เนื่องจากเป็่สารทฤดู ใบไม้จึงเหี่ยวเฉาและร่วงหล่นไปตามแรงพัดของลม ภาพยามที่ใบไม้โรยราปกคลุมหน้าสุสานที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหยกขาวยิ่งขับให้สถานที่แห่งนี้ดูโดดเดี่ยวและอ้างว้างอย่างถึงที่สุด
ที่ตั้งแห่งนี้คือสุสานของตระกูลมู่ ซึ่งมีหลุมศพอยู่หลายร้อยหลุม คนตระกูลมู่ที่จบชีวิตลงในสนามรบล้วนถูกนำมาฝังไว้ที่นี่
ด้านหน้าสุสานมีคำว่าแม่ทัพใหญ่มู่เทียนสลักเอาไว้ เวลานี้ชายหนุ่มในชุดสีขาวสำหรับไว้ทุกข์กำลังนั่งคุกเข่าแสดงความกตัญญูอยู่ตรงหน้าสุสานพลางโยนกระดาษเงินกระดาษทองลงไปในเตาอั้งโล่
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงทิ้งตระกูลมู่และเฟิงเอ๋อร์ไว้เื้ัเช่นนี้ ท่านรู้หรือไม่ ในใจของเฟิงเอ๋อร์ท่านคือวีรบุรุษผู้กล้าอันดับหนึ่ง เฟิงเอ๋อร์ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งท่านจะจากเฟิงเอ๋อร์ไปเช่นนี้"
มู่เฟิงคุกเข่าลงหน้าสุสาน พลางจ้องมองไปยังหลุมฝังศพและพึมพำกับตัวเอง ในสนามรบแม้ต้องหลั่งเืเขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาออกมา มาเวลานี้ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“ท่านเคยบอกเฟิงเอ๋อร์ว่าทหารตายในสนามรบนับเป็ความภาคภูมิใจ แต่การศึกในครานี้เราอาจไม่ต้องพบเจอจุดจบเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็ความผิดของเ้าคนสารเลวหนานหาว หากไม่ใช่เพราะมัน กองทัพตระกูลมู่ทั้งสองแสนนายจะถูกกวาดล้างได้อย่างไร แล้วท่านจะตายเช่นวันนี้หรือ!"
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเป็ห่วง วันหนึ่งเฟิงเอ๋อร์จะทวงความยุติธรรมให้ท่านและเหล่าพี่น้องกองทัพตระกูลมู่ทั้งสองแสนนายของเราเอง ถ้าชีวิตนี้ข้าไม่ได้สังหารเ้าสารเลวหนานหาวผู้นั้น ข้ามู่เฟิงผู้นี้จะไม่ถือว่าตนเป็มนุษย์อีกต่อไป"
ชายหนุ่มมองไปยังหลุมศพพร้อมกัดฟันแน่น ทุกคำกล่าวของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ชิงชังและเจตนาสังหาร
ในขณะที่มู่เฟิงถือจอกสุราไว้ในมือ แหวนสีดำบนนิ้วของเขาก็ส่องประกายแวววาวออกมา แหวนวงนี้คือแหวนเฉียนคุน*ระดับต่ำ เป็แหวนที่มีช่องว่างขนาดเล็กอยู่ภายใน มันถูกหลอมขึ้นมาโดยช่างฝีมือผู้หนึ่ง
(*แหวนที่มีสัญลักษณ์แห่งฟ้าดินหรือยันต์แปดทิศ)
แหวนเฉียนคุนระดับต่ำหนึ่งวงมีมูลค่าเป็พันตำลึงทอง หากไม่ใช่บุคคลที่มีสถานะร่ำรวยแล้วคงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้มันไว้กับตัว
เบื้องหน้าสุสานมีจอกสุราวางอยู่สองจอก ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาหนึ่งจอก ก่อนจะมองไปยังหลุมศพและร้องออกมาว่า "เหล่าพี่น้องทหารทั้งสองแสนนายของกองทัพตระกูลมู่ ขอให้พวกท่านไปสู่สุคติ!"
หลังกล่าวจบชายหนุ่มก็เทสุราลงบนพื้นครึ่งจอก ก่อนจะยกสุราส่วนที่เหลือขึ้นดื่ม และะโว่า "กองทัพตระกูลมู่ เราจะสู้จนกว่าจะมีชัย ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!"
