บทที่ 3: การปฏิวัติในกองขี้เลื่อย
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในโรงงาน "ชัยเฟอร์นิเจอร์" ยังคงอึมครึม คนงานเก่าแก่สิบกว่าชีวิตนั่งจับกลุ่มคุยกันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี บางคนเริ่มเก็บของเตรียมหางานใหม่ เพราะข่าวลือเื่โรงงานจะเจ๊งแพร่สะพัดไปทั่ว
"หยุดงานทั้งหมด!"
เสียงะโของฉันทำให้ทุกคนสะดุ้ง ฉันเดินเข้าไปกลางโรงงาน สวมกางเกงยีนส์ทะมัดทะแมงและเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตที่พับแขนขึ้นอย่างลวกๆ ผมยาวถูกรวบมัดสูงเผยให้เห็นใบหน้าที่มุ่งมั่น
"บัว... เอ็งจะให้หยุดทำไม งานชุดโต๊ะหมู่บูชาลายัของเจ๊กเส็งยังแกะไม่เสร็จนะ" 'ลุงเพิ่ม' หัวหน้าช่างไม้ฝีมือเอก วัย 60 ปี ผู้มีศักดิ์ศรีค้ำคอ เดินเข้ามาแย้ง แกทำงานกับพ่อมาั้แ่เปิดโรงงาน ฝีมือแกะสลักถือว่าหาตัวจับยาก แต่หัวรั้นยิ่งกว่าไม้ตะเคียน
ฉันเดินไปลูบงานแกะสลักับนพนักเก้าอี้
"สวยจ้ะลุง... แต่มันขายฝรั่งไม่ได้" ฉันพูดตรงๆ "ฝรั่งเขาไม่เอาโต๊ะหนักเป็ตันๆ ไปตั้งในคอนโดห้องเท่าแมวดิ้นตายหรอก ค่าขนส่งกินกำไรหมด"
"แล้วเอ็งจะให้ทำอะไร? จะให้ทิ้งไม้พวกนี้เหรอ!" ลุงเพิ่มเริ่มขึ้นเสียง
ฉันเดินไปที่มุมโรงงาน ชี้ไปที่ "ูเาขี้เลื่อยและเศษไม้สัก" ที่ถูกทิ้งกองพะเนินรอเผาทำลาย เป็เศษไม้ที่เหลือจากการตัดแต่งเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่
"เราจะใช้ไอ้นี่"
เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากกลุ่มคนงาน
"นังหนูบัวมันบ้าไปแล้ว จะเอาเศษฟืนไปขายฝรั่ง!"
ฉันไม่สนใจเสียงนกเสียงกา หยิบเศษไม้สักชิ้นเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา แล้วหยิบชอล์กเขียนแบบมาวาดเส้นสายลงไปอย่างรวดเร็ว
ภาพในหัวของรินลดาคือเทรนด์ Minimalist และ Scandinavia ที่จะระบาดไปทั่วโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ตอนนี้ในปี 40 มันคือความแปลกใหม่ที่ล้ำสมัยสุดๆ
"ลุงเพิ่ม... ลุงช่วยไสไม้นี้ให้เรียบ ตัดเป็รูปหกเหลี่ยมตามแบบนี้ แล้วขัดให้เนียนกริบ ไม่ต้องลงแลกเกอร์หนาเตอะนะ หนู้าโชว์ลายไม้ธรรมชาติ ด้าน ด้านๆ นวลๆ"
ลุงเพิ่มมองแบบในมืออย่างเหยียดๆ "แค่เนี้ย? แผ่นไม้หกเหลี่ยมโง่ๆ นี่นะ?"
"ใช่จ้ะ... แต่มันไม่ใช่แค่แผ่นเดียว หนูจะทำเป็ 'Modular Coaster' (ที่รองแก้วต่อประกอบได้)"
ฉันอธิบายคอนเซปต์สั้นๆ คือการนำเศษไม้มาทำเป็แผ่นรองแก้วรูปทรงเรขาคณิตที่สามารถนำมาวางต่อกันเป็แผ่นรองหม้อใหญ่ๆ หรือวางเรียงตกแต่งผนังได้ มันคืองานดีไซน์ที่ใช้ต้นทุนวัตถุดิบเป็ ศูนย์ (เพราะเป็เศษไม้ทิ้ง) แต่ขายไอเดียล้วนๆ
"ถ้าลุงทำออกมาได้สวยเหมือนที่หนูคิด หนูรับประกันว่าเราจะขายมันได้ชิ้นละ 5 ดอลลาร์... หรือประมาณ 200 บาท"
"200 บาท!!" คนงานทุกคนร้องเสียงหลง ไม้เศษฟืนนี่นะราคา 200 บาท ในยุคที่ข้าวจานละ 20 บาท!
