พอเห็นว่าเจียงหลิงจูและเนี่ยเสียนปรากฏกายขึ้น เนี่ยเทียนจึงหยุดความคิดที่จะสอบถามเื่หมาป่าโลกันตร์จากเจิ้งปินไว้ชั่วคราว
เขาที่นั่งนิ่งมานาน ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองไกลไปยังคนทั้งสอง
เจียงหลิงจูและเนี่ยเสียนที่สวมอาภรณ์สีเขียว เห็นได้ชัดว่าผอมลงไปจาก่ก่อนหน้านี้ไม่น้อย
เจียงหลิงจูนอกจากดวงตาทั้งคู่ที่ยังคงส่องประกายสุกใสแล้ว จุดอื่นๆ ล้วนสกปรกมอมแมม อาภรณ์สีเขียวที่อยู่บนร่างนั้นขาดรุ่งริ่ง มุมผ้ายังมีรูโหว่อยู่อีกหลายรู
รูพวกนั้น เนี่ยเทียนมองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกอาวุธแหลมคมแทงทะลุ
เนี่ยเสียนที่มาจากตระกูลเนี่ยเช่นเดียวกัน เทียบเจียงหลิงจูไม่ได้สักนิด อาภรณ์สีเขียวที่เป็สัญลักษณ์ของสำนักหลิงอวิ๋น คล้ายถูกฉีกกระชากออกเป็ริ้วๆ แล้วนำมาปะชุนใหม่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อมองผ่านๆ เนี่ยเสียนก็ดูราวกับขอทานที่ปะปนอยู่ในเมืองเฮยอวิ๋น สกปรกอย่างถึงที่สุด
“เจิ้งปิน น้ำ! ขอน้ำให้พวกเราหน่อย!” พอเจียงหลิงจูเดินมาถึงก็กล่าวด้วยเสียงอันดัง “เหตุใดพวกเ้าถึงมาอยู่ที่นี่? ที่เขตูเาไฟ พวกเ้าได้เจอกับลูกศิษย์ของวังยมบาลหรือไม่?”
“หา! เนี่ยเทียน!”
พอเข้ามาใกล้ นางพลันเห็นเนี่ยเทียนกะทันหัน อดไม่ได้จนร้องเสียงหลงแหลมดังขึ้น
“เนี่ยเทียน!” ใบหน้าเนี่ยเสียนเองก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “เ้า... เ้ายังมีชีวิตอยู่?”
ในสายตาของเจียงหลิงจูและเนี่ยเสียน เนี่ยเทียนน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว
เนี่ยเทียนที่จากไปเพียงลำพัง เร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายร้าง จะไม่ถูกลูกศิษย์ของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตไล่ฆ่าได้อย่างไร?
ตอนที่พวกเขาถูกอวี๋ถง โม่ซีพุ่งเข้าประหัตปะา อวี๋ถงเคยหยิบเอาเข็มทิศโลหิตออกมา บอกกับพวกเขาอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปที่ไหน ก็ต้องโดนพวกนางลากตัวออกมาได้อยู่ดี
อวี๋ถงมีเข็มทิศโลหิตอยู่ในมือ เนี่ยเทียนที่จากไปเพียงลำพัง ย่อมไม่มีทางหนีพ้นเส้นสายตาของนาง
เนี่ยเทียนที่ถูกอวี๋ถงจับจ้องมีเพียงตัวคนเดียว มีหรือที่จะหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้?
