หวังจื้อตั้งสติให้มั่นคง เห็นตะกร้าไม้ไผ่ของบิดามารดาว่างเปล่าจึงเอ่ยขึ้น “ข้าวปั้นขายหมดแล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถิด”
“กลับบ้านกันขอรับ!” หวังเลี่ยงไม่เคยคิดที่จะพูดเื่เซียงเยวี่ยไจต่อหน้าทุกคนอยู่แล้ว เขารับตะกร้าไม้ไผ่ในมือของผู้เฒ่าหวังขึ้นมาแบกบนหลัง แล้วจึงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินจากไป
ในใจของผู้เฒ่าหวังสามีภรรยากระวนกระวายอยากถามว่าเกิดเื่อันใดขึ้น จึงรีบตามออกไปติดๆ และเป็หวังจื้อที่พยักหน้าเล็กน้อยให้จางต้าหู่เพื่อเป็การกล่าวลา
จางต้าหู่ทอดมองเงาด้านหลังของครอบครัวคู่แข่งที่ห่างออกไปไกล บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มมุ่งมั่นที่จะชนะขึ้น
่บ่ายของต้นสารทฤดู ดวงอาทิตย์สาดแสงจ้า ไม่เพียงไม่หนาวทว่ายังร้อนเล็กน้อย โดยเฉพาะการเดินทางภายใต้แสงแดด เดินได้สักพักก็ร้อนจนเหงื่อไหลซึมหน้าผาก
ขณะที่หลี่ชิงชิงกําลังพาจางซื่อและหวังจวี๋สับพริกด้วยมีดในบริเวณลานบ้านของเรือนรองอยู่นั้น เสียงของพวกผู้เฒ่าหวังทั้งสี่คนก็ดังขึ้นมาจากลานหน้าบ้าน
ในมือของหวังพั่นตี้ถือหมี่ฮวาถัง [1] อยู่หนึ่งชิ้น เด็กสาววิ่งเข้ามาราวกับสายลมโฉบ พลางะโอย่างร่าเริง “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านอาเล็กกลับมาแล้วเ้าค่ะ ท่านอาเล็กนําหมี่ฮวาถังกลับมาด้วย หมี่ฮวาถังของเซียงอะไรไจสักอย่าง แบ่งให้พวกข้าคนละหนึ่งชิ้น หมี่ฮวาถังเชียวนะ”
หมี่ฮวาถังเป็ของว่างชนิดหนึ่งในท้องถิ่นที่ทําจากข้าว น้ำมันและน้ำตาล ทอดเมล็ดข้าวให้พองด้วยน้ำมัน แล้วเคลือบด้วยน้ำเชื่อมบางๆ หนึ่งชั้น รสชาติหวานอ่อนๆ ยังมีกลิ่นหอมของน้ำมันอีกด้วย
ราคาของมันถูกกว่าน้ำตาล หรือแม้กระทั่งม่ายหยาถัง [2] อยู่มาก
น้ำตาลหนึ่งจินสามสิบกว่าเหรียญทองแดง ม่ายหยาถังหนึ่งจินยี่สิบกว่าเหรียญทองแดง หมี่ฮวาถังหนึ่งจินสิบสามถึงสิบสี่เหรียญทองแดง
พ่อค้าหาบเร่ตามตรอกซอกซอยก็สามารถขายหมี่ฮวาถังได้
ราคาของขนมฟุ่มเฟือยเช่นนี้เท่ากับราคาเนื้อหมู คนในหมู่บ้านหวังที่มีฐานะดีจะซื้อให้เด็กๆ กินใน่เทศกาลปีใหม่
ตระกูลหวังไม่ได้กินหมี่ฮวาถังมานานแล้ว ครั้งล่าสุดที่กินคือตอนที่หวังเฮ่าหาเงินไปซื้อ ก่อนที่เขาจะไปเป็ทหาร
จางซื่อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอ่ยกับหลี่ชิงชิงว่า “น้องสะใภ้ เ้าดูสิ เมื่อวานเ้าให้เงินน้องสี่ วันนี้เขาก็เอามาซื้อหมี่ฮวาถังหมดแล้ว”
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ได้ใช้เงินนะขอรับ หมี่ฮวาถังเป็หลงจู๊ของเซียงเยวี่ยไจให้มา” เสียงของหวังเลี่ยงดังมาจากลานหน้าบ้าน
ไม่นานเขาก็มาถึงลานบ้านของเรือนรอง เห็นสตรีทั้งน้อยใหญ่สามคนในบ้านใช้มีดสับพริกสีแดงเสียงดังปังๆ อ่างไม้หลายใบที่อยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยพริกแดงสับ ฉากนั้นทำเอาเขารู้สึกใเล็กน้อย
ตระกูลหวังมีเพียงมีดหนึ่งเล่ม ส่วนมีดอีกสองเล่มนั้นเป็จางซื่อที่ยืมมาจากบ้านของญาติ
จางซื่อเอ่ยถามอย่างตกตะลึง “ให้โดยไม่เก็บเงิน ยังมีเื่ดีๆ เช่นนี้อยู่หรือ?”
