เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปทำงานที่จวนสกุลอวิ๋น ติงเหว่ยก็จะสะพายกระเป๋าเดินไปอย่างช้าๆ และแน่นอนว่าคราวนี้ไม่มีใครมายืนชี้นิ้วตำหนินางจากที่ไกลๆ อีกต่อไป กล่าวได้ว่าหลังจากที่ท่านย่าเทวาูเาแสดงอิทธิฤทธิ์ไปนั้นมีอานุภาพไม่เบา
ไม่รู้ว่าจวนสกุลอวิ๋นกำลังขาดแคลนคนจริงๆ หรือเพราะการทะเลาะกันครั้งนั้นทำให้คุณชายอวิ๋นรู้สึกไม่สบายใจ หากเป็วันที่ติงเหว่ยมาทำงาน นางจะต้องรับหน้าที่ไปส่งอาหารเพิ่มด้วย ไม่เพียงเท่านั้นท่านลุงอวิ๋นเองก็ทำทุกวิถีทางที่จะฝากนางให้ช่วยพูดคุยกับคุณชายอวิ๋น แม้ว่าจะเป็แค่การแนะนำอาหารก็ได้
ในตอนแรกติงเหว่ยเองก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แม้ว่าใบหน้าของคุณชายอวิ๋นทั้งหล่อเหลาและดูเป็บุรุษที่แข็งแกร่ง แต่ทั้งร่างกายของเขาก็แสดงออกกลายๆ ว่าไม่้าให้คนแปลกหน้าเข้ามา ดังนั้นนางจึงไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดคุยอะไรดี
ยังดีที่แม้ตอนเจอกันครั้งแรกจะยังเป็คนแปลกหน้า แต่พอเจอกันครั้งที่สองก็เริ่มคุ้นเคยขึ้นมาบ้าง ท่านลุงอวิ๋นเองก็คอยให้กำลังใจติงเหว่ยอยู่ข้างๆ นางจึงค่อยๆ เคยชินไปเอง อย่างไรติงเหว่ยก็รับเงินค่าแรงจากสกุลอวิ๋นมาแล้ว นางจึงเอารายการอาหารของร้านอาหารในชาติที่แล้วมาทำให้คุณชายอวิ๋นกิน
……
วันเวลาเหล่านี้ค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ในที่สุดพี่รองสกุลติงก็หาร้านที่เหมาะสมได้ เขาจึงตั้งใจจ้างรถม้าหนึ่งคันเพื่อกลับไปรับท่านพ่อและน้องหญิงมาดูในเมืองสักรอบ
ติงเหว่ยสังเกตร้านข้างเคียงที่อยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาอย่างระมัดระวัง รวมถึงถนนด้านหน้าและตรอกด้านหลัง ในที่สุดนางก็พยักหน้าอย่างพอใจ เมื่อทำธุรกิจสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘เทียนสือ ตี้หลี่ และเหรินเหอ [1]’ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปจะเสียเปรียบหรือขาดทุนเอาได้
ทางด้านซ้ายของร้านนี้เป็ร้านขายภาพวาด และทางด้านขวาเป็โรงน้ำชา ต่างก็เป็สถานที่ที่ชนชั้นสูงหรือคนร่ำรวยมารวมตัวกัน ส่วนถนนชิงฉือลู่ที่อยู่ด้านหน้าฝั่งตรงข้ามมีทั้งโรงเตี๊ยมและภัตตาคารหลายแห่ง ส่วนตรอกด้านหลังร้านก็เงียบสงบ มีบ้านเศรษฐีอยู่สองสามหลัง แล้วยังมีเ้าหน้าที่ที่ทำงานในที่ว่าการอำเภอ กับอาจารย์ที่สอนในโรงเรียนประจำอำเภอ ช่างเป็เพื่อนบ้านดีๆ ที่หาได้ยากยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็เทียนสือ ตี้หลี่ และเหรินเหอต่างก็ครบองค์ประกอบทั้งหมด รอเลือกวันมงคลเพื่อเปิดร้านแล้วทุกอย่างก็ถือว่าเตรียมการพร้อมแล้ว เหลือเพียงย้ายเครื่องไม้รูปแบบใหม่จากบ้านมาที่นี่ หลังจากนั้นสกุลติงก็รอรับเงินได้เลย
