คืนนี้ท่านปู่มู่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง
ส่วนมู่เทียนอิน แม้จะอยู่ในจวนตระกูลมู่ ทว่าก็ไม่มีใครให้ความสนใจ
ทว่าเนื่องจากบิดามารดาเสียชีวิตั้แ่ยังเล็กและร่างกายอ่อนแอ ท่านปู่มู่จึงดูแลนางเป็อย่างดีมาโดยตลอด และพานางไปร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังทุกครั้ง
นางแต่งหน้าทำผมอย่างเรียบง่าย แล้วไปรอท่านปู่ที่ห้องโถง
มู่เยียนเอ๋อร์พี่สาวที่เกิดจากภรรยาเอกจากบ้านรองและมู่หลิงเซียนน้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยาเตรียมพร้อมั้แ่เช้าตรู่
มู่เยียนเอ๋อร์สวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน เนื้อผ้าบางเบา มีลวดลายผีเสื้อสีเข้มปักประดับอย่างประณีต ดูสง่าและงดงาม
เรือนผมสีดำขลับถูกม้วนประดับด้วยปิ่นปักผมรูปผีเสื้อ คิ้วเรียวสวยถูกเขียนอย่างเบาบาง ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต
มู่หลิงเซียนสวมชุดสีชมพูและมีผ้าบางขาวคลุมทับด้านนอก
กระโปรงพลิ้วไหวราวแสงจันทร์สาดส่อง ทำให้ท่วงท่าการเดินดูอ่อนโยนยิ่ง ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มบางเบา ดูน่าเอ็นดูและมีเสน่ห์
“อินเอ๋อร์ เหตุใดเ้าถึงเพิ่งมาเอายามนี้เล่า?”
เมื่อมู่เทียนอินเดินเข้ามา สองสาวก็ไม่แม้แต่จะเหลียวมองนางสักนิด กลับมุ่งความสนใจไปที่การประชันความงามของกันและกันเท่านั้น
จนกระทั่งท่านปู่มู่พูดออกมา ทั้งสองจึงสังเกตเห็นนาง และต่างใจนดวงตาเบิกโพลง
มู่เทียนอินสวมชุดสีขาวล้วน โดยไม่ได้สวมเครื่องประดับใดมากนัก
ทว่านางกลับมีใบหน้าที่มีเสน่ห์ยั่วยวนราวกับสุนัขจิ้งจอก
ในอดีตนางมักจะมีใบหน้าซีดเซียวราวกับป่วยอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถส่องประกายความงามที่โดดเด่นออกมาได้
ปัจจุบัน เมื่อนางแต่งตัวเพียงเล็กน้อย กลับทำให้ผู้อื่นตกตะลึงในความงดงามของนาง
“ท่านปู่เ้าคะ อินเอ๋อร์เพียงออกไปเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจเ้าค่ะ”
นางไม่สามารถบอกได้ว่ากำลังพยายามหลบหน้าบุรุษที่ปีนขึ้นมาบนเตียงไม่ใช่หรือ?
มู่เทียนอินตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าภายในใจกลับลอบกระอักเื
“น้องสาม เ้าเล่นสนุกมากเกินไปแล้ว เ้ารู้หรือไม่ว่าครั้งนี้มีแขกคนสำคัญมาร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังน่ะ?”
มู่เยียนเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงที่สนิทสนม ทว่าดวงตาของนางกลับไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
ทั้งที่นางและมู่เทียนอินต่างก็เป็บุตรจากภรรยาเอกด้วยกันทั้งคู่ และไม่รู้ว่าพร์ดีกว่านางมากสักเท่าไหร่
เพียงเพราะนางเป็เพียงทายาทที่เหลือรอดเพียงคนเดียวของท่านลุงสาม
ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงในพระราชวัง ท่านปู่มักจะพาเด็กป่วยผู้นี้ไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง และดูเหมือนจะใส่ใจดูแลนางมากกว่าตนเสียอีก
“ท่านพี่สาม ได้ยินมาว่าองค์ชายห้าส่งคนมาคืนของหมั้นให้แก่ท่านแล้ว คืนนี้เราลองหาโอกาสสอบถามดูดีหรือไม่?”
