“ขอรับ” กลุ่มเด็กหนุ่มตอบกลับพร้อมกัน
ซูิเยว่ยกมือขึ้น “แต่ว่า คนที่อยู่ข้างกายข้าจะต้องซื่อสัตย์ต่อข้าเท่านั้น หากทำไม่ได้ก็ออกไปตอนนี้ได้เลย”
กลุ่มเด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวา ไม่มีใครออกไปสักคน ต่อมาก็พูดออกมาพร้อมกัน “พวกเราขอสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณหนูจนตาย”
“ดีมาก” ซูิเยว่ยกยิ้มพอใจ ถึงแม้เด็กหนุ่มกลุ่มนี้จะค่อนข้างเด็ก แต่นางเชื่อว่านางไม่มองผิดแน่ นางเห็นเงาของหนิงหยวนตอนที่เจอกันครั้งแรกบนตัวของเด็กกลุ่มนี้
“ต่อไปตอนที่ข้าไม่อยู่ พวกเ้าก็ฟังคำสั่งขององครักษ์หนิง เขาจะฝึกฝนพวกเ้า มีปัญหาอะไรก็ไปหาเถ้าแก่หวังได้ จำได้หรือไม่?”
“จำได้แล้วขอรับ”
ซูิเยว่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วตบบ่าหนิงหยวน “เสี่ยวหยวน ทำได้ไม่เลวเลย ต่อไปก็พึ่งเ้าแล้ว”
“ขอรับ” หนิงหยวนพยักหน้าจริงจัง “ท่านไว้ใจเถิด คุณหนู”
เมื่อส่งคนกลุ่มนี้ให้หนิงหยวนแล้วนางก็วางใจ นางเชื่อว่าเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ไม่นานจะต้องเปลี่ยนเป็คนละคนแน่นอน
ซูิเยว่สั่งงานหวังซวินอีก “หากมีปัญหาอะไรก็กลับจวนไปหาข้า”
“ขอรับ”
หลังจากสั่งงานเรียบร้อยแล้ว ซูิเยว่ก็พาเสี่ยวอวี่กลับจวน
ทุกอย่างดำเนินไปได้ดีแล้ว หลายวันต่อมาซูิเยว่ก็กลับไปว่างเหมือนแต่ก่อน
อยู่ในจวนทั้งวันไม่มีอะไรทำ หากมีธุระก็จะแวะไปดูสถานการณ์ในร้านของหวังซวิน จากนั้นก็ไปรักษาดวงตาให้องค์ชายสามตามที่นัดกันไว้
ทางด้านองค์ชายห้ากับจ้าวอวี้ถิงก็ไม่มีการเคลื่อนไหว คงเพราะครั้งที่แล้วองค์ชายห้าสูญเสียคนไปมากในเวลาอันสั้น เขาจึงไม่อาจลงมือกับนางได้ง่ายๆ ส่วนทางด้านจ้าวอวี้ถิงั้แ่เกิดเื่ที่จวนองค์หญิงใหญ่ ถึงแม้จะถูกเบื้องบนปิดข่าวไว้ แต่คนที่อยู่ในงานมากมายในวันนั้นต่างเห็นกันหมดแล้ว พวกเขาจึงแอบบอกต่อกันเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง คาดว่าจ้าวอวี้ถิงคงจะเก็บตัวอยู่แต่ในจวนไม่ออกไปไหน
ดวงตาของจี๋โม่หานหลังจากผ่านการรักษามาสี่ครั้งแล้วก็ดีขึ้นมาก ไม่เกิดอาการเจ็บทุกเดือนแบบแต่ก่อนแล้ว
ก่อนหน้านี้จี๋โม่หานไม่สามารถลืมตาได้นานนัก แต่ตอนนี้กลับลืมตาได้โดยไม่มีปัญหาอะไรแล้ว อีกทั้งไม่ได้รู้สึกทรมานอะไรแล้ว
ซูิเยว่จะรักษาขั้นที่สองให้กับจี๋โม่หานโดยยึดตามอาการของเขาในตอนนี้ ดังนั้นการรักษาทุกๆ สามวันแต่ก่อนจึงเปลี่ยนมาเป็ครึ่งเดือนรักษาหนึ่งครั้ง ดังนั้นเวลาของนางจึงว่างมากขึ้น
เช้าวันนี้ซูิเยว่กำลังอ่านหนังสือแพทย์ในเรือน องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็มารายงานว่าพ่อบ้านฝูซูมาหา
ซูิเยว่ขมวดคิ้วปิดหนังสือแพทย์เข้าหากันแล้ววางไว้ด้านข้าง ปกติแล้วหากไม่มีอะไรฝูซูก็ไม่มีทางมาหานางที่เรือน ที่มาครั้งนี้ก็คงเพราะทางบิดาของนางมีเื่อะไรแน่นอน
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทางด้านฝูซูก็ได้เข้าเรือนมาแล้วเดินอ้อมูเาปลอมมาหา “สวัสดีขอรับคุณหนู”
ซูิเยว่หัวเราะยิ้มแล้วยืนขึ้น “ฝูซูไม่ต้องเกรงใจหรอก ท่านพ่อมีอะไรจะบอกหรือ?”
