บทที่ 67 ศิษย์ทรยศ!, เซียวฉินผู้ลำบากใจ
“ท่านอาจารย์ แท้จริงแล้วท่านมาสายไป ข้ากลับมาหลายวันแล้วขอรับ”
“เ้า...เ้ากินมันเข้าไปแล้วรึ?!”
ซางอู่ตกตะลึงในบัดดล นางจับจ้องศิษย์รักที่พยักหน้าด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกยาวพลางเงยหน้ามองฟ้า
ศาลาชิวสุ่ยพลันเงียบสงัด ทั้งสองต่างนิ่งงันไร้คำพูด สายลมในวันนี้กลับพัดโหมกระหน่ำขึ้นเล็กน้อยอย่างกะทันหัน
เมื่อเห็นอาจารย์สาวยกมือปิดปาก ดวงตาคู่คมก็ฉายวาวโรจน์ขึ้นมาในทันที เ้าของระบบพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก ความรู้สึกว่าสายตานั้นของนางไม่เป็มงคลเอาเสียเลย
เขาหวนนึกถึงคราเมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขากับสหายเคยโอ้อวดกัน พลั้งปากเอ่ยคำไร้เดียงสาว่า
“พี่ชายข้าหาญกล้า กินอุจจาระได้!” เหล่าเด็กน้อยฝ่ายตรงข้ามก็จ้องมองพวกเขาด้วยแววตาเช่นนี้แล
“ท่านอาจารย์ อาหารที่ยัยก้อนน้ำแข็งผู้นั้นปรุง ก็ยังนับว่าพอจะ...”
“ข้าเข้าใจแล้ว เ้าไม่จำเป็ต้องเอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก การที่เ้ากลับมาโดยสวัสดิภาพ นับเป็เื่น่ายินดียิ่ง พวกเราอาจารย์ศิษย์ มาดื่มฉลองกันเถอะ...ทุกสิ่งล้วนอยู่ในสุราแล้ว”
ซางอู่เปิดจุกน้ำเต้าสุราขนาดเล็ก ดื่มด่ำไปสองอึกราวกับกำลังเฉลิมฉลอง จากนั้นก็ยัดน้ำเต้าสุราขนาดเล็กใส่มือหลี่โม่อย่างไม่ไยดี พร้อมกับตบไหล่เขาดังป้าบ!
“เก่งมาก”
“...”
เหตุใดเื่ราวกลับพลิกผันมาสู่จุดที่พวกเราสองคนร่ำสุรากันได้เช่นนี้เล่า?
เมื่อพ้นจากวิกฤต ซางอู่ก็เอนกายลงบนเก้าอี้โยกอย่างผาสุก ดวงตาพลันหรี่ลง
วันนี้แสงตะวันแผดจ้า พอนางเอนตัวลงเอนกาย แสงแดดก็สาดส่องลงมาราวกับธรรมชาติกำลังบรรจงวาดภาพอันงดงาม
มีบทกวีกล่าวว่า มองจากด้านข้างเป็ยอดเขา มองจากด้านหน้าเป็เทือกเขา...
เมื่อเห็นหลี่โม่กำลังจะก้าวจากไป นางก็หันกลับมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียอย่างไม่อาจต้านทาน
“จริงสิ ศิษย์รัก คืนนี้เรากินอะไรกันดี?”
ความหมายคือ ไม่ว่าอย่างไรเ้าก็ต้องจากไปในเร็ววัน เช่นนั้นแล้ว ข้าขอสั่งอาหารเลยก็แล้วกัน
หลี่โม่อดที่จะคลี่ยิ้มมิได้
“กินข้าวที่เหลือขอรับ ท่านก็ทราบดีว่าการประลองเก้ายอดเขากำลังจะมาถึง ข้าจึงค่อนข้างยุ่งกับการบ่มเพาะฝีมือ”
“หืม?”
“วันนั้นแท้จริงแล้วข้ายังกินไม่หมด ยังคงเหลือไส้หมูเก้าโค้งกับพริกผัดหมู...”
“!”
เมื่อเห็นท่านอาจารย์ตื่นเต็มสองตา หลี่โม่ก็กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น นางรีบชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วดุจสายลม
เมื่อเสียงฝีเท้าของศิษย์รักค่อยๆ ห่างออกไป ซางอู่ก็เหลือบมองจากข้างโอ่งน้ำที่ซึ่งตะกร้าผักเคยตั้งอยู่ แต่บัดนี้ตะกร้ากลับว่างเปล่า ก่อนจะพึมพำเบาๆ
“ฮึ่ม เ้าศิษย์ทรยศ...”