"ลองดูสักตั้งเถอะลุง ถ้ามันขายไม่ได้ หนูยอมกราบขอโทษลุงเลย เอ้า!"
ด้วยศักดิ์ศรีช่างไม้ ลุงเพิ่มคว้าแบบไปทำอย่างกระฟัดกระเฟียด เสียงเครื่องเลื่อยและเครื่องขัดกระดาษทรายดังขึ้นอีกครั้ง
...
ผ่านไป 2 ชั่วโมง
บนโต๊ะทำงานของฉัน มีชุดที่รองแก้วไม้สัก 6 ชิ้นวางเรียงต่อกัน ลายไม้สีทองตามธรรมชาติที่ถูกขัดจนเนียนมือ ตัดกับรูปทรงเรขาคณิตที่ทันสมัย มันดู "แพง" และ "เก๋" แบบที่ไม่มีขายในห้างไทยตอนนั้นแน่นอน
"สวย..." พ่อที่เดินมาดูถึงกับอุทาน "นี่มันไม้เศษหลังโรงงานเราจริงๆ เหรอ?"
ลุงเพิ่มยืนกอดอกมองผลงานตัวเอง แม้จะพยายามเก็กหน้าขรึม แต่แววตาก็ฉายแววภูมิใจ "ก็... พอไหว ไม้มันดีอยู่แล้ว"
ฉันยิ้มกริ่ม "นี่แค่จุดเริ่มต้นค่ะพ่อ... ต่อไปเราจะทำของชิ้นเล็ก เน้นดีไซน์ ขนส่งง่าย กำไรสูง... แต่ตอนนี้ หนู้าโทรศัพท์"
"โทรหาใคร?" แม่ถาม
"หนูจำชื่อบริษัทเทรดดิ้งเ้าหนึ่งได้ เขาชื่อ 'คุณอลัน' เป็ตัวแทนซื้อของตกแต่งบ้านให้ห้างดังในอังกฤษ... ถ้าจำไม่ผิด ปีนี้เขาจะมาเดินงานแฟร์ที่ศูนย์สิริกิติ์"
ความจริงคือ ในชาติที่แล้ว สมัยรินลดาเริ่มทำงานใหม่ๆ เธอเคยอ่านบทสัมภาษณ์เก่าๆ ของเ้าพ่อวงการของตกแต่งบ้านคนนี้ ว่าเขาเสียดายที่ปี 1997 เขามาไทยแต่ไม่ได้สินค้าดีๆ กลับไปเลย เพราะมีแต่ของซ้ำๆ เดิมๆ
"เราต้องไปดักเจอเขา ก่อนที่เขาจะบินกลับวันมะรืนนี้" ฉันดูนาฬิกา
"แต่เราไม่มีบัตรเข้างานนะลูก งานเขารับแต่ผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนล่วงหน้า" พ่อแย้ง
ฉันหันไปมองชุดที่รองแก้วไม้สักบนโต๊ะ แล้วแสยะยิ้มเ้าเล่ห์
"ไม่จำเป็ต้องมีบัตรหรอกพ่อ... หนูรู้วิธีที่จะทำให้เขาต้องเป็ฝ่ายเดินมาหาเราเอง"
ฉันหันไปสั่งงานทันที
"ลุงเพิ่ม! หนูขอแบบนี้อีก 50 ชุด ด่วนที่สุด! แล้วแม่... ช่วยไปรื้อผ้าไหมเก่าๆ ในตู้ให้หนูหน่อย เอาสีที่สดที่สุดนะ!"
ปฏิบัติการ 'ตกฝรั่ง' กำลังจะเริ่มขึ้น และเหยื่อรายแรก... จะต้องกลายมาเป็กระเป๋าเงินใบโตให้เรากู้วิกฤตครั้งนี้!
