันตรายถึงชีวิตได้”
ผู้ว่าการโม่พยักหน้า แล้วค่อยๆ หันมา เอามือไขว้หลังเอาไว้ แล้วมองหยางหนิง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ความกล้าของท่าน เหมือนกับพ่อของท่านยิ่งนัก” จากนั้นก็กลับไปหน้านิ่งเหมือนเดิม แล้วพูดต่อว่า “แต่ว่าความกล้าหาญของพ่อท่าน เขาเอามาเพื่อรักษาประเทศชาติ แต่ทว่าความกล้าของท่าน กลับเอามาใช้หลอกลวงผู้อื่น”
“หา?” หยางหนิงรีบพูดว่า “ใต้เท้าโม่ ท่าน...”
ผู้ว่าการโม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเล่นของท่าน จะรอดพ้นสายตาของข้าไปได้อย่างนั้นหรือ? มรดกตกทอดหรือ? ของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้หรือ? มันก็แค่ม้าหยกหลิวหลีธรรมดา ไปหาซื้อในตลาดก็ยังได้ ม้าหยกหลิวหลีแบบนั้นใช้เงินแค่สามถึงห้าตำลึงก็ได้มันมาแล้ว ดาวใต้ดาวเหนืออะไรกัน ท่านคิดว่าจะหลอกข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงรู้ดีว่าท่านโม่เองก็รู้ว่าเขาวางแผนอะไรอยู่ แต่ใครจะคิดว่าท่านโม่ยังปกป้องตัวเขาอยู่ ในใจก็แอบคิดว่า เื่ที่เขาช่วยชีวิตเด็กน้อยเอาไว้ จะต้องเกี่ยวข้องกับผู้ว่าการโม่อย่างแน่นอน
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งต่อไปอีก” ผู้ว่าการโม่พูดอย่างนิ่งๆ ไม่รอให้หยางหนิงพูดสิ่งใด ก็พูดต่อว่า “โรงรับจำนำของพวกท่านไฟไหม้ ข้าจะให้คนไปตรวจสอบอย่างละเอียด” หลังจากสิ้นสุดประโยคนั้น ท่านโม่ก็เดินออกไป
เมื่อผู้ว่าการโม่เดินไปแล้ว หยางหนิงก็ถอนหายใจ ถามจ้าวอู๋ซางว่า “ผู้ว่าการอู๋ท่านชี่ออะไรกันแน่?”
“โม่เจิงขอรับ” จ้าวอู๋ซางพูดง่ายๆ
ทั้งสองเดินออกจากจวนผู้ว่า เมื่อกลับถึงจวนโหว พอมาถึงที่ห้องโถง กู้ชิงฮั่นก็นั่งรออยู่แล้ว เห็นหยางหนิงเดินเข้ามา จึงรีบเดินไปหา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล แล้วถามหยางหนิงว่า “หนิงเอ๋อ พวกเ้าไปที่ศาลาว่าการหรือ? เกิดเหตุใดขึ้น?”
หยางหนิงยิ้ม แล้วเล่าเื่ราวทั้งหมดให้นางฟัง ตาที่สวยงามของกู้ชิงฮั่นเบิกกว้างขึ้น พลันใแล้วพูดว่า “เ้าบอกว่าโต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้ให้เ้าอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงหยิบใบค้างหนี้ออกมา แล้วยื่นไปให้กู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นมองไป เห็นมีการลงลายมือชื่อกับประทับลายนิ้วมือ และที่ใยิ่งกว่านั้นคือ “มรดกตกทอดอย่างนั้นหรือ?”
“มันก็แค่ม้าหลิวหลีธรรมดาตัวหนึ่ง” ด้านนอกไม่มีผู้ใด หยางหนิงเองก็ไม่คิดจะปิดบังกู้ชิงฮั่น “รับมือกับคนอย่างโต้วเหลียนจง ต้องใช้วิธีเช่นนี้ มีใบค้างหนี้ในมือ จ้าวซิ่นคงไม่กล้ามาทวงเงินที่จวนเองหรอกกระมัง รอข้าอารมณ์ดีเมื่อไหร่ ค่อยเอามันไปทวงหนี้”
ตอนแรกกู้ชิงฮั่นยังรู้สึกหงุดหงิดกับภาระหนี้สินที่ต้องจ่าย คิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็อดยิ้มมิได้ “เ้าเด็กคนนี้ ต่อไปใช้วิธีเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ หากผู้ใดรู้ความจริงขึ้นมา จะทำเช่นไร”
“ในเมื่อข้าใช้ไปแล้ว ก็จะต้องไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงเื่นี้” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านวางใจเสียเถอะ วิธีเช่นนี้ ข้าเองก็ต้องเลือกคนที่ข้าจะใช้ด้วย รับมือกับคนอย่างโต้วเหลียนจง จะทำซึ่งๆ หน้ามิได้” จากนั้นก็พูดเบาๆว่า “แต่ว่าเรายังต้องระวังตระกูลโต้วให้ดี ครั้งนี้พวกเราทำแผนของพวกเขาพัง ในครั้งหน้าพวกเขาจะมาไม้ไหน เราก็มิอาจทราบได้”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเดินเข้ามา เสียงของพ่อบ้านชิวดังขึ้น “ฮูหยินสามท่านอยู่ด้านในหรือไม่?”