นางและเนี่ยเสียนล้วนเข้าใจไปว่าเนี่ยเทียนตายด้วยน้ำมือของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตนานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเนี่ยเทียนที่นี่
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เห็นว่าพวกเ้าปลอดภัย ข้าก็วางใจแล้ว” เนี่ยเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“เจี่ยนเสวียน! มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบไปเอาน้ำมาให้พวกเขาเร็วเข้า!” เจิ้งปินกล่าวสั่งความ
เจี่ยนเสวียนที่เกือบโดนเนี่ยเทียนเล่นงานจนเกือบตายมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา รีบไปหยิบเอาเหยือกน้ำวิ่งเหยาะๆ มาส่งให้กับเจียงหลิงจูและ เนี่ยเสียน
เจียงหลิงจูไม่เหลือภาพลักษณ์ของกุลสตรีใดๆ ดื่มอึกๆ อย่างกระหายอยาก ลำคอเรียวระหงของนางเปรอะไปด้วยหยาดน้ำ
เนี่ยเสียนเองก็ดื่มดัง “เอื้อกๆ” พอๆ กัน พอดื่มน้ำสะอาดที่อยู่ในเหยือกน้ำอีกเหยือกหนึ่งหมดแล้วถึงได้นั่งแปะลงไปบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“เนี่ยเทียน เ้า... ไม่ได้ถูกสำนักภูตผีและสำนักโลหิตหาเจอหรือ?” เนี่ยเสียนกล่าวด้วยความสงสัย
“ลูกศิษย์คนหนึ่งของสำนักภูตผีตามมาเจอข้า แต่ว่าข้าฆ่าเขาไปแล้ว” เนี่ยเทียนอธิบายเสียงเบา
เนี่ยเสียนมองเขาด้วยสายตาลึกล้ำ พยักหน้าเอ่ยว่า “ทำได้ไม่เลว”
ครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญอันตราย เนี่ยเทียนเป็ผู้ค้นพบคนแรก บีบให้อวี๋ถงแห่งสำนักโลหิตต้องถอยร่น... ตอนนั้นเขารู้สึกมองน้องชายในตระกูลคนนี้ไม่ออกนัก
พอจะเดาได้รำไรว่าบนตัวเนี่ยเทียนจะต้องเกิดความมหัศจรรย์บางอย่างที่เขาไม่เข้าใจอย่างแน่นอน
หากเจอแค่ลูกศิษย์ของสำนักภูตผีคนเดียว เขาเชื่อว่าเนี่ยเทียนที่สามารถบีบให้อวี๋ถงถอยร่นได้ก็น่าจะฆ่าอีกฝ่ายได้จริง
เจียงหลิงจูดื่มน้ำจนหมดเหยือก ภายใต้สายตาสอบถามจากพวกเจิ้งปิน จึงอธิบายเหตุการณ์ที่พวกเขาถูกลอบโจมตีให้ฟังหนึ่งรอบ
ขณะที่พวกเขากำลังจะข้ามผ่านทะเลทรายร้างไปยังเขตูเาไฟ ได้ถูกสำนักภูตผีและสำนักโลหิตตามมาทัน การต่อสู้จึงะเิขึ้นในพริบตา
ตอนที่สู้กัน อยู่ๆ นางมารอวี๋ถงแห่งสำนักโลหิตก็ฝ่าทะลุขั้นสู่ขอบเขตท้าย์ ความสามารถเพิ่มทะยานขึ้นพรวดพราด ใช้เวทลับมากมายของสำนักโลหิตแสดงฤทธิ์เดชอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขามิอาจต้านทานได้
อวี๋ถงที่เลื่อนสู่ท้าย์ ในโลกมายามรกตแห่งนี้ก็เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นความหวังใดๆ ที่จะเอาชนะได้
เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาทำได้เพียงแยกย้ายกันหลบหนี เพื่อไม่ให้อวี๋ถงกักตัวสังหารทุกคนอยู่ตรงจุดเดิมได้
เจียงหลิงจูและเนี่ยเสียนที่หนีพ้นมาจากสนามรบถูกโม่ซีแห่งสำนักภูตผีไล่ฆ่ามาตลอดทาง สูญเสียพละกำลังมหาศาลถึงได้หนีกระเซอะกระเซิงมาถึงที่นี่ได้
เย่กู่โม่แห่งสำนักหลิงอวิ๋น หลังจากที่แยกกับพวกเขาแล้วก็ไม่ได้เจอกันอีก ไม่รู้ว่าเป็หรือตาย
ระหว่างทางที่พวกเขากลับมาก็ไม่ได้เจอพวกอันอิ่งแห่งหอหลิงเป่า จึงไม่รู้สถานการณ์ของพวกอันอิ่งเช่นกัน
“ผู้ที่ไล่ฆ่าพวกเ้าหากเป็โม่ซีแห่งสำนักภูตผี ถ้าเช่นนั้น... หอหลิงเป่าก็น่าจะมีหลายคนที่โชคดีรอดชีวิต” หลังจากเนี่ยเทียนฟังจบก็วางใจลงได้โดยพลัน
“หมายความว่าอย่างไร? โม่ซีไล่ฆ่าพวกเรา อวี๋ถงจากสำนักโลหิตนั่นก็น่าจะหมายหัวพวกอันอิ่ง อวี๋ถงน่ากลัวยิ่งกว่าโม่ซีเสียอีก เหตุใดเ้าถึงได้รู้สึกว่าพวกอันอิ่งน่าจะยังมีชีวิตตามมาทันเล่า?” เจียงหลิงจูกล่าวด้วยความสงสัย
“เพราะว่าอวี๋ถงแห่งสำนักโลหิตได้มองหยวนเฟิงและอวิ๋นซงเป็เป้าหมายแรก หลังจากฆ่าหยวนเฟิงและอวิ๋นซงได้แล้ว นางมารคนนั้น... จึงมองเห็นข้าเป็เป้าหมายที่ต้องไล่ฆ่าคนต่อไป” น้ำเสียงของเนี่ยเทียนไม่ถือว่าผ่อนคลายนัก “ไม่มีนางมารนั่นอยู่ ลำพังเพียงแค่คนเ่าั้ของสำนักโลหิต ไม่มีทางฆ่าพวกอันอิ่ง และพันเทาได้ทั้งหมด”
“อะไรนะ เ้าถูกอวี๋ถงมองเป็เป้าหมายหรือ?” เจียงหลิงจูตื่นตะลึงอย่างมาก “แล้วเ้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?”