ั้แ่ตอนที่พี่รองสกุลติงเป็นักเรียน หลังจากเขาเลิกเรียนก็ออกไปหางานทำในที่ต่างๆ ความยากลำบากใน่นั้นให้พูดอย่างไรก็คงพูดไม่หมด ทว่าวันนี้ได้เห็นร้านเครื่องไม้ของตนเองเป็รูปเป็ร่างขึ้นมา ในใจของเขารู้สึกซาบซึ้งต่อน้องหญิงอย่างมหาศาลราวกับแม่น้ำและท้องทะเล
หากน้องหญิงไม่ได้เปิดร้านอาหาร ครอบครัวก็คงไม่มีเงินค่าเช่าร้านให้นาง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาพร่างเครื่องไม้รูปแบบใหม่เ่าั้เลย คนในครอบครัวต่างก็บอกว่าน้องหญิงได้รับความโปรดปรานจากท่านย่าเทวาูเาถึงได้ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ แต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้น หากว่าน้องหญิงปฏิบัติไม่ดีต่อพี่ชายอย่างเขา ต่อให้นางมีกลยุทธ์หาเงินมากมายอยู่เต็มท้องก็คงไม่บอกเขาแม้เพียงครึ่งประโยค
ในใจของเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างมาก ทว่าชายหนุ่มลูกหลานชาวบ้านอย่างเขาไม่สามารถพูดคำขอบคุณที่น่าขนลุกอะไรอย่างนั้นได้ แต่เขาก็ตั้งใจว่าเมื่อร้านหาเงินได้แล้วจะค่อยๆ จัดการเตรียมสินเดิมให้น้องหญิงสักชุดอย่างเงียบๆ ต่อให้น้องหญิงจะมีลูกแล้วนางก็ยังต้องหาครอบครัวดีๆ ที่จะแต่งเข้าไป หรือต่อให้น้องหญิงหาคนดีๆ ไม่ได้ก็ไม่เป็ไร ให้เขาเลี้ยงดูน้องหญิงไปตลอดชีวิตก็ยังได้
ติงเหว่ยไม่รู้เลยว่าพี่รองของตนคิดรอบคอบขนาดนั้น นานๆ ทีจะได้เข้ามาในเมืองสักรอบนางจึงใช้โอกาสนี้ไปเดินดูที่ร้านขายผ้ากับร้านขายของจิปาถะสักหน่อย นางจึงซื้อของใช้เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นเข็มกับด้าย จากนั้นก็ซื้อฮวาเซิงถัง [2] อีกสองจินให้หลานชายกับหลานสาวของนาง
ในครั้งนี้แม่นางหลี่ว์ไม่ได้มาที่ร้านด้วย พี่รองสกุลติงจึงไปหาหมอดูตาบอดที่มีชื่อเสียงในเมืองคนหนึ่ง จากนั้นตกลงกันว่าอีกสิบวันหลังจากนี้จะเปิดร้าน
คนครอบครัวสกุลติงต่างกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานที่ร้านอาหาร ในขณะเดียวกันก็ตั้งตารอคอยที่จะเปิดร้านเครื่องไม้อย่างกระตือรือร้น บางครั้งชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านจะซื้อซาลาเปาสองลูกให้ลูกๆ ของพวกเขาได้กินอย่างอิ่มหมีพีมัน [3] เมื่อพวกเขาเห็นคนในครอบครัวสกุลติงยิ้มแย้มแจ่มใสจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามสักหน่อย
ประการแรก แม่นางหลี่ว์ภูมิใจกับลูกชายที่ดูมีอนาคตไกล ประการที่สองนางอยากจะแก้แค้น ดังนั้นนางจึงไม่เปิดปากพูดข่าวดีของครอบครัวแม้แต่คำเดียว
ดังนั้นบริเวณที่ราบลุ่มูเาแห่งนี้จึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ฐานะลูกศิษย์ท่านย่าเทวาูเาของติงเหว่ยก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว เดิมทีครอบครัวสกุลติงเป็แค่ครอบครัวชาวนาธรรมดา นอกจากจะมีที่นาไม่กี่หมู่แล้วก็เหมือนชาวบ้านในหมู่บ้านทั่วไปที่ใช้ชีวิตอย่างอัตคัด ทว่าหลังจากที่ลูกสาวบ้านนี้ไปเข้าตาท่านย่าเทวาูเาเข้า ความเป็อยู่ของพวกเขาก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา
ร้านอาหารของครอบครัวสกุลติงเจริญรุ่งเรืองเป็อย่างมาก รถม้าหรือคนที่สัญจรผ่านไปมาต่างไม่มีใครไม่เสียเงินสักคนเดียว คนที่กำลังรีบร้อนก็แวะมาซื้อสักชิ้นสองชิ้นเอาไว้กินไปและเดินทางไปด้วย ส่วนคนที่ไม่รีบร้อนอะไรก็นั่งที่ร้านและสั่งเจี่ยวจือในน้ำใส หรือไม่ก็ซาลาเปาอ้วนๆ สีขาว จากนั้นก็เพิ่มเครื่องเคียงสักสองสามจาน และเหล้าเก่าแก่สักหนึ่งไหมากินกัน ไม่ว่าพวกเขาจะมีความเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียมากสักแค่ไหน ความรู้สึกเ่าั้ต่างสลายไปจนหมด
ตอนนี้บ้านของสกุลติงกำลังจะเปิดร้านขายเครื่องไม้ในเมืองอีกด้วย อีกสักปีสองปีครอบครัวสกุลติงทั้งหมดคงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเป็แน่
ต้องกล่าวว่าคราวนี้ชาวบ้านพอจะฉลาดเฉลียวขึ้นมาบ้าง เพราะในเย็นวันนั้นขณะที่ครอบครัวสกุลติงกำลังกินข้าวก็พูดเื่ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองขึ้นมาเหมือนกัน พรุ่งนี้พวกเขาจะเอาเครื่องไม้ในบ้านเ่าั้ย้ายไปที่ร้านในเมือง และพี่รองสกุลติงก็คงต้องกินอยู่ที่นั่นเป็หลัก แต่เนื่องจากไม่มีคนดูแลจัดการเื่เสื้อผ้าและอาหารการกินของเขา แม่นางหวังจึงจำเป็ต้องตามไปด้วย พ่อแม่ต่างไปกันหมดจะทิ้งให้ฝูเอ๋อร์อยู่ที่บ้านก็คงไม่ดีเท่าไร ดังนั้นจึงต้องย้ายไปทั้งสามคนพ่อแม่ลูก
ทุกครั้งที่แม่นางหวังนึกถึงครอบครัวเล็กๆ ของนางที่กำลังจะได้ย้ายเข้าไปในเมือง ไม่มีแม่สามีมาคอยควบคุมอีกต่อไป และนางเป็ใหญ่สุดในบ้านทั้งหลัง นางก็ตั้งตารอคอยอย่างมีความสุขจนนอนไม่หลับ ทว่าความสุขนี้กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้ และยังทำเป็พูดอย่างจริงใจว่า “ข้าว่าให้ท่านพ่อกับท่านแม่ไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองดีกว่า ข้ากับฝูเอ๋อร์จะอยู่ที่นี่เอง ยังไงก็ยังมีร้านอาหารอยู่คงจะทิ้งไปไม่ได้อยู่ดี”
เป็อย่างที่นางคาดไว้ เมื่อแม่นางหลี่ว์ได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่ดีขึ้นมาก และพูดอย่างประหลาดใจว่า “ถ้าพูดอย่างนี้ก็เหมือนกับว่าถ้าร้านอาหารไม่มีเ้าก็เปิดไม่ได้อย่างนั้นสิ ต่อให้ข้ากับพ่อเ้าไปในเมืองก็ช่วยอะไรเ้ารองไม่ได้ อีกอย่างถ้าพวกข้าไปแล้วหมูและไก่ที่บ้านจะทำยังไง น้องหญิงของเ้าก็เดินเหินไม่ค่อยสะดวก หากว่าพ่อเ้าไปแล้วปล่อยให้พี่ใหญ่ทำงานเพาะปลูกที่นาคนเดียวก็คงไม่ไหวหรอก”