มู่หลิงเซียนยิ้มอย่างอ่อนแอและแสร้งทำเป็ใส่ใจ
ในขณะนี้ จิตใจของมู่เทียนอินเต็มไปด้วยความคิดเื่การบำเพ็ญคู่และเื่เตาหลอม
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หลิงเซียนจึงนึกขึ้นได้ว่าขณะที่นางแช่ยาและฝึกฝนร่างกายอยู่นั้น คล้ายมีคนส่งของบางอย่างมา
นางไม่แม้แต่จะมอง และยามนี้ก็ยังคงอยู่บนโต๊ะ
ปรากฏว่าการหมั้นหมายของเ้าของร่างเดิมล่มไปแล้วใช่หรือไม่?
เมื่อนึกถึงการเปลือยกายแนบชิดกับใครบางคนในยามค่ำคืน
มู่เทียนอินก็รู้สึกดีใจจนออกนอกหน้า
ยกเลิกไปเสียจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเื่จะยุ่งยากไปมากกว่านี้
“ร่างกายของข้าไม่แข็งแรงมาั้แ่แรกแล้ว ไม่สามารถไปตำหนิองค์ชายห้าได้จริงๆ”
มู่เทียนอินตอบเสียงเบา รีบแสดงท่าทีของนางอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมู่เยียนเอ๋อร์และมู่หลิงเซียนได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็แปลกไปมาก
องค์ชายห้าเย่ิเซวียนเป็ผู้มีพร์ในการฝึกฝนจิติญญามากที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด และได้รับความโปรดปรานจากปี้เซี่ยอย่างมาก
เมื่ออายุสิบสองปีก็กลายเป็ผู้ฝึกตน และเมื่ออายุสิบห้าปีก็ใกล้จะบรรลุระดับิญญาสีชาด
ด้วยพร์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงองค์ชายสี่และองค์ชายสามที่มีความสามารถทั่วไป แม้องค์รัชทายาทและองค์ชายสองที่มีความสามารถเป็เลิศก็ยังเทียบไม่ติด
ผู้ที่เป็เลิศเช่นนี้ เหตุใดคนขี้โรคผู้นี้ถึงไม่อยากแต่งงานด้วยกันล่ะ?
“อินเอ๋อร์ยังคงเป็เด็กดีที่เข้าใจผู้อื่นเสมอ ปู่จะหาคู่ครองที่เหมาะสมให้เ้าเอง”
องค์ชายห้าไม่ได้เป็พระโอรสแท้ๆ ของฮองเฮา การหมั้นหมายในปีนั้นก็เพื่อหาอนาคตที่ดีให้กับหลานสาวที่ไร้ที่พึ่ง
ทว่าใครเล่าจะคาดคิดว่าเย่ิเซวียนผู้นี้จะมีพร์อันโดดเด่น จนบดบังองค์รัชทายาทและองค์ชายสองไปเสียสิ้น
ท่านปู่มู่รู้ถึงนิสัยของหลานสาวดี และไม่้าให้นางเข้าไปพัวพันกับการแย่งชิงอำนาจในพระราชวัง
ยามนี้เมื่อได้ยินนางคิดเช่นนี้ จึงรู้สึกโล่งใจเป็อย่างยิ่ง
…
ภายในพระราชวังมีศาลาอาคาร เสาหินอ่อนและหลังคาแกะสลักอย่างประณีต ดูงดงามสูงส่งและหรูหรา
สตรีทั้งสามเดินตามคุณปู่มู่เข้าทางประตูด้านข้างไปยังห้องโถงด้านข้างของตำหนัก
“ผู้นำตระกูลมู่โปรดพักอยู่ที่นี่สักครู่ เมื่อถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงจะมีคนมาแจ้งให้ทราบขอรับ”
เฝิงเป่ายกแส้ในมือขึ้น พูดพลางหลุบตาลง
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่านปู่มู่ถึงกับตกตะลึง
ทางพระราชวังไม่ได้ส่งข้อความแจ้งให้พวกเขาเข้ามาล่วงหน้าสองชั่วยามหรอกหรือ?
