ความสามารถในการควบคุมพลังปราณของมู่เฟิงพัฒนาขึ้นมาไม่น้อย เวลานี้เขาสามารถแบ่งเส้นพลังปราณได้มากกว่าสามสิบเส้นแล้ว อีกทั้งยังสามารถถักทอเส้นพลังปราณให้เป็ไปตามลายเส้นองค์ประกอบของกระบี่ที่ปรากฏขึ้นในหัวได้เร็วขึ้นแล้วด้วย
ด้ามจับ ตัวกระบี่ คมกระบี่ และตัวเชื่อมกระบี่เหล่านี้ มู่เฟิงใช้เวลาเพียงสิบ่ลมหายใจเท่านั้นในการผสานลายเส้นทั้งหมดเข้าด้วยกัน แน่นอนว่ายิ่งเขาเชี่ยวชาญมากขึ้นเท่าไร ระยะเวลาในการผสานลวดลายก็ย่อมสั้นลงเท่านั้น
เมื่อได้เห็นลายเส้นของพลังปราณสีขาวที่ขึ้นรูปเป็ส่วนประกอบของกระบี่ ภายในใจของมู่เฟิงก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
สิ่งนี้สามารถบอกได้ว่าเขาฝึกฝนเคล็ดร้อยกระบี่หวนคืนจนบรรลุขอบเขตของขั้นเริ่มต้นแล้ว
ต่อไปขอเพียงความสามารถในการควบคุมของเขาดีขึ้น เขาก็จะสามารถเรียนรู้ลายเส้นกระบี่อื่นๆ เพิ่มขึ้นได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะสร้างลายเส้นกระบี่ที่สอง กระบี่ที่สาม หรือกระบี่ที่สิบไปจนถึงกระบี่ที่ร้อยได้
เมื่อมู่เฟิงโบกมือ โครงเส้นกระบี่บนฝ่ามือของเขาก็พลันกลายเป็ลำแสงสีขาวพุ่งทะลวงไปยังโขดหินเบื้องหน้าที่อยู่ห่างออกไปราวๆ สิบเมตรทันที
ตู้ม…!
โขดหินขนาดใหญ่ที่น่าจะมีน้ำหนักราวๆ หนึ่งพันจินถูกลำแสงกระบี่พุ่งทะลวงจนแตกออกเป็สองส่วนพร้อมกับเสียงะเิที่ดังสนั่น สิ่งนี้ทำให้มู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และศิษย์ตระกูลมู่หันมามองด้วยความตื่นใ
พวกเขาเห็นเพียงว่ามีลำแสงกระบี่สีขาวสายหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านหน้าไป ก่อนจะตัดผ่านต้นไม้หนาสองต้นที่อยู่ติดกันอย่างง่ายดาย จากนั้นมู่เฟิงก็ลองปล่อยมันขึ้นไปบนฟ้า ทำให้พบว่ามันสามารถทะยานขึ้นไปได้สูงกว่าสามสิบเมตร ก่อนจะหลุดออกจากการควบคุมของเขาและสลายหายไปในที่สุด
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ยอดเยี่ยม!”
เมื่อเห็นดังนั้น มู่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความยินดี
อานุภาพพลังของกระบี่เมื่อครู่สามารถเทียบได้กับการที่หลี่ว์หยางโจมตีด้วยทักษะวิชาระดับนิลกาฬอย่างเต็มกำลังเลยทีเดียว ทรงพลังจนน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้น ระยะการโจมตีของมันยังไกลมากถึงสามสิบเมตร และที่สำคัญก็คือมันสามารถเคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทางได้ตามใจนึก
“แค่กระบี่เล่มเดียวยังทรงพลังมากถึงเพียงนี้ รอให้ข้าสามารถควบแน่นกระบี่ทั้งหนึ่งร้อยเล่มขึ้นมาและฝึกฝนจนบรรลุถึงระดับสมบูรณ์ได้ก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นต่อให้มีกองทัพนับพันคนอยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถขวางข้าได้อีกต่อไป”
มู่เฟิงพึมพำกับตัวเอง เพียงแค่คิดว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถบรรลุถึงระดับสมบูรณ์ได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
“ลำแสงกระบี่เมื่อครู่ทรงพลังมาก พี่เฟิงกำลังฝึกฝนทักษะวิชาที่ทรงพลังวิชาใหม่อย่างนั้นหรือ”
ไป๋จื่อเยว่พึมพำด้วยความประหลาดใจ
จากความทรงจำของเขา เหมือนว่ามู่เฟิงจะยังไม่ได้ฝึกฝนทักษะวิชากระบี่มาก่อนเลย
มู่เฟิงเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ในใจ จากนั้นเขาก็ฝึกฝนต่อในทันที
แม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถควบแน่นกระบี่ออกมาได้แล้ว แต่เขาก็ยังต้องฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวของกระบี่เล่มนี้ให้เป็ไปดั่งใจนึกเสียก่อน
การจะควบแน่นลายเส้นกระบี่ออกมานั้น มู่เฟิงจำเป็ต้องใช้เวลาสิบ่ลมหายใจ ซึ่งถือว่าเป็ระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน หากอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ ฝ่ายตรงข้ามย่อมไม่มีทางให้เวลาเขามากขนาดนั้น แต่หากสามารถฝึกฝนจนเชี่ยวชาญได้ คาดว่าใน่หนึ่งลมหายใจหรือแม้แต่ในชั่วพริบตาเขาก็จะสามารถควบแน่นลายเส้นกระบี่ออกมาและสามารถแสดงพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของลำแสงกระบี่ออกมาได้
มู่เฟิงใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนเคล็ดวิชาร้อยกระบี่หวนคืน ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ของตระกูลมู่ต่างก็กำลังทำสมาธิเพื่อบ่มเพาะวรยุทธ์ และมีบางส่วนนอนหลับเพื่อพักผ่อน โดยมีศิษย์คนหนึ่งรับหน้าที่ปกป้องทุกคน คอยเฝ้าสังเกตการณ์ในระยะไกล
ภายในป่าริมฝั่งแม่น้ำที่ทุกคนกำลังปักหลักพักผ่อนกันอยู่นั้นมีดวงตาสีเขียวที่ทอประกายความดุร้ายหลายคู่กำลังจับจ้องมาทางพวกเขา พวกมันมองดูกลุ่มคนที่อยู่บริเวณริมฝั่งน้ำ พร้อมกับค่อยๆ โอบล้อมเข้ามาเป็ครึ่งวงและเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ๆ ทีละเล็กทีละน้อย
ทันใดนั้นเสี่ยวเทียนที่อยู่ในอ้อมแขนของมู่เฟิงก็พลันตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลโดยสัญชาตญาณ มันแลบลิ้นออกมา จากกลิ่นอายที่มันััได้ ทำให้มันตระหนักได้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
“ฟ่อ...!”