“เข้ามา” กู้ชิงฮั่นให้พ่อบ้านชินเข้ามาได้ พ่อบ้านชิวจึงเปิดประตูเข้ามา กู้ชิงฮั่นพลันถามว่า “เื่ตรงนั้นท่านจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
“ข้าได้ทำการเจรจากับเหล่าเ้าของร้านต่างๆ แล้ว สองสามวันนี้ให้ตรวจสอบความเสียหายเสียก่อน แล้วให้เวลาพวกเราอีกครึ่งเดือน” พ่อบ้านชิวพูดต่อว่า “คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ข้าน้อยคำนวณคร่าวๆ แล้ว หลายร้านรวมกัน ก็อาจจะต้องจ่ายประมาณหนึ่งหมื่นตำลึง นอกเหนือจากนี้ก็เป็ของจ้าวซิ่นแล้ว ยังมีอีกราวสองหมื่นกว่าตำลึงที่ปล่อยจำนำออกไป รวมๆแล้วก็น่าจะประมาณห้าหกหมื่นตำลึงหากได้ไม่เกินนี้เราก็จะแย่เอาได้” เขาถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เงินสดในจวนรวมแล้วมีไม่เกินสองพันสอง... ฮูหยินสาม คราวนี้พวกเราแย่แน่ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ถึงแม้หยางหนิงจะแก้ไขปัญหาเื่ของโต้วเหลียนจงได้ เงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงยังไม่ต้องไปสนใจ แต่เงินค่าชดเชยของคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่น้อยๆ เช่นกัน นอกจากของจ้าวซิ่นแล้ว ยังต้องหาเงินให้ถึงสี่หมื่นตำลึงถึงจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้
เริ่มั้แ่สมัยของท่านเหล่าโหว ซื่อสัตย์มือสะอาดมาตลอด นอกจากจะมีรายรับปกติแล้ว ไม่มีกิจการสกปรกเลย ภาษีสามพันไร่บวกกับที่ดินกับกำไรของร้านค้า ในปีหนึ่งก็มีรายรับประมาณห้าหกหมื่นตำลึง มองจากภายนอกเป็เช่นนั้น ในต้าฉู่นี้ถือเป็รายรับที่มากพอควร
จริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายของจวนโหวน้อยกว่าจำนวนเงินนี้มากนัก
“ทางเจียงหลิงยังไม่มีข่าวคราวมาอีกหรือ จะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่ๆ” พ่อบ้านชิวจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ฮูหยินสาม ตอนนี้ต้องหวังเงินจากเจียงหลิงมาให้ทันเวลา หากแม้แต่เงินของเจียงหลิงก็มาไม่ถึง คราวนี้พวกเราแย่แน่ๆ ท่านว่าเราควรส่งใครไปดูเสียหน่อยดีหรือไม่?”
“เราก็ส่งคนไปหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่มีข่าวคราวอันใดเลย” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “พ่อบ้านชิว ท่านไปเตรียมตัวเถอะ ข้าจะไปวันนี้เลย เดินทางไปที่เจียงหลิง”
“หา?” พ่อบ้านชิวรีบพูดขึ้นว่า “ฮูหยินสาม ท่านจะไปเจียงหลิงด้วยตนเองเลยหรือ?”
กู้ชิงฮั่นจึงพูดขึ้นมาว่า “มันช้ามาเดือนกว่าๆ แล้ว มันมิใช่เื่ปกติ จะต้องเกิดเื่อะไรขึ้นแน่ๆ” หันไปมองหยางหนิง ในใจก็คิดถึงสิ่งที่หยางหนิงเคยพูด เื่เงินของเจียงหลิงมันไม่น่าจะเป็เหตุสุดวิสัย หยางหนิงเดาถูกเงินของเจียงหลิงกับเื่ไฟไหม้ และเื่ลอบสังหารมันน่าจะมีอะไรเกี่ยวเนื่องกัน จะต้องมีคนบงการอยู่เื้ั กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่ามันมีเหตุผลมากพอ “ข้าจำเป็จะต้องไปเจียงหลิงด้วยตัวเอง”
“แต่ว่าทางนี้...ฮูหยินสาม ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปจะดีกว่าหรือไม่ ท่านอยู่ที่จวนนี้ดีกว่า” พ่อบ้านชิวคิดๆ ดูแล้ว ก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าไปคราวนี้จะต้องนำเงินกลับมาได้อย่างแน่นอน”
“พ่อบ้านชิว ปกติเ้าก็เป็คนประสานงานกับคนพวกนั้นอยู่แล้ว” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “หญิงม่ายอย่างข้า ไม่สะดวกออกหน้า เ้าก็พยายามรับหน้าพวกเขาเอาไว้ พยายามให้พวกเขาตกลงเลื่อนเวลาออกไปก่อน ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
“แต่ว่าฮูหยินสามจะไปคนเดียว ข้าน้อยกังวลใจยิ่งนัก” สีหน้าของพ่อบ้านชิวดูลำบากใจ
กู้ชิงฮั่นพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องเป็ห่วง บ้านเกิดข้าอยู่เจียงหลิง ข้าคุ้นเคยกับที่นั่นดี”
“ข้าจะไปกับซานเหนียงด้วย” จู่ๆ หยางหนิงก็พูดขึ้นมา “มีข้าไปกับซานเหนียงด้วย ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยอย่างแน่นอน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้