่ไม่กี่วันนี้แม่นางหลิวเองก็แอบคิดคำนวณอยู่ในใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่นานนางรู้สึกว่าการที่น้องสะใภ้รองจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเป็ข้อดีมากกว่าข้อเสีย แม่นางหลี่ว์ต้องดูแลเื่ที่บ้าน ที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ก็เป็แม่นางหลิวและพี่ใหญ่สองคนคอยดูแลจัดการ ถึงแม้จะไม่สามารถเอาเงินทองอะไรได้มากมาย แต่เงินที่ใช้ในมือก็สะดวกขึ้นมานิดหน่อย และนางยังสามารถตัดสินใจเื่ต่างๆ ได้เอง เมื่อคิดถึงภาพที่ได้ยินคนอื่นเรียกนางว่าเหล่าป่านเหนียง [4] นางก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ แม้ว่าครอบครัวของน้องรองย้ายเข้าไปในเมืองแล้ว เงินที่หาได้จากร้านก็ต้องส่งกลับมาให้แม่สามีอยู่ดี เพราะความจริงแล้วพวกเขายังไม่ได้แยกครอบครัวกัน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรครอบครัวของนางก็ไม่เสียเปรียบอะไรอยู่ดี
เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม่นางหลิวจึงรีบพูดสำทับว่า “ท่านแม่พูดถูกแล้ว น้องชายและน้องสะใภ้ย้ายเข้าไปในเมืองอย่างสบายใจเถิด เมื่อร้านเครื่องไม้ค้าขายรุ่งเรือง น้องรองคนเดียวคงทำไม่ทัน แล้วจะปล่อยให้เขาดูแลเสื้อผ้าและหาอาหารกินเองอีกได้ยังไง”
ในขณะที่ติงเหว่ยกำลังเย็บผ้า นางก็จับสังเกตสีหน้าของพี่สะใภ้ได้ั้แ่แรกจึงได้แต่แอบถอนหายใจเงียบๆ ในใจ แต่ละคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว พี่สะใภ้ทั้งสองต่างวางแผนเพื่อครอบครัวของตนเอง จะให้พูดว่าผิดก็คงไม่ได้
“พี่สะใภ้รองก็ไปด้วยกันเถอะ ที่บ้านยังมีข้าอยู่ อีกอย่างใช่ว่าไปอยู่ในเมืองแล้วจะไม่กลับมาอีกสักหน่อย เมื่อไรที่ว่างค่อยกลับมาอยู่สักสองสามวันก็ได้ ต่อให้พวกเราไม่คิดถึงพี่สะใภ้กับพี่รอง แต่ก็ยังทิ้งฝูเอ๋อร์ไม่ลงหรอก”
ฝูเอ๋อร์เพิ่งพูดได้นิดหน่อย ตอนนี้นางกำลังกัดนิ้วของตนเองโดยไม่รู้ว่าคนในครอบครัวกำลังปรึกษาเื่อะไรกัน แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านน้าพูด ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเข้าไปกอดแขนท่านน้าและพูดอย่างน่ารักว่า “ฝูเอ๋อร์ชอบท่านน้า”
เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็พากันหัวเราะออกมา และแน่นอนว่าเื่ครอบครัวพี่รอง ทั้งสามคนตกลงจะย้ายเข้าไปในเมืองทั้งหมด
……
วันรุ่งขึ้นพี่รองสกุลติงจ้างรถม้าเพื่อขนเครื่องไม้ทั้งหมดพร้อมกับกระเป๋าและข้าวของของครอบครัวเล็กๆ เข้าเมืองไปพร้อมกัน
ติงเหว่ยเห็นว่ามารดาของนางกำลังทำนั่นทำนี่ท่าทางดูยุ่งไปหมด นางจึงเดาว่าท่านแม่น่าจะอยากไปดูที่ร้านเครื่องไม้สักหน่อย ดังนั้นนางจึงแนะนำให้ปิดร้านอาหารสักหนึ่งวันเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้พักผ่อนเสียหน่อย
แต่แม่นางหลี่ว์เองก็ยังเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้ไปดูความคืบหน้าของร้านเครื่องไม้ จึงใช้หลานชายเป็ข้ออ้างว่า “วันนี้ไม่ใช่ว่าเ้าต้องไปทำงานที่จวนสกุลอวิ๋นหรือ ต้าเป่าอยู่บ้านไม่มีคนดูแล เช่นนั้นข้าไม่ไปดีกว่าหรือไม่?”