เหตุใดจึงเลื่อนออกไปอย่างกะทันหันเช่นนี้อีกล่ะ?
"ตกลง เข้าใจแล้ว"
กฎระเบียบในพระราชวังเข้มงวดอย่างมาก ท่านปู่มู่แทบไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงคำสั่งไปมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้มาก่อน
เขาไม่เอ่ยถามอะไรให้มากความ เพียงตอบรับเสียงเรียบ
ทันทีที่พวกเขาทั้งสี่นั่งลง ตระกูลเย่และตระกูลหลิ่วซึ่งเป็หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ก็เดินทางมาถึง
เยี่ยเฟยฝานผู้นำตระกูลเย่มาพร้อมกับบุตรสาวคนโตเยี่ยเชี่ยนอีและบุตรชายเยี่ยเซวียน ส่วนหลิ่วิเฟิงผู้นำตระกูลหลิ่วมาพร้อมกับหลิ่วโม่อิ่งและเหล่าบุตรหลานอีกหลายคน
ทั้งห้าตระกูลใหญ่ต่างก็มีความขัดแย้งกันอยู่เื้ัเสมอมา เมื่อมารวมตัวกันในห้องโถงด้านข้าง ทุกคนจึงต่างแยกย้ายกันนั่ง และทุกอย่างก็ถือว่าสงบสุข
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้มู่เทียนอินกำลังปวดหัวจนแทบะเิ
“เหตุใดเยี่ยเชี่ยนอีถึงพูดว่าเ้าอายุสั้นล่ะ!”
“คุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่วเล่าอย่างสนุกปากว่าเ้าตามติดองค์ชายห้าอย่างไร คางคกริอ่านอยากกินเนื้อหงส์1”
“หึหึ มู่เยียนเอ๋อร์และมู่หลิงเซียนก็นินทาว่าร้ายเ้าเช่นกัน บอกว่าเ้าเสแสร้งทำเป็สูงส่ง แต่ความจริงต้องเสียใจถูกยกเลิกการหมั้นหมายอยู่เป็แน่”
นางนั่งอยู่ดีๆ ทว่ากลับมีคนปากมากมาพูดอยู่ข้างๆ
นอกจากจะพูดมากแล้วยังเป็คนหูไวอีกต่างหาก...
ในอดีตมู่เทียนอินมักจะถูกเยว่เยาพูดจาเหน็บแนมมาโดยตลอด
ทว่าเมื่อมาถึงทวีปเทียนเสวียน มันราวกับกินยากระตุ้น พูดจาไม่หยุดหย่อนจนนางอยากจะเย็บปากเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่อลองฟังดูว่ามันได้ยินอะไรมาบ้าง
ล้วนเป็เื่ไม่ดีที่พูดกันลับหลัง
มู่เทียนอินรู้ดีว่าร่างกายเดิมของตนอ่อนแอและเจ็บป่วยบ่อยครั้ง และไม่สามารถฝึกฝนจิติญญาได้ จึงเป็เื่ธรรมดาที่จะดึงดูดเหล่าผู้คนยกยอปอปั้นผู้ที่มีสถานะสูงกว่า ทว่ากลับดูถูกผู้ที่ด้อยกว่า
ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อไม่นานมานี้นางมีสัญญาหมั้นที่ไม่ว่าใครต่างก็อิจฉา
ถึงกระนั้น หลังจากได้ยินคำพูดแย่ๆ มากมายเช่นนี้ หากนางรู้สึกดีก็คงประหลาดแล้ว
“ผู้นำตระกูลทุกท่าน องค์ฮ่องเต้มีพระราชประสงค์ให้จัดงานเลี้ยงที่ตำหนักฉงหวา ขอเชิญทุกท่านโปรดย้ายไปยังที่แห่งนั้นขอรับ”
โชคดีที่ขันทีเฝิงมาปรากฏตัวได้ทันเวลา และช่วยหูของนางไว้ได้
เหล่าผู้นำตระกูลใหญ่และหัวหน้าสำนักต่างๆ ต่างตอบคำ และพาบุตรหลานในตระกูลของตนไปยังตำหนักฉงหวา
เหนือห้องโถงใหญ่มีการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามและหรูหรา
ม่านหรือไม่เนื้อละเอียดพลิ้วไหวที่มุมทั้งสี่ของตำหนัก เสาัทั้งเก้าต้นประดับด้วยไข่มุกเรืองแสงขนาดใหญ่ ส่องสว่างไปทั่วตำหนัก
โต๊ะเงินเก้าอี้หยก สุราในจอกทองวางเรียงรายทั่วทั้งแท่นหยก