ฆ่าในคำแรกเต็มไปด้วยความเศร้าโศกที่ฝังลึก
ฆ่าในคำที่สองเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันท้อถอย!
ฆ่าในคำที่สามแม้ต้องตายก็ไม่มีวันเสียใจ!
มู่เฟิงรินสุราจอกที่สองพร้อมกับพูดว่า "สุราจอกนี้ลูกขอคารวะแก่ท่านพ่อ ลูกขอขอบคุณที่ท่านคอยสอนสั่ง สอนให้ลูกเข้าใจว่าอะไรคือลูกผู้ชาย อะไรคือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ท่านพ่อ ลูกขอให้ท่านไปสู่สุคติ สักวันหนึ่งเฟิงเอ๋อร์จะนำหัวเ้าคนสารเลวนั่นมาทำความเคารพต่อท่านและเหล่าพี่น้องกองทัพตระกูลมู่ของเราให้จงได้"
มู่เฟิงเทสุราลงไปครึ่งจอกและยกส่วนที่เหลือขึ้นดื่มอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ทุ่มจอกสุราทิ้งลงบนพื้น ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นฟ้าและส่งเสียงคำรามออกมาอย่างโศกเศร้า
หลังคนตระกูลมู่ด้านนอกสุสานได้ฟังเสียงคำรามที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ระทมนี้ บางคนถึงกับร้องไห้ ส่วนบางคนก็ทำเพียงทอดถอนใจออกมา
เหมือนว่าการร้องะโของมู่เฟิงจะทำให้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงบนพื้น เวลานี้เขากลับทำได้เพียงแค่ก้มมองมือที่ซีดเซียวของตัวเอง
“์ เหตุใดท่านถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้ ปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดแต่กลับทำลายเส้นลมปราณของข้า ทำให้ข้ากลายเป็แค่สวะที่ไร้ค่าคนหนึ่ง แบบนี้ข้าจะแก้แค้นแทนท่านพ่อและเหล่าพี่น้องทหารทั้งสองแสนนายได้อย่างไร ข้าจะแก้แค้นแทนพวกเขาได้อย่างไร!"
มู่เฟิงกระแทกหมัดลงบนพื้นหินจนกำปั้นของเขาเป็แผลและมีเืไหลออกมา ดวงตาของเด็กหนุ่มยังคงเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม เขาย่อมตระหนักได้ว่าเมื่อเส้นลมปราณของตนถูกทำลาย เขาก็จะไม่สามารถดูดซับพลังฟ้าดินเพื่อเพิ่มพลังปราณได้อีก การดูดซับพลังฟ้าดินนั้นจำเป็จะต้องพึ่งเส้นลมปราณ ในเมื่อไม่มีมันแล้วเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเศษสวะที่ไร้ประโยชน์
ในตอนแรกเริ่มของการฝึกวรยุทธ์นั้นจะอยู่ในระดับที่เรียกว่าทงม่าย ซึ่งเป็การทะลวงเส้นลมปราณ บนร่างกายมนุษย์จะมีเส้นลมปราณสิบสองจุด หากเปิดเส้นลมปราณได้ครบเก้าจุดจะสามารถทะลวงผ่านระดับจื่อฝู่ได้ ทำให้กักเก็บพลังปราณได้เพิ่มมากขึ้น
เหนือกว่าระดับจื่อฝู่คือระดับหนิงกัง และเหนือกว่าระดับหนิงกังก็คือระดับหยวนตาน โดยการฝึกพลังทั้งสี่ระดับนี้จะถูกแบ่งออกเป็เก้าขั้น
ในอดีตตอนอายุครบสิบสองปี มู่เฟิงสามารถเปิดเส้นลมปราณได้ครบเก้าจุด พออายุถึงสิบสี่ปี เขาสามารถบรรลุขึ้นมายังระดับจื่อฝู่ได้สำเร็จ และเมื่ออายุครบสิบห้าปี เขาก็สามารถฝึกพลังจนถึงระดับจื่อฝู่ขั้นที่สองได้แล้ว นับว่าเป็อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง
แต่เวลานี้เส้นลมปราณของเขากลับถูกทำลาย ร่างกายของเขาไม่มีพละกำลังอะไรอีกต่อไปแล้ว พลังที่สู้อุตส่าห์ลำบากฝึกฝนมานานหลายปีตอนนี้กลับไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ยินยอม ข้ามู่เฟิงผู้นี้ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด!”