ในอีกด้านหนึ่ง...
หอกิจการภายนอก
“ตรวจสอบถูกต้อง”
“ศิษย์ชั้นในเซียวฉิน ได้ไล่ล่าและสังหารคนร้ายผู้มีพลังถึงขอบเขตปราณโลหิตขั้นสมบูรณ์ลงได้หนึ่งคน ได้รับรางวัลแต้มคุณงามความดีหนึ่งพันแต้ม!”
ผู้ดูแลหอกกิจการภายนอกตรวจตราของต่างๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะคลี่ยิ้มและพยักหน้าให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า
ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ศิษย์ชั้นใน กลับสามารถสังหารคนร้ายผู้มีขอบเขตปราณโลหิตขั้นสมบูรณ์ได้ในการต่อสู้จริง แสดงให้เห็นว่าศิษย์เบื้องหน้าผู้นี้มีแววโดดเด่นไม่ธรรมดา ศิษย์จำนวนไม่น้อยที่มารับภารกิจ ต่างพากันจับจ้องมองมาที่เขาด้วยความสนใจ
ภารกิจจับกุมคนร้ายนั้นให้ผลตอบแทนสูงก็จริง ทว่ากลับมีอัตราความล้มเหลวและความเสี่ยงที่สูงลิ่วตามมาด้วย ดังนั้น ศิษย์ที่เลือกรับภารกิจประเภทนี้จึงมีอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็เพื่อบ่มเพาะและฝึกฝนตนเองให้แกร่งกล้า
“แต้มคุณงามความดีหนึ่งพันแต้ม...”
“เรียนท่านผู้ดูแล สมบัติล้ำค่าที่เป็ประโยชน์ต่อการบำรุงจิติญญานั้น ต้องใช้แต้มคุณงามความดีเท่าใดหรือขอรับ?”
ใบหน้าเซียวฉินมิได้แสดงความยินดีออกมามากนัก
“สมบัติบำรุงจิติญญารึ?”
ผู้ดูแลหอตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าและเอ่ยว่า
“ไม่มีของสิ่งใดต่ำกว่าสามหมื่นแต้มคุณงามความดีเลย”
“ของเ่าั้ล้วนเป็สิ่งของสำหรับผู้บรรลุถึงขั้นปราณญาณเทพเท่านั้น เ้าอยากจะััมันในตอนนี้ ก็ยังนับว่าเร็วไปนัก อย่าได้ทะเยอทะยานมากเกินตัว”
ผู้ดูแลหอผู้นี้มีความรู้สึกที่ดีต่อเขา จึงเอ่ยเพิ่มเติมอีกสองสามประโยคด้วยความเป็ห่วง
“ข้าใคร่แนะนำว่า เ้าควรแลกเปลี่ยนสิ่งของสำหรับรักษาอาการาเ็ไปก่อน เพื่อไม่ให้หลงเหลืออาการาเ็แฝงค้างอยู่ในกาย”
“ขอบคุณขอรับ!”
เซียวฉินประสานมือแสดงความขอบคุณ ทว่าก็อดที่จะถอนหายใจออกมามิได้
เป็ไปตามที่เขาคาดคะเนไว้จริงๆ คราที่เขาลงจากเขาไปทำภารกิจ เขาก็เคยสอบถามถึงสิ่งของในลักษณะเดียวกัน ทว่าก็ไม่มีของให้แลกเปลี่ยน หรือไม่ก็มีราคาสูงเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้มากนัก
การแลกเปลี่ยนด้วยแต้มคุณงามความดีในสำนักนั้น แม้จะนับว่าคุ้มค่ากว่ามาก ทว่าก็ยังคงเกินกว่ากำลังที่เขาจะแบกรับไหว...
