หลังจากถูกครอบครัวเหอเล่นงานจนสะบักสะบอม ชย่าลิ่วอีก็เหมือนถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งด้วยความโกรธแค้น เขาเปลี่ยนจากคนซึมเศร้าไร้ชีวิตชีวา เป็คนที่เกลียดชังโลกและเต็มไปด้วยความกระหายอยากที่จะฆ่าคน แต่ด้วยอาการาเ็สาหัสจนแม้แต่ตะเกียบก็ยังยกไม่ขึ้น ภายในปากทั้งสองข้างถูกยัดด้วยสำลี ฟันใหม่ที่ใส่เข้าไปก็เหมือนกับต้นกระบองเพชร รู้สึกเจ็บเสียทุกครั้งที่โดนจนแม้แต่จะด่าก็ยังทำไม่ได้ พลังต่อสู้จึงอ่อนแอลงอย่างสิ้นเชิง ลูกน้องของแก๊งเซียวฉียังคงออกตามล่าเขาไปทั่วตรอกซอกซอยในเขตเมืองกำแพงเจียวหลง บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงะโของพวกมันจากด้านนอกหน้าต่าง ทว่าเขาไม่มีแรงที่จะออกไปแก้แค้นศัตรู จึงได้แต่ระบายความเกลียดชังและความกระหายที่จะฆ่าใส่เหอชูซาน– ส่งสายตาอาฆาตใส่ไอ้แขกอินเดียทุกวัน
เหอชูซานเคยผ่านการทดสอบแสนหนักหน่วงมาแล้ว จิตใจจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก เขาไม่สะทกสะท้านกับสายตาที่สามารถทำให้คนธรรมดากลัวจนฉี่ราดได้อีกแล้ว นอกจากนี้เขายังเรียนรู้วิธีการที่จะทำให้ชย่าลิ่วอีให้ความร่วมมือระหว่างที่เขาคอยดูแลในการเช็ดตัวและเปลี่ยนยาให้ในทุกวัน
“พี่ลิ่วอี ช่วยยกแขนหน่อย”
“พี่ลิ่วอี ช่วยพลิกตัวหน่อย”
“พี่ลิ่วอี แยกขาออกหน่อย ผมเช็ดข้างหลังไม่ถึง จะให้เช็ดข้างหน้าด้วยไหม”
“พี่ลิ่วอี ตื่นมาฉี่ก่อนครับ เดี๋ยวผมจะออกไปเรียนแล้ว ถ้าไม่ฉี่ตอนนี้ต้องรอจนถึงตอนเย็นเลยนะ”
“…” ชย่าลิ่วอี
ชย่าลิ่วอีจิกที่นอนทุกวันจนผ้าปูที่นอนเต็มไปด้วยรู
……
ตรอกเล็กๆ แห่งนี้ส่วนใหญ่เป็ที่พักอาศัยของชาวบ้านที่หาเลี้ยงชีพด้วยงานฝีมือ สองข้างทางมีเพียงคลินิกเถื่อน ร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายเนื้อสด พอมืดค่ำหลังเวลาสี่ทุ่มก็ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านแล้ว ผ้าม่านถูกปิดมืด ไม่มีแสงไฟเล็ดลอด ห้องหับต่างๆ ก็มืดสนิทเช่นเดียวกัน
ชย่าลิ่วอีพลิกตัวตะแคงข้างบนเตียงเหล็กอย่างยากลำบาก เขาใช้ข้อศอกพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยืดขาออกอย่างทุลักทุเลแล้วเตะไปยังเหอชูซานที่นอนอยู่บนพื้น
เหอชูซานลุกขึ้นมานั่งอย่างงัวเงีย “พี่ลิ่วอี?”