ในขณะนั้น บนบัลลังก์ทองอันงดงามก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวล บรรยากาศครึกครื้น
ผู้คนต่างทยอยกันมานั่งประจำที่
ตามธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชวังนั้น ด้านขวาของแท่นหยกจะเป็ที่นั่งของบรรดาผู้มีอำนาจจากตระกูลใหญ่และขุนนางชั้นสูง โดยจะจัดเรียงตามลำดับชั้นยศจากสูงไปต่ำ
ด้านซ้ายจะเป็ที่นั่งของเหล่าบุตรหลาน ซึ่งไม่ได้มีการจัดที่นั่งที่เคร่งครัดมากนัก
มู่เทียนอินไม่รู้ว่าการจัดตำแหน่งเป็เื่บังเอิญหรือเจตนา ทางขวาคือมู่เยียนเอ๋อร์พี่สาวคนรอง และทางซ้ายคือเย่ิเซวียน
สำหรับการจัดที่นั่งเช่นนี้ มู่เทียนอินไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากนัก
เนื่องจากการฝึกฝนจิติญญาเป็สิ่งสำคัญในทวีปเทียนเสวียน พลังอำนาจเป็สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด อำนาจของฮ่องเต้ก็เช่นกัน ย่อมต้องมีรากฐานมาจากพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากพอ
ดังนั้นแม้ภายในพระราชวังดูสูงส่ง ทว่าก็ไม่ได้เคร่งครัดนัก
“เหตุใดถึงเป็เ้าล่ะ?”
หลังจากที่เย่ิเซวียนเดินมาถึงและเห็นมู่เทียนอินนั่งข้างๆ ก็แสดงสีหน้าไม่มีความสุขเล็กน้อย
เขาคิดว่านางมานั่งข้างๆ ตนเพื่อเรียกร้องสัญญาหมั้นคืน
“องค์ชายห้าเพคะ ช่างบังเอิญเสียจริง ข้าคิดจะมอบสิ่งของชิ้นนี้ให้พระองค์พอดี”
มู่เทียนอินหยิบจี้หยกออกจากอกเสื้อของเขาอย่างไม่รีบร้อน แล้วส่งให้ด้วยสีหน้าจริงใจ
นี่คือสิ่งที่ราชวงศ์มอบให้ในวันหมั้นหมายเมื่อครั้งก่อน
“ข้ารู้สึกผิดจริงๆ ที่ต้องถอนหมั้นคุณหนูมู่ในครั้งนี้ ความจริงแล้วิเซวียนมีคนในใจอยู่แล้ว ดังนั้น…”
เย่ิเซวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าก็รีบรับจี้หยกมาทันที และแสร้งทำทีว่าไม่มีทางเลือก
“หึหึ เย่ิเซวียนผู้นี้ช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง เมื่อครู่เขายังกับบอกเสี่ยวโม่ว่าเ้าเป็เพียงคนไร้ประโยชน์ และไม่คู่ควรแม้จะเป็สนมของเขาด้วยซ้ำ”
เมื่อแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากได้สำเร็จ มู่เทียนอินก็อารมณ์ดี
ทว่า เสียงรบกวนที่ดังอยู่ข้างหูกลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของนาง... ค่อยๆ หายไป
“ขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันใดนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน มู่เทียนอินก็ก้มลงโค้งคำนับร่วมกับทุกคน
"ลุกขึ้นเถอะ"
ฮ่องเต้เย่ยิ้ม และโบกมือเบาๆ
หลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จขึ้นประทับบนบัลลังก์แล้ว กลับไม่ได้มีพระราชโองการให้เริ่มงานเลี้ยงฉลอง
ทว่าทรงเฝ้าทอดพระเนตรมองประตูใหญ่ของตำหนักฉงหวาอยู่ตลอดเวลา ราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่
“ฮ่องเต้แห่งหลิงเทียน...เสด็จ!”