“เ้าหนู เ้าไม่จำเป็ต้องรีบร้อนนัก ข้าเพียงแค่ร่างกายอ่อนแอลงไปเล็กน้อย ยังมิถึงขั้นที่จะสลายไปได้โดยง่าย”
เสียงของมหาปราชญ์พันร่างพลันดังแว่วขึ้นมา ทว่ากลับฟังดูอ่อนแอลงกว่าเดิมมากนัก
“เป็ความผิดของข้าเอง ที่ประมาทไปชั่วขณะจิต”
เซียวฉินเผยสีหน้าละอายใจ
ในคราที่จับกุมคนร้าย เขายังมิได้ตรวจสอบข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้มิรู้ว่าอีกฝ่ายมีพรรคพวก ส่งผลให้เขาถูกล้อมวงเข้าโจมตี ท่านอาจารย์จึงจำต้องใช้พลังจิติญญาไปอย่างมหาศาลเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้
“ผู้ใดเล่าจะไร้ซึ่งวัยเยาว์ เ้าเพิ่งจะเผชิญหน้ากับการต่อสู้ระหว่างความเป็ความตายเป็ครั้งแรก แต่กลับทำได้ถึงเพียงนี้ นับว่าหายากยิ่ง”
“เ้าได้บรรลุถึงปราณโลหิตขั้นสมบูรณ์แล้ว แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีพละกำลังมากพอจะปรุงยาเม็ดบำรุงพลังปราณให้เ้าได้อีกแล้ว”
แม้มหาปราชญ์พันร่างจะอ่อนแอลง ทว่าในน้ำเสียงกลับแฝงไว้ซึ่งความยินดี
การประลองเก้ายอดเขาของสำนักกำลังจะมาถึง
เซียวฉินตั้งใจจะทะลวงสู่ขั้นปราณภายในก่อนหน้าการประลอง เพื่อให้ตนเองได้อันดับที่ดี กลับมิคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้น...
“ศิษย์พี่เซียว? ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยรึขอรับ?”
เขากำลังจะก้าวออกจากประตูพอดี พลันมีเสียงเรียกขานเขา เซียวฉินหันกลับไปตามสัญชาตญาณ… เป็หลี่โม่ที่มาปรากฏตัวั้แ่เมื่อใดไม่ทราบได้ กำลังคลี่ยิ้มให้แก่เขา
“ศิษย์น้องหลี่ เ้าก็รับภารกิจมาด้วยรึ?”
“อืม ข้าก็รับภารกิจจับกุมคนร้ายเช่นกันขอรับ”
หลี่โม่พยักหน้า พร้อมทั้งสังเกตเห็นว่าเซียวฉินเพิ่งผ่านการต่อสู้มาได้ไม่นาน ร่างกายยังคงมีอาการาเ็ที่ยังไม่สมานดีเล็กน้อย
“สามวันไม่เจอหน้า ต้องพินิจด้วยสายตาใหม่เลยทีเดียว”
เซียวฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย ดูจากท่าทางของศิษย์น้องหลี่แล้ว ชัดเจนว่าเขาทำภารกิจสำเร็จลงได้อย่างง่ายดาย
ภารกิจจับกุมคนร้ายนั้นล้วนหนักหน่วงยิ่งนัก เป้าหมายที่ต้องติดตามนั้น อย่างน้อยต้องมีพลังถึงขอบเขตปราณโลหิตขั้นสมบูรณ์ ส่วนผู้ที่ขอบเขตต่ำกว่านั้น จะถูกจัดการโดยทางการท้องถิ่น จะไม่มีการรายงานเข้ามายังสำนักชิงเยวียน
เมื่อหวนนึกถึงคราที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก ศิษย์น้องหลี่เพิ่งจะสามารถเปิดเส้นชีพจรได้เท่านั้น ทว่าบัดนี้กลับสามารถสังหารผู้มีขอบเขตปราณโลหิตขั้นสมบูรณ์ลงได้อย่างง่ายดายแล้ว
“ข้าเพียงแต่โชคดีขอรับ คนร้ายผู้นั้นได้รับาเ็สาหัส พลังฝีมือของเขาสามารถแสดงออกมาได้เพียงหกเจ็ดส่วน”
“เป็เช่นนี้นี่เอง”
เมื่อได้ยินหลี่โม่เอ่ยเช่นนั้น เซียวฉินก็ถอนหายใจโล่งอกไปเล็กน้อย
“จริงสิขอรับ ศิษย์พี่เซียว เมื่อวานข้าก็ไปหาท่านมาด้วย”
“ศิษย์น้องหลี่มีธุระอันใดรึ? เอ่ยมาได้เลย ตราบใดที่ข้าสามารถช่วยได้...”