ติงเหว่ยกลับกอดต้าเป่าไว้ในอ้อมแขน และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่เข้าเมืองไปเถอะ อย่าได้กังวลไปเลย วันนี้ข้าจะพาต้าเป่าไปที่จวนสกุลอวิ๋นด้วย”
แม่นางหลี่ว์ไม่มีข้ออ้างอีกต่อไปและนางก็ตื่นเต้นมากจึงลากสะใภ้คนโตนั่งรถเข้าไปในเมืองด้วยกัน
ติงเหว่ยเก็บข้าวของในบ้านเรียบร้อย แล้วเตรียมกับข้าวไว้ในหม้อให้ท่านพ่อและพี่ชายไปปักต้นกล้าในนา จากนั้นจูงมือต้าเป่าไปจวนสกุลอวิ๋น
……
ทุกคนในจวนสกุลอวิ๋นต่างก็สนิทกับติงเหว่ย และพวกเขาได้รับอาหารที่นางทำอยู่บ่อยๆ ทันทีที่เห็นนางจูงหลานชายเข้าประตูมาก็มารวมตัวและพูดคุยยิ้มหัวเราะกัน โดยเฉพาะครอบครัวของท่านป้าหลี่ที่เอาแต่กอดต้าเป่าตัวอวบอ้วนและยิ้มจนปากไม่หุบ แล้วพูดกับติงเหว่ยว่าจะช่วยดูแลเด็กให้เอง
ติงเหว่ยเห็นว่าต้าเป่าดูหวาดกลัวเล็กน้อย จึงสงสารที่จู่ๆ พาเขามาในที่ที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงพูดปฏิเสธไปว่า “อย่าดีกว่าท่านป้า เด็กคนนี้ดื้อและซนมาก ให้เขาอยู่ใกล้ๆ ข้าเพื่อคอยจับตาดูไว้จะดีกว่า”
แม้ว่าท่านป้าหลี่จะเสียดายแต่ก็ไม่ได้บังคับอะไร นางจึงผละจากเด็กชายตัวอ้วนกลมและวิ่งกลับไปเอาเมล็ดแตงโมมาให้ต้าเป่าหนึ่งถุง จากนั้นจึงยอมปล่อยให้สองน้าหลานเข้าไปที่เรือนด้านใน
่นี้ติงเหว่ยมาที่จวนสกุลอวิ๋นวันเว้นวันเป็ประจำ โดยพื้นฐานแล้วก็ถือว่านางมีฐานะพอกันกับจ้าวหรง แต่พวกเขาก็ยังคงทำตัวน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองเหมือนเดิม
ดังนั้น เสี่ยวชิงจึงเป็คนเดียวที่ทำงานทำความสะอาดในครัวเล็กๆ ตอนนี้นางอายุเพียง 12 ปีเท่านั้นและยังคงมีจิตใจที่มีความเป็เด็กน้อยอยู่ เมื่อเห็นต้าเป่าก็รู้สึกถูกใจ นางอุ้มและพาไปเล่นรอบๆ จวนอย่างมีความสุข
……
ติงเหว่ยกำชับเสี่ยวชิงไปสองสามประโยคจากนั้นก็เริ่มเตรียมอาหารกลางวันของคุณชายอวิ๋น ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมาท้องฟ้าปลอดโปร่งและอากาศแจ่มใส ทว่าเช้านี้กลับมืดครึ้มไปสักเล็กน้อย เห็นเหล่าผู้าุโในหมู่บ้านต่างพากันบอกว่าฝนกำลังจะตก
ดังสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ ฝนฤดูใบไม้ผลิมีค่าราวกับน้ำมัน เกษตรกรที่รอคอยการเก็บเกี่ยวที่ดีในฤดูใบไม้ร่วงจะมีความสุขไปด้วย แต่ก็เป็เื่ยากสำหรับคนที่นอนอยู่บนเตียงเป็เวลานาน ไม่ต้องพูดถึงว่าผ้าปูที่นอนจะชื้นขึ้นเล็กน้อย อารมณ์ของเขาก็จะหงุดหงิดมากขึ้นถึงสามส่วน
