อวิ๋นจื่อรู้สึกซาบซึ้งกับตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว นางจึงไม่ได้สนใจเย่เช่อมากนัก
เย่เช่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ข้าจะเขียนเพิ่มอีกสักประโยค”
อวิ๋นจื่อมองเขาจรดพู่กันลงบนกระดาษข้าว นางอยากเห็นสิ่งที่เขาเขียน
“คู่เดียวชั่วชีวิต สามชาติสามภพไม่แยกจาก”
อวิ๋นจื่อมองไปยังตัวอักษรที่ดูหนักแน่นอย่างมีความสุขและกล่าวว่า “คุณชายช่างมีพร์ด้านบทกวีจริงๆ”
เย่เช่อมองนางด้วยความรักใคร่ “พอได้พบเ้า จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากกลับไปชายแดน ปี้เหยียนเ้ากลับไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่งกับข้าได้หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อกะพริบตา นางรู้สึกใเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณชายเป็แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดถึงไม่อยากกลับไปที่กองทัพล่ะ?”
นางกล่าวอย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลาคิดเลย
หลังจากกล่าวจบ นางก็รู้สึกกังวลมาก คำพูดนี้จะทำให้เขาระแวงหรือไม่?
เย่เช่อไม่ได้สนใจมากนัก เขายิ้มเศร้าๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่้าให้เ้าไปอยู่กับข้าที่ชายแดน ที่นั่นลำบากนัก”
กระแสความอบอุ่นวาบขึ้นในใจของอวิ๋นจื่อ แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรความขมขื่นเล็กน้อยก็ผุดขึ้นมา คนที่ทำให้นางตกหลุมรักก็มีใจให้นางเช่นกัน นางเข้าใจความรักของเขา เขาเข้าใจความอ่อนโยนของนาง คนแบบนี้น่าจะอยู่กับนางได้อย่างตลอดรอดฝั่ง อีกทั้งยังเป็คนที่หาได้ยากยิ่ง
ั้แ่เมื่อไหร่กันที่เื่ราวระหว่างนางและเขาเป็ไปไม่ได้?
ตอนที่นางออกจากตำหนักเหวินฮวา?
ตอนที่เสด็จพ่อนอนจมกองเื?
ตอนที่นางกลายเป็คณิกาในหอจุ้ยฮวน?
ตอนที่เย่เซียงขึ้นครองบัลลังก์เป็ฮ่องเต้?
หรือตอนที่โจวยี่จะลอบสังหารนาง?
บางทีนางก็รู้สึกเ็ปเคียดแค้น
บางทีนางก็ไม่รู้สึกอะไรเลย
แม้เวลาจะผ่านไปเพียงครึ่งปี แต่กลับดูเหมือนผ่านไปหลายสิบปีแล้ว จากองค์หญิงแห่งตำหนักเหวินฮวา นางถูกลดชั้นให้เป็คณิกาในหอคณิกาเลื่องชื่อ ได้ลิ้มรสความยากลำบากที่แตกต่างจากชีวิตในวัง และแม้แต่ความสุขเพียงเล็กน้อยก็หาได้ยากเหลือเกิน หลังจากประสบกับความสูญเสียอีกครั้งหรือหลังจากไม่มีจินเหนียง ความเหงาในใจของนางก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อนึกถึงเื่เหล่านี้ อวิ๋นจื่อก็ปวดใจจนอยากจะร้องไห้อีกครั้ง
เย่เช่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของหญิงสาว เขาจึงวางพู่กันลงแล้วรั้งตัวนางมากอดไว้แน่น
ลมหายใจอุ่นๆ ของเย่เช่อพัดพาเงามืดในใจของนางให้หายไป
นางไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น
แสงแดดยามบ่ายส่องเข้ามาทางหน้าต่าง แดดอ่อนๆ ส่องกระทบกับสองร่างที่กำลังคลอเคลียกัน
่เวลานี้ช่างวิเศษจริงๆ นางได้แต่ภาวนาให้มันเป็เช่นนี้ตลอดไป
อย่าคิดเื่อื่น
ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานอวิ๋นจื่อก็ผลักเขาเบาๆ และกล่าวว่า “คุณชาย ข้าต้องกลับแล้ว”
เย่เช่อพยักหน้า
อวิ๋นจื่อมองเขาอย่างจริงจังและกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ขอบคุณคุณชายที่พาข้ามายังสถานที่ที่งดงามเช่นนี้ ปี้เหยียนมีความสุขมาก”
เย่เช่อมองนางอย่างลึกซึ้ง “เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เ้าไม่มีความสุข”
“ไม่เลย” อวิ๋นจื่อรีบปฏิเสธ “ข้ามีความสุขมากที่ได้อยู่กับคุณชาย แต่ถ้าข้าไม่กลับไปป้าอวิ๋นจะเป็ห่วงเอาได้”
เย่เช่อทำตามคำพูดของนางและสั่งให้คนเตรียมรถม้า
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็นั่งอยู่ในรถม้าแล้ว
อวิ๋นจื่อรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจึงเอนศีรษะพิงรถม้า หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็หลับไป
เมื่อมองไปยังใบหน้างดงามที่กำลังหลับใหลอย่างสงบสุข เย่เช่อก็รู้สึกว่าเหตุใดเขาถึงไม่เจอนางให้เร็วกว่านี้
เมื่ออวิ๋นจื่อตื่นขึ้น นางก็ได้ยินเสียงฝนตก
ฝนตกหรือ?