“หลงจู๊ของเซียงเยวี่ยไจ้าซื้อสูตรไข่เค็มของพี่สะใภ้สาม เพื่อเกลี้ยกล่อมให้พูดความจริงจึงมอบหมี่ฮวาถังหนึ่งห่อใหญ่แก่ข้าขอรับ” หวังเลี่ยงเดินไปหาหลี่ชิงชิงก่อน ยื่นฝ่ามือทั้งสองออกไป จากนั้นบนฝ่ามือพลันปรากฏหมี่ฮวาถังสองสามชิ้นประหนึ่งการแสดงปาหี่ “พี่สะใภ้สาม กินขนมหวานเร็วขอรับ ท่านวางใจได้ ข้าไม่ได้ทรยศท่าน และไม่ได้ขายสูตรไข่เค็มแทนท่านในราคาถูกๆ”
หลี่ชิงชิงเพิ่งมาที่แคว้นต้าถังได้เพียงสองเดือนกว่า เคยได้ยินเกี่ยวกับเซียงเยวี่ยไจจากปากของญาติพี่น้องและสหายเท่านั้น ครั้นได้ยินว่าเซียงเยวี่ยไจ้าซื้อสูตรไข่เค็ม นางก็ตาโตเป็ประกายทันที นางวางมีดทำครัว พลันหยัดกายลุกขึ้นหยิบหมี่ฮวาถังหนึ่งชิ้นเข้าปาก กินไปพลางเอ่ยถามไปพลาง “เกิดอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
หวังเลี่ยงตอบอย่างตื่นเต้นพลางนำหมี่ฮวาถังให้จางซื่อกินหนึ่งชิ้น สุดท้ายเหลืออยู่สามชิ้นจึงมอบให้หวังจวี๋ทั้งหมด
เดิมทีวันนี้เขากับหวังจื้อเพิ่งมาถึงประตูอำเภอเมือง ยังไม่ทันได้เริ่มขายข้าวปั้นผัก ก็ถูกเสี่ยวเอ้อร์ของเซียงเยวี่ยไจที่รั้งรออยู่ที่นี่หลายชั่วยาม เชิญไปที่ร้านสาขาย่อยของเซียงเยวี่ยไจในอําเภอ
หลงจู๊ของร้านสาขาย่อยและชายหนุ่มรูปงามมีหนวดเคราสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน ท่าทางสง่าผ่าเผยผู้หนึ่งมาพบพวกเขา
เมื่อหลงจู๊เห็นว่าหวังเลี่ยงอายุยังน้อย จึงให้เสี่ยวเอ้อร์ไปหยิบหมี่ฮวาถังหนึ่งห่อใหญ่มายัดใส่มือหวังเลี่ยง แล้วบอกจุดประสงค์อย่างตรงไปตรงมาว่า้าซื้อสูตรไข่เค็ม
หวังจื้อไม่มีท่าทีโต้ตอบใด และไม่ได้เปล่งเสียงใดออกมา
ยังคงเป็หวังเลี่ยงที่เปิดปากพูด และถามว่าเซียงเยวี่ยไจจะสามารถให้ได้กี่ตำลึงเงิน
หลงจู๊ยื่นมือขวาออกมาห้านิ้ว
หวังเลี่ยงเข้าใจว่าหลงจู๊ให้เพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้น เขาจึงส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่าน้อยเกินไป ทั้งยังบอกออกไปตรงๆ ว่าสูตรไข่เค็มนี้เป็ของญาติในตระกูล ไม่ใช่ของครอบครัวเขา และยังกล่าวอีกว่า่นี้ไข่เค็มขายดียิ่งนัก แม้ว่าผู้เป็ญาติจะยินยอมขาย แต่ก็คงไม่อาจขายในราคาถูกๆ
หลงจู๊กําลังจะเอ่ยปากกล่าว บุรุษมีหนวดเคราก็ยื่นนิ้วมือขวาออกมาห้านิ้ว จากนั้นก็พลิกฝ่ามือไปมา