“ตึกนี้มีดาดฟ้าไหม” ชย่าลิ่วอีถาม สำลีในปากของเขาถูกถอดออกแล้ว หากไม่นับการพูดที่ยังไม่ค่อยชินนักในตอนนี้ ร่างกายเขาก็กลับมาเป็ปกติแล้ว
เหอชูซานประคองชย่าลิ่วอี ทั้งสองคนย่องออกไปทางประตูอย่างลับๆ มือลูบไปตามผนังเลอะคราบน้ำระหว่างเดินขึ้นบันไดไปตามทางเดินแคบๆ ทีละขั้น ทีละขั้น จนขึ้นไปถึงดาดฟ้า หลายวันที่ผ่านมาไม่มีแสงแดด บนดาดฟ้าที่คับแคบจึงมีเพียงผ้าห่มผืนเก่าปลิวไสวอยู่
“มีเหล็กเส้นอยู่ตรงนี้ ระวังเท้าด้วยนะครับ” เหอชูซานเตือนพร้อมประคองชย่าลิ่วอีให้ก้าวขาข้ามผ้าห่มไปนั่งที่ขอบดาดฟ้า
อาคารหลังเล็กที่สูงเพียงสี่หรือห้าชั้นนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยอาคารสูงหลายหลังราวกับกบในก้นบ่อ วิวทิวทัศน์ที่มองเห็นไกลๆ ผ่านช่องว่างระหว่างอาคารสูงอย่างยากลำบากนั้นเป็ย่านจิมซาจุ่ยที่พลุกพล่าน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นพระจันทร์และดวงดาวรางๆ บนฟ้า
ชย่าลิ่วอีนั่งพิงราวหิน เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน จึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้สูบบุหรี่มาสองสัปดาห์แล้ว
ไอ้เวรนั่นแม้จะถูกเขาจ้องจะฆ่าตายก็ยังไม่ยอมไปซื้อบุหรี่ให้ อีกทั้งยังกล้าพูดหน้าตาเฉยว่า “ผมกับพ่อไม่เคยสูบบุหรี่เลย จะทำให้คนสงสัยได้”
เขาเงยหน้าพิงราวหิน สูดหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่กำลังจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก็ได้ยินเสียง ‘แซก’ ดังขึ้นมาจากข้างตัว
เหอชูซานจุดเทียนเล่มหนึ่ง วางกระเป๋าใบเล็กของเขาลงบนพื้น แล้วนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือ
“…” ชย่าลิ่วอี
“เฮ้ย ฉันบอกให้ขึ้นมาอยู่เป็เพื่อนหน่อย” เขาเหลืออดจนเส้นเืปูดแล้ว
“พี่ลิ่วอีนั่งเลยครับ ผมจะไม่รบกวนพี่” เหอชูซานพูดอย่างนอบน้อม พรุ่งนี้เขามีสอบปลายภาค ควรจะรีบอ่านทบทวนให้เต็มที่
“…” ชย่าลิ่วอีอยากจะฟาดกบาลเขาเหลือเกิน ไอ้จิ้งจอกเ้าเล่ห์ ไอ้หนอนหนังสือ!
์ช่างมีตา ในที่สุดฟ้าก็เมตตาข้าแซ่ชย่าคนนี้ แสงไฟจากเทียนไขถูกดับลงด้วยแรงลม แม้เหอชูซานจะจุดไม้ขีดไฟอันใหม่ขึ้นมา แต่ไม่นานก็ดับอีก พอคลำหาไม้ขีดไฟก็พบว่าไม่มีเหลือแล้ว
ชย่าลิ่วอียิ้มมุมปากมองเหอชูซานที่หมดหนทาง เขาเก็บกระเป๋าแล้วนั่งลงข้างๆ ชย่าลิ่วอีอย่างว่าง่าย
“พี่ถูกตามล่าหรือ? พี่ทำอะไรผิด?” เขาถามถึงเื่ที่เคยพูดคุยกันเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
ครั้งนี้ชย่าลิ่วอีไม่ได้ทำอะไรใส่เขา เขาเอียงศีรษะเงียบสักพักแล้วพูดว่า “พี่สาวของฉันและพี่ใหญ่ถูกคนฆ่าตาย”
เขาสงบนิ่ง ไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียวต่อหน้าร่างไร้ิญญาของชย่าเสี่ยวหม่านและชิงหลง ระหว่างสองวันที่ถูกไล่ล่าราวกับหมาข้างถนน เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดถึงเื่นี้เลยสักวินาทีเดียว จากนั้นเขาก็นอนนิ่งเงียบอยู่ในห้องเล็กๆ ที่หนาวเหน็บและคับแคบโดยใช้เวลาถึงสองสัปดาห์เต็มในการยอมรับความจริงนี้
เหอชูซานใมาก “พี่สาวของพี่เสียชีวิตแล้วหรือ?”
“อืม”
เหอชูซานตกตะลึงไปชั่วขณะ “เธอเป็คนดีนะ”
“ฉันรู้” ชย่าลิ่วอีเงยหน้ามองท้องฟ้า
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นเบาๆ “เมื่อก่อนฉันเคยอาศัยอยู่ที่ตรอกซีโถวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่"
เหอชูซานอุทาน “หือ?”