เนี่ยเสียนเองก็ตัวสั่นะเื สีหน้าที่หันไปมองเนี่ยเทียน ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
ไม่เหมือนกับคนเ่าั้ของอารามเสวียนอู้ พวกเขาเคยเห็นความร้ายกาจของอวี๋ถงมาก่อนจริงๆ อวี๋ถงที่ฝ่าขั้นสู่ขอบเขตท้าย์ ความแข็งแกร่งของศักยภาพนั้น ทำให้พวกเขาทุกคนล้วนรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น
สามารถพูดได้ว่า เป็เพราะอวี๋ถงเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นท้าย์ พวกเขาถึงได้จำเป็ต้องแยกกันหนีเอาชีวิตรอด ไม่กล้ามีความคิดที่จะสู้ต่ออีก
อวี๋ถงแทบจะใช้พลังของนางคนเดียว โจมตีเส้นป้องกันทางจิติญญาของพวกเขาทุกคนให้แตกสลาย!
อวี๋ถงที่น่ากลัวมากถึงเพียงนี้ หลังจากสังหารหยวนเฟิงและอวิ๋นซงแล้ว ในเมื่อนางมองเนี่ยเทียนเป็เป้าหมาย เนี่ยเทียนก็แทบจะไม่มีโอกาสได้รอดชีวิตอีก
“เขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้เพราะหลังจากที่อวี๋ถงสังหารหยวนเฟิงและอวิ๋นซง ตัวนางเองาเ็หนัก พละกำลังลดลงไปมาก” หลีสี่อธิบายแทนเนี่ยเทียน
เจียงหลิงจูมองหลีสี่หนึ่งครั้ง ขมวดคิ้วอย่างน่ามองแล้วกล่าวว่า “เ้าจะไปรู้อะไร?”
หลีสี่อึ้งตะลึง
“ตอนที่หยวนเฟิงและอวิ๋นซงหนีไปต่างก็ได้รับาเ็ในระดับต่างกัน สูญเสียพละกำลังมากกว่าอวี๋ถง” ใบหน้าของเจียงหลิงจูที่มองเนี่ยเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย “อวี๋ถงที่พอเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นท้าย์แล้ว ตอนที่ไล่ฆ่าทุกคนนางอยู่ในสภาวะที่พร้อมสูงสุด ข้าไม่คิดว่าด้วยความสามารถของอวี๋ถง การฆ่าหยวนเฟิงและอวิ๋นซงที่หมดสิ้นซึ่งปณิธานในการรบจะสูญเสียพละกำลังมากเท่าใดนัก”
“ส่วนเื่ที่บอกว่าอวี๋ถงได้รับาเ็...” นางส่ายหัว กล่าว “นั่นยิ่งเป็ไปไม่ได้เข้าไปใหญ่”
“เ้าโกหกพวกเรารึ?” เจิ้งปินใบหน้าเ็า กล่าวกับเนี่ยเทียน “สรุปว่าเ้าเจอกับอวี๋ถงหรือไม่? แล้วอวี๋ถงผู้นั้นไล่ฆ่าเ้าจริงๆ หรือ?”