“ไม่ใช่ขอรับ” ฝูซูพูดไปก็ล้วงจดหมายเชิญที่ทำจากทองคำจากอกเสื้อแล้วส่งให้เสี่ยวอวี่ “เมื่อครู่กงกงในวังได้ส่งพระราชสาส์นมาขอรับ บอกว่าอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้จะมีงานวันพระราชสมภพของไทเฮา จึงได้มาเชิญคุณหนูเข้าวังเพื่อร่วมงานเลี้ยงขอรับ”
ซูิเยว่จำเื่นี้ขึ้นมาได้ “ได้ ข้ารู้แล้ว ลำบากฝูซูมาหาถึงที่แล้ว”
“เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อนขอรับ”
รอจนฝูซูออกไปแล้ว ซูิเยว่ถึงรับจดหมายเชิญจากมือของเสี่ยวอวี่มาดูก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นออกมาหนึ่งที
ครั้งล่าสุดที่นางเข้าร่วมงานวันพระราชสมภพของไทเฮาก็เมื่อสองปีก่อน ทว่าไทเฮาคนปัจจุบันกลับไม่ใช่ไทเฮาคนเดียวกับในตอนนั้นแล้ว
ไทเฮาพระองค์ก่อนเป็พระมารดาของเวิ่นฮวายปี้หรือองค์หญิงใหญ่ พระองค์มีลูกแค่คนเดียวซึ่งก็คือองค์หญิงใหญ่ ดังนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงแต่งตั้งเฟยจื่อคนอื่นที่มีองค์ชายเพื่อสืบทอดราชสำนัก
ไทเฮาพระองค์ก่อนเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ต่อมามารดาของเวิ่นจิ่นหยางและกู้ไท่เฟยในรัชกาลก่อนก็ถูกเวิ่นจิ่นหยางแต่งตั้งให้เป็ไทเฮา
ซูิเยว่ส่งจดหมายเชิญกลับไปให้เสี่ยวอวี่ นางไม่ค่อยมีความทรงจำอะไรกับกู้ไท่เฟยสักเท่าไร แต่เพราะเป็พระมารดาของเวิ่นจิ่นหยาง ดังนั้นนางจึงไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้เกลียด
ซูิเยว่พลันคิดถึงจี๋โม่หานขึ้นมา วังหลังของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีเฟยจื่อจำนวนไม่น้อย แต่พวกนางมักจะมีองค์หญิงเป็ส่วนใหญ่ องค์ชายนอกจากเวิ่นจิ่นหยางแล้วก็ยังมีองค์ชายสี่และองค์ชายห้าที่ได้ประทานตำแหน่งองค์ชายให้แล้ว
ส่วนจี๋โม่หานเป็ลูกชายของฮ่องเต้พระองค์ก่อน พระมารดาของจี๋โม่หานเดิมทีเป็หญิงร้องเพลงคนหนึ่ง ฮ่องเต้ถูกใจจึงประทานตำแหน่งเหม่ยเหรินให้ ถึงแม้จะเป็ตำแหน่งที่ไม่สูงมาก แต่ก็เป็คนที่ได้รับความรักมากสุดในวังหลังตอนนั้น ต่อมานางก็ได้ให้กำเนิดองค์ชายคนเล็กสุดซึ่งก็คือจี๋โม่หาน ด้วยเหตุนี้นางจึงได้รับความรักจากฮ่องเต้มากยิ่งขึ้นอีก แต่ตอนนั้นฮ่องเต้กลับแต่งตั้งให้เวิ่นจิ่นหยางขึ้นเป็องค์รัชทายาทแล้ว
ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใด พระมารดาของจี๋โม่หานก็สิ้นพระชนม์ไปอย่างกะทันหัน ั้แ่นั้นมาจี๋โม่หานก็สูญเสียอำนาจในวังหลวงไป พออายุห้าขวบก็ถูกส่งไปบนูเาซือิ จนกระทั่งอายุสิบสอง ตอนนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์แล้ว เขาถึงถูกรับตัวกลับมา