เมื่อวันก่อนติงเหว่ยแค่พูดลอยๆ ว่า่นี้ต้นเซียงชุน [5] น่าจะกำลังโตได้ที่พอดี ปรากฏว่าวันนี้ในตะกร้าใส่ผักก็มีต้นเซียงชุนสีเขียวสดวางอยู่หลายมัด และยังมีคุณภาพดีที่สุดถึงขนาดว่าใบและก้านยังแข็งและสดใหม่มาก
ติงเหว่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง อย่างน้อยนางก็ไม่เคยเห็นต้นเซียงชุนในบริเวณที่ราบลุ่มแห่งนี้ ไม่รู้ว่าผู้ดูแลหลินที่เก่งกาจไปเสาะหามาจากที่ไหน
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เพื่อให้คู่ควรกับการทำงานหนักของผู้ดูแลหลิน นางจึงตัดสินใจเพิ่มกับข้าวมื้อเที่ยงอีกหนึ่งอย่างเป็เซียงชุนจีตั้น[6]
ติงเหว่ยนำเต้าหู้ขาวหั่นเต๋าเคี่ยวในหม้อดินเผาใบเล็ก หลังจากเคี่ยวไปครึ่งชั่วโมงนางก็เติมเห็ดหอมลงไปนิดหน่อย หลังจากที่น้ำเดือดอีกครั้งนางก็ใส่เนื้อแพะไปสิบกว่าชิ้นเป็ขั้นสุดท้าย แล้วรอจนกระทั่งเนื้อเริ่มเปลี่ยนสี จากนั้นรีบยกหม้อดินเผาออกไปวางพักไว้ด้านข้าง
หลังจากที่หุงข้าวขาวเสร็จแล้วก็นำเซียงชุนจีตั้นกับกันจ๋าอิ๋นยวี่ [7] ออกมาจากหม้อ จากนั้นก็ผัดในกระทะให้ร้อนสักหน่อย แล้วใส่ต้นหอมลงไปเล็กน้อย ก็ถือว่าเตรียมอาหารมื้อกลางวันเสร็จสมบูรณ์
-------------------—-------------------—-------------------
[1] เทียนสือ ตี้หลี่ และเหรินเหอ 天时地利人和 หมายถึง องค์ประกอบ 3 ปัจจัยแห่งความสำเร็จของจีนโบราณ คือ เทียนสือ(天时) ตี้หลี่(地利) และเหรินเหอ(人和) ซึ่งเทียนสือหมายถึงจังหวะเวลาและโอกาส ตี้หลี่หมายถึงทำเลชัยภูมิที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และเหรินเหอคือปัจจัยเื่พลังสมัครสมานของคนในการขับเคลื่อน
[2] ฮวาเซิงถัง 花生糖 หมายถึง ขนมของจีนในสมัยโบราณ เป็ลูกอมที่ทำจากถั่วลิสง มีลักษณะคล้ายถั่วตัดของไทย
[3] อิ่มหมีพีมัน หมายถึง ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเต็มที่
[4] เหล่าป่านเหนียง 老板娘 หมายถึง เถ้าแก่เนี้ย(หญิงจีนที่เป็เ้าของกิจการหรือเป็ภรรยาของเถ้าแก่)
[5] ต้นเซียงชุน 香椿 หมายถึง ยอดอ่อนของต้นมะฮอกกานีจีนหรือที่เรียกว่า “ผักเซียงชุน” โดยยอดอ่อนที่เก็บใน่ที่กำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ของปีจะมีรสอร่อยและอุดมด้วยสารอาหาร ยอดอ่อนสีแดงของผักเซียงชุนมีรสชาตินุ่มนวลและอร่อยมาก ส่วนสีเขียวนั้นไม่อร่อยและไม่จำเป็ต้องเด็ด ยอดผักเซียงชุนสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย รวมถึงสลัดเย็น และเมนูอาหารที่นิยมที่สุดก็คือ “ไข่เจียวผักเซียงชุน”
[6] เซียงชุนจีตั้น 香椿鸡蛋 หมายถึง ไข่เจียวผักเซียงชุน
[7] กันจ๋าอิ๋นยวี่ 干炸银鱼 หมายถึง ปลาไวท์เบทชุบแป้งทอด