ในเวลานี้เสียงแหลมของขันทีดังมาจากภายนอก บุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดขาวก็เดินเข้ามาในห้องโถง
ใบหน้านั้นเป็เช่นไรกันนะ?
ผิวพรรณผ่องใสราวหยก ดวงตาเรียวเล็กหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากบางสีแดงอ่อน ดูเ็าและสง่างามราวเทพเซียน
ใบหน้างดงามจนทำให้ผู้คนตกตะลึง ใบหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
แสงจันทร์ส่องสว่างในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ สาดส่องลงบนร่างสวมชุดสีขาวผู้งดงามราวเทพเซียน ราวกับมีแสงเรืองรองห่อหุ้มร่างกายอยู่
ราวกับเป็เทพเซียนที่ลงมาจาก์ลอยมาตามสายลม สูงส่งและสง่างามอย่างไม่อาจพรรณนาได้
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนถึงจะตั้งสติได้และรีบร้อนเบนสายตาออกไปทันที
ต้องรู้ไว้ว่าเขาคือฮ่องเต้แห่งหลิงเทียนกั๋ว
ในทวีปเทียนเสวียนมีแคว้นอยู่มากมายนับร้อย และแคว้นเหล่านี้ได้ก่อตั้งพันธมิตรหลักสามกลุ่ม ได้แก่ พันธมิตรแห่งบูรพาทิศ พันธมิตรแห่งทักษิณทิศ และพันธมิตรแห่งอุดรทิศ
ในพันธมิตรแห่งบูรพาทิศซึ่งสังกัดแคว้นมู่สุ่ยมีทั้งหมดยี่สิบสี่แคว้น ระดับสูงห้าแคว้น ระดับกลางแปดแคว้น และระดับล่างสิบเอ็ดแคว้น
แคว้นมู่สุ่ยเป็เพียงแคว้นระดับล่างในสมาพันธ์นี้ ในขณะที่หลิงเทียนกั๋วกลับเป็หนึ่งในห้าแคว้นระดับสูงในพันธมิตรแห่งบูรพาทิศ
ราชวงศ์หลิงเทียนทรงอำนาจมาก ทว่าตระกูลซู่ที่มีความลึกลับและน่าเกรงขามนั้นกลับอยู่เหนือกว่าอำนาจของฮ่องเต้เสียอีก!
บรรดาแคว้นในทวีปเทียนเสวียน ปรมาจารย์ระดับจิตแรกเริ่มหาตัวได้ยากยิ่งแล้ว
ทว่าทั้งสามตระกูลเซียนเก่าแก่ ได้แก่ ตระกูลซู่ ตระกูลหรง และตระกูลอวิ๋น ในแต่ละรุ่นจะมีผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดในระดับจิตว่างเปล่าและระดับจิตลึกล้ำเกิดขึ้นเสมอ
นอกจากนี้ ยังมีตำนานเล่าขานกันว่าใน่เวลาหมื่นปีที่ผ่านมาของเหล่าตระกูลเซียน ยังเคยปรากฏฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมา!