“ข้าบังเอิญได้ของสิ่งหนึ่งมาขอรับ มิอาจทราบได้ว่ามันมีสรรพคุณอันใดบ้าง ศิษย์พี่เซียวเป็ที่เลื่องลือเื่ความรอบรู้ยิ่งนัก ดังนั้นจึงอยากรบกวนท่านช่วยตรวจสอบให้ข้าสักหน่อย”
หลี่โม่เอ่ยพลางล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบของชิ้นหนึ่งออกมา ลักษณะคล้ายไม้แต่ก็คล้ายหิน แล้วยื่นให้แก่เซียวฉิน
“นี่ข้าคง...” เซียวฉินเผยรอยยิ้มขื่นขม
โดยปกติแล้ว หากเขาเจอของที่ไม่เคยพบเห็น ก็จะสอบถามท่านอาจารย์ของเขาเสมอ ทว่าท่านอาจารย์เพิ่งจะเอ่ยกับเขาได้ไม่กี่ประโยค ก็เข้าสู่ภาวะหลับใหลไปเสียแล้ว...
“นี่คือไม้บำรุงิญญาหยิน!”
เสียงอันแก่ชราพลันดังขึ้นในห้วงความคิดของเขา ซึ่งฟังดูตื่นเต้นเล็กน้อย
ท่านอาจารย์มิได้พักผ่อนอยู่รึ? เหตุใดจึงตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้?
ทว่าในทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินมหาปราชญ์พันร่างเอ่ยด้วยความรวดเร็วขึ้นว่า
“นี่คือของล้ำค่าหายากยิ่งสำหรับการบำรุงจิติญญา มันเป็ไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกอสุนีบาตฟาดผ่า จากนั้นจึงบังเอิญจมลงสู่สายน้ำใต้พิภพ บ่มเพาะมาเนิ่นนานหลายปี จนไม้กลายเป็หิน และหินกลายเป็หยก จึงจะสำเร็จเป็ของชิ้นนี้”
“มีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยที่สิ้นหวังกับการทะลวงระดับพลัง ก็จะใช้ไม้ชนิดนี้ทำเป็โลง เพื่อปิดผนึกร่างกายและบำรุงจิติญญา รอคอยจนกว่ายุคสมัยถัดไปจะมาถึง จึงจะสามารถทะลวงผนึกออกมาได้”
“ไม้บำรุงิญญาหยินชิ้นนี้ ได้มาถึงขั้นที่ไม้กลายเป็หินแล้ว”
เซียวฉินเข้าใจแล้ว ท่านอาจารย์หมายความว่าของสิ่งนี้มีค่ามหาศาล และเป็ประโยชน์อย่างยิ่งต่อเขา
เขา้ามัน
ทว่านี่เป็ของศิษย์น้องหลี่นี่นา...
เซียวฉินสูดลมหายใจลึกยาว ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ศิษย์น้อง นี่คือไม้บำรุงิญญาหยิน เป็สิ่งของสำหรับบำรุงจิติญญาซึ่งมีค่ามหาศาล”
“ท่านพึงเก็บรักษาไว้ให้ดี ในอนาคตเมื่อท่านบรรลุถึงขั้นปราณญาณเทพ สิ่งนี้จะมีประโยชน์อย่างมหาศาลนัก”
เฮ้อ! เ้าโง่เซียวเอ๊ย! เหตุใดเ้าจึงไม่กล่าวไปเสียว่าของสิ่งนี้ไม่มีค่า แล้วเขาก็จะได้โยนให้เ้าไปในทันทีอย่างไรเล่า
ทว่า...หากเป็เช่นนั้น ก็มิใช่ตัวตนของเขา...
หลี่โม่จึงเอ่ยถามขึ้นอีกครา
“ในเมื่อสิ่งนี้เป็ของใช้สำหรับผู้บรรลุถึงปราณญาณเทพ เป็สิ่งของบำรุงจิติญญา เหตุใดข้าจึงเห็นศิษย์พี่เซียวดูสนใจยิ่งนักขอรับ?”
“เอ่ยตามตรงแล้ว ข้า้าของประเภทนี้อยู่” เซียวฉินเกาศีรษะอย่างกระอักกระอ่วนใจ
ท่านอาจารย์ในตอนนี้คงกำลังด่าทอเขา ว่าเป็ศิษย์ทุรยศอยู่ในอกเป็แน่
หลี่โม่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“ถ้าเช่นนั้น ศิษย์พี่ยืมไปใช้ก่อนดีไหม?”