นางเงยหน้าขึ้นและพบกับดวงตาคมชัดของเย่เช่อที่มองนางอยู่ก่อนแล้ว
“เ้าตื่นแล้วหรือ?” เสียงของเย่เช่อนุ่มนวลเป็ธรรมชาติ
อวิ๋นจื่อยิ้มบางๆ แต่ไม่ตอบ นางปรับเปลี่ยนท่าทางเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองนั่งสบายขึ้นก่อนจะกล่าวว่า
“ข้างนอกฝนตกหรือไม่?”
แม้ว่าไม่รู้จะคุยอะไรกัน แต่ทั้งคู่ต่างชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้
ภายในรถม้าแตกต่างจากข้างนอกที่มีสายฝนโปรยปราย มันอบอุ่นและสบายกว่า เย่เช่อรินชาให้นางอย่างระมัดระวังและกล่าวว่า “ดื่มชาร้อนๆ เสียหน่อย อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว”
อวิ๋นจื่อรับชาด้วยรอยยิ้ม นางมองเย่เช่อด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าวและถามเสียงต่ำว่า “ท่านรินชาให้คนอื่นบ่อยหรือ? ทักษะการรินชาของท่านดียิ่งกว่าหงจินเสียอีก”
เย่เช่อไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “หงจินคือใคร?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “นางเป็สาวใช้ในศาลาฉีอวิ๋น ท่านเคยเห็นนางแล้ว”
เย่เช่อพยักหน้า “ข้ารู้ เ้าพึงพอใจเหยาหวงกับเว่ยจื่อหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เรียกใช้พวกนางมานานแล้ว ข้าคิดว่าพวกนางกลับไปแล้วเสียอีก”
ทั้งสองพูดคุยกันไปตลอดทาง และก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว รถม้าก็มาถึงเมืองหยงโจวแล้ว อวิ๋นจื่อรู้สึกได้ว่าสภาพถนนดีขึ้น นางเปิดม่านอย่างกล้าหาญและมองออกไปข้างนอก เนื่องจากฝนตกจึงมีคนเดินถนนไม่มากนัก ดูเหมือนฝนจะตกหนักจึงมีฝนสาดเข้ามาบ้าง อวิ๋นจื่อจึงรีบลดม่านลง
นางกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ดูเหมือนฝนจะตกหนัก”
เย่เช่อกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ไม่นานก็ถึงแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น
อวิ๋นจื่อกลัวฟ้าร้องมากที่สุด นางส่งเสียงกรีดร้องออกมาและโผกอดเย่เช่อโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของหญิงสาว เย่เช่อก็รู้สึกสงสาร เขากอดนางไว้และปลอบโยนนางอย่างนุ่มนวล
ในที่สุดเสียงฟ้าร้องก็เงียบลง
อวิ๋นจื่อรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
นางกำลังทำอะไร?
นางกำลังพึ่งพาเขาเหมือนที่เคยพึ่งพาจินเหนียง
นางผงะเล็กน้อยและใช้เวลาสักพักกว่าจะได้สติ ทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่าตนเองกำลังกอดชายหนุ่มอย่างแแ่ นางรู้สึกลนลานทันที ดวงตานางหลุบลง “ข้า..ข้า…ขออภัยและขอบคุณท่านมาก”
เย่เช่อยิ้มอย่างนุ่มนวล “ไม่เป็ไร”
บรรยากาศระหว่างทั้งสองเริ่มดีขึ้นจนเมื่อรถม้ามาถึงหอจุ้ยฮวน อวิ๋นจื่อก็ยังไม่รู้ตัว
“ถึงแล้วหรือ?” นางกล่าว “ข้าคิดว่ารถม้าจะแล่นช้าลงเมื่อฝนตก แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้”
เมื่อเย่เช่อส่งอวิ๋นจื่อเข้าไปในหอจุ้ยฮวนและบอกลานางเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับเข้าไปในรถม้า บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ขับรถม้าเอ่ยถามว่า “คุณชายจะไปที่จวนตระกูลซูหรือไม่ขอรับ?”
เย่เช่อตอบอย่างเ็าว่า “ไม่ ไปที่จวนตระกูลมู่”
ทันทีที่อวิ๋นจื่อกลับมาถึง นางก็เรียกหาเหยาหวงและเว่ยจื่อทันที
สาวงามทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้านาง นี่ทำให้อวิ๋นจื่อรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะทั้งคู่งดงามกว่าชิงเกอที่ตายไปแล้วเสียอีก ไม่รู้ว่าเย่เช่อคิดอย่างไรถึงส่งพวกนางมาที่นี่
เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงงามสองคนที่เป็วรยุทธ์เช่นนี้ อวิ๋นจื่อก็ไม่ค่อยมีความสุขนัก
ท้ายที่สุดทั้งสองล้วนเป็คนของเย่เช่อ
ทั้งยังเป็หญิงสาวหน้าตางดงาม
เนื่องจากตัวนางเองมีใจให้เย่เช่อ นางจึงไม่อยากให้คนอื่นมีเจตนาเดียวกับนาง
หญิงงามทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้า แต่อวิ๋นจื่อกลับไม่กล่าวอะไรออกไปแม้ครึ่งคำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้