ฮ่องเต้แห่งหลิงเทียนซู่หลิงไม่เพียงแต่เป็นายน้อยของตระกูลซู่เท่านั้น ทว่ายังเป็ฮ่องเต้ใหญ่ของฮ่องเต้ทั้งเจ็ดแคว้นของพันธมิตรแห่งบูรพาทิศอีกด้วย
ไม่มีใครคาดคิดว่าแขกผู้มีเกียรติในงานเลี้ยงพระราชวังครั้งนี้ จะเป็ถึงองค์ฮ่องเต้ใหญ่ของสหพันธ์
เมื่อนึกถึงสถานะอันสูงส่งของบุรุษชุดขาวผู้นี้
ทุกคนต่างก้มหน้าด้วยความเคารพ ด้วยกลัวว่าจะไปขัดใจแขกผู้มีเกียรติผู้นี้ มีเพียงมู่เทียนอินเท่านั้นที่จ้องใบหน้าของเขาด้วยความตกตะลึง
แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่เคยเปิดเผยใยหน้าที่แท้จริงเลย
ทว่านางกลับมองออกทันทีว่าเขาคือบุรุษที่ปีนขึ้นเตียงนางทุกคืน
หัวใจของมู่เทียนอินปั่นป่วนรุนแรง
บรรยากาศของเซียนในชุดขาวผู้นี้สูงส่งและเยือกเย็น ทว่านางกลับได้กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคย
“รีบเสด็จเข้ามาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ใครก็ได้ เชิญพระองค์ไปประทับยังที่นั่ง!”
เมื่อเห็นซู่หลิง ฮ่องเต้เย่ผู้สงบนิ่งและสง่างามมาโดยตลอด กลับรู้สึกเกรงขามต่อพลังอำนาจที่จับต้องไม่ได้ของอีกฝ่าย
แม้ว่าเขาจะเป็ฮ่องเต้แห่งแคว้นมู่สุ่ย
ทว่าหากเทียบตามสถานะของเทียนเสวียนแล้ว อำนาจและสถานะของเขายังห่างชั้นฮ่องเต้ใหญ่แห่งพันธมิตรนัก
ตามพระราชดำรัสสั่งของฮ่องเต้เย่ นางกำนัลผู้ชาญฉลาดก็รีบนำตั่งนุ่มมาให้อย่างระมัดระวัง
ซู่หลิงจึงนั่งลงอย่างสง่างามและสงบนิ่ง
ไม่ว่าจะเป็บุคลิกภาพหรือท่วงท่าก็ล้วนแต่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
“การเดินทางมาที่นี่ในครั้งนี้เพราะเื่ของสัตว์อสูรที่ชายแดน และจะใช้โอกาสนี้เพื่อชมพิธีทดสอบของแคว้นมู่สุ่ยด้วย”
ดวงตาสีม่วงของซู่หลิงเ็า และมีที่จับต้องไม่ได้แผ่ออกมา ทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตา
มีข่าวลือว่าบุตรหลานตระกูลซู่มีบุคคลที่มีรูปลักษณ์ดุจเซียนที่ไม่มีใครเทียบปรากฏขึ้นมา
ไม่ต้องพูดถึงพร์หรือความแข็งแกร่งเลย รูปลักษณ์และนิสัยก็เยือกเย็นและสูงส่งมากเช่นกัน
แม้จะเกิดมาในตระกูลเก่าแก่และมีชื่อเสียงอย่างตระกูลซู่ ทว่าบุคคลนี้ก็ยังคงเป็บุปผาบนหน้าผาสูงตระหง่าน
ฮ่องเต้เย่เฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของซู่หลิง
จำต้องยอมรับว่าฮ่องเต้ที่ผู้คนเล่าลือกันเป็บุคคลที่หยิ่งยโส
“การที่ฝ่าาเสด็จมาที่นี่ด้วยตนเอง ถือเป็ความโชคดีของมู่สุ่ยยิ่งนัก คืนเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ ขอเชิญฝ่าาร่วมดื่มฉลอง และเพลิดเพลินกับดอกไม้และพระจันทร์เต็มดวงร่วมกัน”
ฮ่องเต้เย่ยกจอกหยกในมือขึ้น กล่าวอย่างสุภาพและเป็ทางการ
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนพร้อมยกจอกขึ้นดื่ม สุราชั้นดีในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง
ซู่หลิงถือจอกหยกไว้ และดื่มอย่างช้าๆ
-----------------------------------
[1] คางคกริอ่านอยากกินเนื้อหงส์ หมายถึง คนที่ไม่ประมาณตนเอง ใฝ่ฝันหาสิ่งที่ไม่มีวันได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้