หวังเลี่ยงคิดว่าบุรุษมีหนวดเคราให้สิบตำลึงเงิน พลันหัวเราะฮ่าๆ ในใจอย่างมีความสุข ได้เงินเพิ่มเป็เท่าตัว สามารถซื้อที่ดินดีๆ ได้สองหมู่ครึ่ง หวังเลี่ยงตื่นเต้นดีใจจนเกือบตอบตกลงแทนหลี่ชิงชิงไปแล้ว ทว่ายังดีที่เขาอดทนไว้ได้ ก่อนจะตอบไปว่าจะนำความไปบอกแก่ญาติ จะให้คำตอบพรุ่งนี้
บุรุษมีหนวดเคราพยักหน้า พูดคุยกับหวังจื้อพี่น้องอยู่ครู่หนึ่ง ยังหันไปมองข้าวปั้นผักด้วยความสนใจเป็อย่างยิ่ง ถึงกับจ่ายเงินหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงเพื่อซื้อข้าวปั้นหกสิบก้อน
หวังจื้อพี่น้องเดินออกมาจากเซียงเยวี่ยไจ
หวังเลี่ยงคิดว่าอย่างไรก็เข้ามาในตัวอำเภอแล้ว ก็ขายข้าวปั้นผักตรงปากทางถนนไม่ไกลจากเซียงเยวี่ยไจเสียเลย แต่คิดไม่ถึงว่าเ้าหน้าที่ทางการจะมาขับไล่ บอกว่าในเมืองไม่อาจตั้งแผงขายของได้ แล้วยังมีการเก็บภาษีอีก สุดท้ายหลงจู๊ของเซียงเยวี่ยไจออกมาคุยให้ เ้าหน้าที่ทางการจึงยอมจากไป
หวังจื้อพี่น้องต่างใกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาขายข้าวปั้นผักหมดแล้วจึงออกจากเมืองเพื่อกลับไปรวมตัวกับผู้เฒ่าหวังสามีภรรยา แล้วรีบรุดกลับบ้านเพื่อบอกข่าวแก่หลี่ชิงชิง
หลิวซื่อที่ดื่มน้ำดับกระหายในห้องโถงหลักรีบพุ่งไปยังเรือนรองด้วยความรวดเร็วประหนึ่งประทัดก็มิปาน นางชี้ไปที่บุตรชายสองคนพลางเอ่ยอย่างโมโหกับหลี่ชิงชิงว่า “พวกเขาสองคนกินหัวใจหมีดีเสือดาว [3] เข้าไปหรืออย่างไร ถึงกล้าเข้าไปในหลังบ้านของเซียงเยวี่ยไจ ถ้าหลงจู๊ของเซียงเยวี่ยไจมีเจตนาร้าย หาข้ออ้างเพื่อกักตัวพวกเขาสองคนไว้ แล้วข่มขู่ให้บ้านพวกเราส่งมอบสูตรไข่เค็มจะทำอย่างไร”
หวังจื้อทอดถอนใจด้วยความหดหู่แล้วเอ่ย “พวกข้าถูกเ้าหน้าที่ทางการจับตามอง พบว่าเ้าหน้าที่คุ้นเคยกับหลงจู๊อยู่ไม่น้อย พวกข้าจึงรู้สึกกลัวขึ้นมาในภายหลัง”
หวังเลี่ยงกลับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านคิดมากไปแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ของเซียงเยวี่ยไจเชิญพวกข้าไปที่ร้านค้าในตัวอําเภอ ยามนั้นมีคนตั้งแผงขายของทั้งสองฝั่งถนนทางการ ทุกคนล้วนเห็นกันหมด หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกข้าที่เซียงเยวี่ยไจ ต่อไปผู้ใดจะกล้าเข้าเซียงเยวี่ยไจล่ะขอรับ?”