“คนโกหก!” เด็กสาวใบหน้ารูปไข่นามว่าหันซินเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง
สายตาของคนอารามเสวียนอู้คนที่เหลือที่มองมายังเนี่ยเทียนต่างก็แฝงไว้ด้วยแววไม่พอใจ
“เนี่ยเทียน ความสามารถของเ้า... ข้ามองไม่ออก แต่ข้ารู้สึกว่า หากอวี๋ถงไม่ได้เหยียบย่างเข้าสู่ท้าย์ เ้าน่าจะสามารถหนีเอาชีวิตรอดมาได้” เจียงหลิงจูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงเบาว่า “แต่นี่นางเหยียบย่างเข้าสู่ท้าย์แล้วนะ นางที่เลื่อนขั้นสู่ท้าย์แล้ว น่ากลัวมากๆ จริงๆ! การที่เ้าจะมีชีวิตรอดจากเงื้อมมือนางมาถึงที่นี่ได้ มันเป็ไปไม่ค่อยได้จริงๆ นะ”
เนี่ยเทียนที่ถูกทุกคนสงสัย ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ แอบพูดกับตัวเองว่าจะพูดปดโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใด ไม่ง่ายจริงๆ ด้วย
เขาไม่สามารถบอกเจียงหลิงจูได้ว่าหมัดพิโรธรูปแบบที่หนึ่งซึ่งเขาบรรลุมาจากดินแดนลึกลับนั่นมีอานุภาพแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้
ดังนั้นเขาจึงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็ยิ้มประจบ กล่าวว่า “คือว่า ข้าเจอกับอวี๋ถงแห่งสำนักโลหิตจริงๆ เพียงแต่ว่าหลังจากที่อวี๋ถงฆ่าหยวนเฟิงและอวิ๋นซงก็เจอเข้ากับงูเหลือมน้ำแข็งั์ของเกาะน้ำแข็ง งูเหลือมน้ำแข็งั์คือสัตว์วิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมายามรกต ตอนที่อวี๋ถงสังหารงูเหลือมน้ำแข็งั์ ไม่ทันระวังจึงได้รับาเ็”
งูเหลือมน้ำแข็งั์ไปจากโลกมายามรกตแล้ว ต่อไปก็น่าจะไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นอีก งูเหลือมน้ำแข็งั์คือสัตว์วิเศษระดับสอง พละกำลังก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน เขาเอางูเหลือมน้ำแข็งั์มาเป็หนังหน้าไฟ ถือว่าเหมาะสมแล้ว
“ที่แท้งูเหลือมน้ำแข็งั์ตัวนั้นก็อยู่ด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกหรอก” เจียงหลิงจูเชื่อทันที “งูเหลือมน้ำแข็งั์ตัวนั้นร้ายกาจมากจริงๆ มันมีสติปัญญาด้วย ดูเหมือนว่าจะกลายมาเป็สัตว์วิเศษระดับสามแล้วล่ะ อวี๋ถงคิดจะสังหารมันเพียงลำพัง ไม่สูญเสียอะไรไปบ้างก็ไม่น่าจะเป็ไปได้เท่าไหร่นัก”
“เ้าควรจะพูดความจริงั้แ่แรก” เจิ้งปินกล่าวเสียงเ็า
“ที่แท้ที่เ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เป็เพราะอวี๋ถงทั้งสังหารหยวนเฟิงและงูเหลือมน้ำแข็งั์ ข้าก็ยังนึกว่า... เ้าจะร้ายกาจแค่ไหนกันเชียว” หันซินพูดเยาะหยัน
“ที่ไม่ได้พูดถึงงูเหลือมน้ำแข็งั์ก็ไม่ใช่เพราะอยากเอาความดีเข้าตัว เพื่อบอกให้พวกเรารู้ว่าเ้าไม่ธรรมดาหรอกหรือ?” หลีสี่เองก็เอ่ยเสียดสี
เนี่ยเทียนคลำจมูก หัวเราะหึหึ คร้านจะสนใจพวกเขา
จากนั้นเจิ้งปินก็สอบถามรายละเอียดการต่อสู้กับสำนักภูตผีและสำนักโลหิตจากเจียงหลิงจูอย่างละเอียด คิดจะทำความเข้าใจกับความสามารถที่แท้จริงของสำนักภูตผีและสำนักโลหิต เพื่อปรึกษากันว่าหลังจากนี้ควรจะรับมืออย่างไร
เนี่ยเทียนที่ถูกอารามเสวียนอู้เหน็บแนมอยู่พักหนึ่งรู้สึกเกรงใจที่จะยกเื่หมาป่าโลกันตร์ขึ้นมาพูด จึงนั่งอยู่ข้างกายเนี่ยเสียนด้วยความเบื่อหน่าย
แม้ว่าเนี่ยเสียนจะมีแต่ความกังขาเต็มหัวใจ ทว่าเขากลับไม่ได้เอ่ยถามเนี่ยเทียนในเวลานี้ แต่หยิบเอาหินวิเศษที่สำนักหลิงอวิ๋นมอบให้ออกมาแล้วฟื้นฟูพลัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจียงหลิงจูคุยกับเจิ้งปินเสร็จ นางกลับไม่ได้รีบร้อนฟื้นตัว แต่ชี้นิ้วมายังเนี่ยเทียน กล่าวว่า “เ้าตามข้ามาหน่อย ข้ามีเื่อยากพูดกับเ้า”
เนี่ยเทียนอึ้งงัน เห็นว่าเจียงหลิงจูเดินไปยังอีกฝั่งของผนังหินแล้ว จึงทำได้เพียงลุกขึ้นเดินตามไปเงียบๆ
-----