“คุณหนู อีกไม่กี่วันก็จะเป็วันเกิดแล้ว ท่านว่าพวกเราจะเตรียมของขวัญอย่างไรดีเพคะ อย่างไรปีนี้ก็เป็วันเกิดปีแรกที่ไท่เฟยเลื่อนตำแหน่งมาเป็ไทเฮา เพื่อประจบฮ่องเต้กับครอบครัวอื่น จะให้ของขวัญแบบธรรมดาไม่ได้เ้าค่ะ”
เสียงของเสี่ยวอวี่ที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาดึงความคิดของซูิเยว่กลับมา
ซูิเยว่พอได้สติก็เดินไปนั่งข้างโต๊ะ ่นี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในหัวของนางมักจะมีเื่ที่เกี่ยวข้องกับจี๋โม่หานปรากฏขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
ซูิเยว่ครุ่นคิดก่อนจะพูด “ของขวัญวันเกิดส่วนมากก็แบบนี้ ของที่ครอบครัวอื่นมอบให้จะต้องเป็พวกหยกหรูอี้ของมีค่าอะไรพวกนี้ แต่ในวังก็มีของมีค่าพวกนี้อยู่มากมายแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ๆ พวกเราจะต้องคิดหาอะไรที่พิเศษกว่านี้”
เสี่ยวอวี่พูดอย่างสงสัยใคร่รู้ “ให้อะไรที่พิเศษหรือเ้าคะ?”
ซูิเยว่เท้าคางคิดอยู่นานก่อนจะเสนอความคิดออกมา “พวกเรามอบเสื้อผ้าให้ดีกว่า”
“เสื้อผ้า?” เสี่ยวอวี่ชะงักไป “มอบเสื้อผ้าให้ไม่ดูธรรมดาเกินไปหรือเ้าคะ วัสดุในวังมีตรงไหนบ้างที่สู้ด้านนอกไม่ได้”
ซูิเยว่หัวเราะ “เสื้อผ้านั้นไม่มีอะไรพิเศษ แต่ที่สำคัญมันอยู่ที่น้ำใจ เ้าคิดดู ไทเฮาอยู่ในวังมาทั้งชีวิต อะไรๆ ก็เคยเห็นมาหมดแล้ว แต่สถานที่เ็าอย่างในวังหลวง สิ่งที่ขาดแคลนที่สุดก็คือความจริงใจ พวกเราสามารถออกแบบเสื้อผ้าได้ด้วยตัวเอง ดอกไม้ที่อยู่บนเสื้อพวกเราก็ปักกันเอง”
เสี่ยวอวี่ได้ยินดวงตาก็เปล่งประกาย “ความคิดดีมากเ้าค่ะ อย่างไรระยะเวลากว่าจะถึงวันเกิดไทเฮาก็ยังอีกนาน”
ชาติก่อนซูิเยว่เรียนวิชางานฝีมือมา อีกทั้งฝีมือก็ยังไม่เลวอีกด้วย ถึงกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งก็ยังไม่ลืม แถมยังได้เอามาใช้ในเวลานี้พอดี
เมื่อบอกว่าจะทำก็เริ่มทำเลย หลังจากตัดสินใจแล้วซูิเยว่ก็รีบพาเสี่ยวอวี่ออกจากเรือนไปเลือกผ้าด้วยกัน อย่างไร่นี้ถึงอยู่ในจวนไปก็ไม่มีอะไรทำ
หลังจากซูิเยว่พาเสี่ยวอวี่ออกจากจวนแล้ว พวกนางก็ตรงไปยังร้านขายผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ด้านในจิ่นชางเก๋อมีคนเข้าออกอยู่ตลอด คนที่มาเลือกผ้าก็เยอะมาก
ถึงแม้จะตัดสินใจทำเสื้อผ้าเอง แต่ผ้าก็จะเลือกแบบส่งๆ ไม่ได้ หลังจากซูิเยว่เข้ามาก็เดินวนชั้นหนึ่งหนึ่งรอบ พอเห็นว่ายังไม่ถูกใจก็ขึ้นไปชั้นสาม