เด็กหนุ่มยังคงใช้หมัดอัดลงไปบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อระบายความทุกข์ระทมที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ โลหิตไหลซึมออกมาราวกับว่ามันเป็หยาดน้ำตาแทนการสะอื้นไห้ จากเด็กหนุ่มผู้ห้าวหาญ มาเวลานี้เขากลับดูเหมือนเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น
“เฟิง พอแล้ว อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย...อือๆ ๆ”
ฉับพลันนั้นได้มีอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นสวมกอดเขาเข้ามาจากทางด้านหลัง เป็เด็กสาวในชุดขาวผู้มีอายุจวนจะเข้าวัยสิบหกปีเต็มแล้วนั่นเอง แน่นอนว่าเธอก็คืออวิ๋นชิงว่าน คู่หมั้นและคนรักในวัยเด็กของเขา
"ว่านเอ๋อร์..."
มู่เฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างเศร้าโศก "ข้าควรจะทำเช่นไรดี เส้นลมปราณของข้าถูกทำลาย ข้าไม่มีวรยุทธ์อีกต่อไปแล้ว ท่านพ่อก็จากไปแล้ว ข้าควรจะทำอย่างไรต่อไป ข้าควรจะแก้แค้นอย่างไรดี"
มู่เฟิงร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดของเด็กสาว ทำให้เธอได้เห็นด้านอ่อนแอและเปราะบางของเขาที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
"ไม่ เฟิง เ้ายังมีข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นว่านเอ๋อร์จะไม่มีวันทอดทิ้งเ้า เ้าคือสายลมที่แสนอิสระ ส่วนข้าคือใบไม้ที่พัดปลิวตามกระแสลมของเ้า ไม่ว่าลมจะไปที่ใดย่อมมีใบไม้คอยเกาะเกี่ยวตามไปด้วย เฟิง เ้าต้องสู้ต่อไปนะ ข้าจะเป็กำลังใจให้เ้าเอง หากเ้า้าพิชิตใต้หล้าเพื่อข้า ข้าจะรอคอยวันนั้น ข้าจะยืนหยัดอยู่ข้างเ้า”
อวิ๋นชิงว่านกดคางลงบนศีรษะของมู่เฟิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น นิ้วเรียวบางคอยเกลี่ยและเช็ดน้ำตาให้กับเขา เธอใช้ความอบอุ่นของตนชุบหัวใจที่จวนจะแตกสลายของเด็กหนุ่มขึ้นมา เมื่อเห็นเขาเป็เช่นนี้เธอเองก็รู้สึกปวดใจไม่น้อยเช่นกัน
"น้องหญิง"
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น เ้าของเสียงเป็ชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีสวมชุดคลุมสีน้ำเงิน เขามีคิ้วคมดุจกระบี่และดวงตาสุกสกาวราวกับดวงดาว อีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็ปม
"ท่านพี่"
ว่านเอ๋อร์มองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ ก่อนเอ่ยถามขึ้นมาว่า "ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?"
ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่าอวิ๋นอี้ เป็คุณชายตระกูลอวิ๋นและเป็พี่ชายของอวิ๋นชิงว่าน
“ท่านพ่อให้ข้ามาตามเ้ากลับจวน”
อวิ๋นอี้เดินเข้ามาคว้ามือของอวิ๋นชิงว่านโดยไม่สนใจมองมู่เฟิงเลยแม้แต่น้อย เขา้าพาตัวน้องสาวของตนกลับไปในทันที
“ไม่ ข้าไม่กลับ ข้า้าอยู่กับเฟิง!”