“เ้าเด็กโง่ หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น [4] สูตรไข่เค็มมีราคาค่างวดตั้งสิบตำลึงเงิน หากเซียงเยวี่ยไจไม่อาจตัดใจจ่ายเงินได้ ก็จะหาทางล่อลวงพวกเ้าพี่น้อง ถ้าพวกเ้าขึ้นศาลตัดสินคดีก็จะต้องถูกโบย ชั่วชีวิตนี้จะถูกทําลายจนเสื่อมเสียแล้ว” หลิวซื่อรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วบิดหูซ้ายของหวังเลี่ยง พอเห็นว่าหวังเลี่ยงวิ่งหนีราวกับกระต่าย ก็ะโด้วยความโกรธว่า “เ้าจำคำแม่เอาไว้ให้ดี ห้ามบุ่มบ่ามเข้าหลังบ้านของคนอื่นโดยไม่ไตร่ตรอง มีเื่อันใดก็พูดอย่างเปิดเผยที่ห้องโถงหลัก”
หวังจื้อเชื่อฟังคำพูดของหลิวซื่อมากที่สุด เขาพยักหน้าอย่างแรงหนึ่งที
หวังเลี่ยงยังคงหัวเราะฮ่าๆ อย่างคนไม่คิดอะไรมากมาย
อย่าได้มองว่าหวังเลี่ยงมอบหมี่ฮวาถังให้หวังจวี๋สามชิ้น เพราะสิ่งใดที่หวังจวี๋สมควร “หักหลัง” หวังเลี่ยง นางก็ย่อมหักหลังเขา มือหนึ่งของนางจับเข้าที่แขนของหวังเลี่ยงแล้วเอ่ยกับหลิวซื่อว่า “ท่านแม่ รีบมาเร็ว”
หลิวซื่อรีบวิ่งเข้าไปบิดหูทั้งสองข้างของหวังเลี่ยง และตีที่ไหล่ของเขาอีกสองที
หวังเลี่ยงกรีดร้องเสียงแหลมประหนึ่งสุกรโดนเชือด “ข้าผิดไปแล้ว คําพูดของท่านแม่ ข้าจดจําไว้แล้วขอรับ”
หลี่ชิงชิงเอ่ยกําชับ “ระวังไว้ไม่ผิด”
ชาติที่แล้วนางทำธุรกิจ ไม่ว่าคนแบบใดล้วนเคยพบเจอมาหมด คนบางคนเพื่อประโยชน์แล้วสามารถทำได้ทุกวิถีทาง
ดังคำกล่าวที่ว่า มิควรคิดร้ายผู้อื่น แต่พึงระวังคนคิดร้ายต่อเรา
ตระกูลหวังเป็ครอบครัวชาวนายากจนไร้ซึ่งอํานาจ เทียบกับเซียงเยวี่ยไจที่ร่ำรวยและมีอํานาจแล้ว พวกเขาย่อมต้องระวังตัว
น้ำเสียงของหลิวซื่อเสียงดังฟังชัด นางเอ่ยดุด่าต่อไปว่า “เ้ายังเอาหมี่ฮวาถังของคนอื่นมาเปล่าๆ รับของของผู้อื่นมา ย่อมติดหนี้บุญคุณผู้อื่น เ้าไม่เคยกินหมี่ฮวาถังหรือ เป็เด็กสามขวบที่เห็นหมี่ฮวาถังแล้วไม่มีแรงเดินหรืออย่างไร?”
--------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] หมี่ฮวาถัง (米花糖) หมายถึง ข้าวพอง ทำจากเมล็ดข้าวเ้าทอดในน้ำมันให้พอง เคล้ากับน้ำตาลแล้วอัดเป็แผ่น
[2] ม่ายหยาถัง (麦芽糖) หมายถึง น้ำตาลที่ได้จากยอดอ่อนของมอลต์หรือแบะแซ
[3] กินหัวใจหมีดีเสือดาว (吃熊心豹子胆) หมายถึง ใจกล้าบ้าบิ่น ไม่เกรงกลัวสิ่งใด
[4] หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น (不怕一万就怕万一) หมายถึง แม้มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นแต่ก็ยังมีความเป็ไปได้ ควรหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเป็ดีที่สุด