“เฮ้อ จะอุทานอะไรนักหนา ฉันแก่กว่านายแค่สามปี ตอนเด็กๆ เราอาจจะเคยเจอกันก็ได้”
“พี่เคยแกล้งฉันด้วยหรือ?” เหอชูซานพูดพลางพยายามอย่างหนักที่จะนึกย้อนไปถึง่เวลาในวัยเด็กที่เขาถูกกลั่นแกล้งและทำร้ายร่างกายว่ามีจอมวายร้ายคนนี้อยู่ด้วยหรือไม่
“คิดอะไรล่ะ” ชย่าลิ่วอีตอบ “ตอนเด็กๆ ฉันไม่ชอบไถเงินใคร วันๆ ก็คิดแค่ว่าจะหาอาหารกินได้ยังไง พ่อของฉันเป็คนติดยา เขาเสพยา เล่นการพนัน ดื่มเหล้า ส่วนแม่ก็ทิ้งฉันไปหลังจากที่คลอดฉันออกมา”
“เสี่ยวหม่านอายุมากกว่าฉัน 3 ปี ตอนที่ลูกคนอื่นยังพูดไม่ชัด เธอกลับทำข้าวต้มป้อนฉันได้แล้ว แถมยังแบกฉันออกไปอาบแดดข้างนอกด้วย พ่อทุบตีพวกเราทุกวัน บังคับให้เราไปขโมยของ ถ้าขโมยไม่ได้ก็จะโดนตีจนเกือบตาย และทุกครั้งเสี่ยวหม่านก็จะปกป้องฉันจนตัวเองาเ็ แม้กระทั่งลงจากเตียงก็ยังทำไม่ได้”
ชย่าลิ่วอีปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่ได้หวนนึกถึงเื่ราวเ่าั้มานานแล้ว “ตอนฉันอายุ 10 ขวบ พ่อจะขายเสี่ยวหม่านไปเป็โสเภณี ฉันเลยพาเสี่ยวหม่านหนี แต่พ่อตามมาทัน พ่อเกือบจะตีฉันตายคาตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็ทำแค่มองดู ไม่มีใครเข้ามาช่วยพวกเราเลย”
“แล้วชิงหลงก็โผล่มา”
“เขามากับลูกน้องหลายคน ดูเท่มาก เพียงแค่เขาเหลือบมอง พ่อก็คุกเข่าให้เขาแล้ว เขาพยุงฉันขึ้น แล้วยังให้เสี่ยวหม่านจับมือเขาเดิน นั่นเป็ครั้งแรกที่เราได้รับการปกป้อง”
“วันนั้นเป็วันที่ 1 มิถุนายน เขาบอกว่าที่จีนแผ่นดินใหญ่เป็วันเด็ก เป็วันของฉันกับเสี่ยวหม่าน ดังนั้นเขาจึงอยากเลี้ยงเค้กเรา นั่นเป็ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้กินเค้ก ฉันรู้สึกว่าวันนั้นเป็วันเกิดครั้งแรกของฉันจริงๆ ฉันจึงเปลี่ยนชื่อเป็ชย่าลิ่วอีและเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ ฉันบอกเขาว่าฉันจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต อยู่กับเขาแล้วมีเค้กกิน”
เหอชูซานเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขาในแสงสลัว
“เขาให้ฉันกับเสี่ยวหม่านไปอยู่ที่บ้านของเขา มีคนดูแล มีหนังสือให้อ่าน แต่เราไม่ชอบเรียนเลยเลิกเรียนกลางคัน เสี่ยวหม่านชอบร้องเพลง เขาเลยส่งไปเรียนร้องเพลง ส่วนฉันชอบต่อสู้ เขาเลยหาอาจารย์มาสอน พออายุได้ 14 ปีฉันก็คิดว่าตัวเองโตแล้วเลยขอเขาเป็ลูกน้อง จากนั้นก็เข้าพิธีคารวะยกจอกเหล้าให้เขาเป็หัวหน้า”
“่แรกๆ เขาไม่ให้ฉันออกไปทำงาน บอกว่าฉันยังเด็ก ให้อยู่กับเขาแบบนี้ไปก่อน แต่ในตอนที่ฉันอายุ 18 ปี เขาก็โดนดักลอบโจมตี ตอนนั้นเขาพาคนไปด้วยแค่ไม่กี่คนแล้วโดนล้อมอยู่ในตรอกที่เป็ทางตัน”
ชย่าลิ่วอียิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเหมือนคนบ้า คว้ามีดดาบสองเล่มแล้วก็พุ่งเข้าไปช่วยเขา ฟันไปกี่คนก็จำไม่ได้แล้ว สุดท้ายฉันก็ช่วยเขาออกมาได้ แต่เขากลับตบหน้าฉัน นั่นเป็ครั้งแรกที่เขาตบฉัน... และเป็ครั้งเดียวในชีวิต”
“ฉันถูกส่งไปโรงพยาบาล แล้วเสี่ยวหม่านก็เข้ามากอดฉันพร้อมกับร้องไห้ แต่ฉันไม่ได้บอกเธอว่า หลังจากที่ชิงหลงตบฉันแล้ว ในดวงตาของเขาก็มีน้ำตาเหมือนกัน”
“น้ำตาของเขาทำให้ฉันกลัวแต่ก็ดีใจมาก เพราะในโลกนี้นอกจากเสี่ยวหม่านแล้ว ก็ยังมีคนอื่นที่แคร์ฉันอีก”