อวิ๋นชิงว่านสะบัดมือของอวิ๋นอี้ออก และพูดอย่างหนักแน่น
“อยู่กับเขา? เ้า้าจะอยู่กับเ้าคนไร้ประโยชน์นี่หรืออย่างไร? กลับไปกับข้า คราวนี้ท่านพ่อให้ข้ามาตามเ้ากลับจวน”
ในประโยคแรกอวิ๋นอี้จงใจกล่าวเสียดสีมู่เฟิง ส่วนประโยคหลังเขากล่าวกับอวิ๋นชิงว่านด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว มือหนาคว้าจับมือบางของว่านเอ๋อร์อีกครั้ง และครานี้ว่านเอ๋อร์ก็ไม่อาจสะบัดมันให้หลุดได้อีก
“เหตุใดท่านพ่อจึงไม่ยอมให้ข้าอยู่กับตระกูลเฟิง ข้าไม่ไป”
"ปล่อยมือ"
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็หยัดกายลุกขึ้น เขามองอวิ๋นอี้และพูดอย่างเ็าว่า "แม้เ้าจะเป็พี่ชายแท้ๆ ของว่านเอ๋อร์ แต่เ้าก็ไม่มีสิทธิ์บังคับนาง"
เมื่อได้ยินดังนั้นอวิ๋นอี้กลับแสยะยิ้ม พร้อมมองมู่เฟิงอย่างดูแคลน "มู่เฟิง ตอนนี้เ้ามีคุณสมบัติอันใดที่จะมากล่าวคำพูดเหล่านี้กับข้า หากข้าจะพาว่านเอ๋อร์กลับแล้วเ้าจะทำอะไรได้? เ้าคิดว่าตัวเองยังเป็อัจฉริยะอยู่อีกหรือ? เ้าในวันนี้เป็เพียงแค่คนไร้ประโยชน์ ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะคบหากับน้องสาวของข้าอีกต่อไปแล้ว”
ในอดีตมู่เฟิงมีวรยุทธ์สูงส่งและมีชื่อเสียง ระหว่างรุ่นเยาว์นั้นมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ดังนั้นที่ผ่านมาอวิ๋นอี้จึงรู้สึกแค้นเคืองมู่เฟิงที่เหนือกว่าเขามาโดยตลอด
"เ้า...! ข้าไม่ใช่คนไร้ประโยชน์!"
เหมือนว่ามู่เฟิงจะถูกยั่วยุด้วยคำพูดเหล่านี้ เขาโกรธจัดและเหวี่ยงหมัดต่อยอวิ๋นอี้ทันที แต่อีกฝ่ายกลับสามารถคว้าหมัดของเขาได้ด้วยมือข้างเดียว และเตะสวนกลับตรงหน้าท้องส่วนล่างของเขา ใบหน้าของมู่เฟิงซีดลงถนัดตา เห็นได้ชัดว่าลูกเตะเมื่อครู่ทำให้เขาเจ็บจนต้องถอยห่างออกมา
"ฮ่าๆ ไอหยา ดูเ้าในตอนนี้สิ กระทั่งแรงเตะของข้ายังทนแทบไม่ได้ ทั้งที่เมื่อครู่ข้าใช้พลังปราณไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"
อวิ๋นอี้เย้ยหยันอย่างเ็า
"มู่เฟิง ทางที่ดีเ้าควรจะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของเ้า รวมถึงสถานการณ์ของตระกูลมู่ในตอนนี้ด้วย เวลานี้ท่านอ๋องหาวกำลังจับตามองตระกูลมู่ของเ้าอยู่ ในเมืองหลวงไม่มีใครไม่ทราบถึงเื่นี้ หากว่านเอ๋อร์ติดตามเ้านางจะพลอยติดร่างแหไปด้วย ฉะนั้นเ้าจงวางตัวให้ดี และอย่าได้เข้ามาพัวพันกับน้องสาวของข้าอีก"
หลังกล่าวจบ อวิ๋นอี้ได้ใช้กำลังลากตัวน้องสาวที่ร้องไห้และพยายามดิ้นรนออกไปทันที ส่วนมู่เฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คำพูดเมื่อครู่ของอวิ๋นอี้ราวกับเป็เข็มทิ่มแทงหัวใจของเขา เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ไม่นานก็มีเืไหลซึมออกมา
"ในตระกูลมู่ไม่มีคนขี้ขลาด มีเพียงแต่ผู้กล้าที่พึ่งพาตนเองได้เท่านั้น ว่านเอ๋อร์เ้าวางใจเถอะ ข้ามู่เฟิงจะไม่มีทางปล่อยให้มันเป็เช่นนี้ต่อไปแน่!..."
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้