เสี่ยวเทียนส่งเสียงร้อง จากนั้นมันก็พุ่งตัวออกมาจากอ้อมแขนของมู่เฟิงและขยายร่างจนมีความยาวมากกว่ายี่สิบเมตร ก่อนที่มันจะขดตัวอยู่ตรงหน้ามู่เฟิงพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมา
มู่เฟิงที่กำลังจดจ่อกับการฝึกฝนพลันได้สติขึ้นมาทันที เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเสี่ยวเทียน เขาก็แผ่พลังิญญาออกมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อััได้ถึงลมพัดใบหญ้าไหว*ภายอยู่ในรัศมีสามสิบเมตร สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปในทันที
(*ความเคลื่อนไหวเล็กน้อย)
“ทุกคนเตรียมพร้อม!”
มู่เฟิงแผดเสียงออกมาอย่างดุดัน ฉับพลันนั้นหอกสายฟ้าเล่มยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาอย่างรวดเร็ว
ศิษย์ตระกูลมู่พากันตื่นใ พวกเขารีบผุดลุกขึ้นยืนในทันที
“บรู๊ววว!”
เสียงหอนของหมาป่าดังก้องไปทั่วบริเวณ ไม่นานเงาร่างของสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งก็วิ่งทะยานออกมาจากป่า และล้อมกลุ่มของมู่เฟิงเอาไว้ทันที
หลังจากมู่เฟิงและคนอื่นๆ เห็นร่างตรงหน้า สีหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนเป็ไม่น่ามอง
พวกมันคือฝูงหมาป่าั์ร่างใหญ่ แต่ละตัวต่างก็มีความสูงเกินครึ่งหนึ่งของมนุษย์ และมีความยาวราวสามเมตร ทั่วทั้งตัวถูกปกคลุมด้วยขนสีดำ ใบหูตั้งตรง คมเขี้ยวอันแหลมคมเผยอออกมาให้เห็น จากดวงตาสีเขียวอันวาวโรจน์ของพวกมันที่กำลังมองมา คาดว่าหมาป่าตรงหน้ามีจำนวนไม่ต่ำกว่าสองร้อยตัว!
“ฝูงหมาป่า เป็ฝูงหมาป่าทมิฬ”
“์ เหตุใดจึงมีหมาป่าทมิฬมากมายเช่นนี้ จบกัน มันจบแล้ว มันจบแล้ว!”
“หมาป่าทมิฬเป็อสูรร้ายที่ดุร้ายมาก เราควรจะทำอย่างไรกันดี ควรทำอย่างไรดี”
เมื่อศิษย์ตระกูลมู่มองเห็นฝูงหมาป่าทมิฬจำนวนมากตรงหน้า สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลงและดูสิ้นหวังเป็อย่างมาก
หมาป่าทมิฬเป็อสูรร้ายชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วพลังของมันจะอยู่ต่ำกว่าระดับจื่อฝู่ขั้นสาม ทว่าโดนปกติจะไม่มีอสูรร้ายระดับจื่อฝู่ตนใดกล้าเข้าไปยั่วยุมัน เนื่องจากหมาป่าทมิฬนั้นอยู่กันเป็ฝูง ดังนั้นแม้จะยั่วยุหมาป่าทมิฬเพียงตัวเดียว แต่ผลลัพธ์ก็คือการยั่วยุหมาป่าทมิฬทั้งฝูง
ด้านหลังของฝูงหมาป่ามีหมาป่าทมิฬตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่สูงสองเมตรและมีความยาวหกเมตร และหมาป่าตัวนั้นก็มีแผงคอสีขาว ทั่วทั้งร่างของมันถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณสีดำพร้อมกับกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา
เห็นได้ชัดว่ามันคือจ่าฝูงของฝูงหมาป่าทมิฬกลุ่มนี้ นอกจากนี้ดูเหมือนว่าตรงแผงคอของมันจะมีบางอย่างที่คล้ายกับห่วงเหล็กสีดำใส่เอาไว้
สีหน้าของมู่เฟิงมืดครึ้มลงทันที คราวนี้พวกเขาพบปัญหาใหญ่เข้าแล้ว
ทางด้านไป๋จื่อเยว่กับมู่ขวงเองก็มีใบหน้าซีดลงถนัดตา พวกเขากมองดูฝูงหมาป่าที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ด้วยร่างกายที่สั่นเทาเล็กน้อย
“พะ พี่เฟิง เราควรจะทำอย่างไรกันดี?”
ทุกคนขยับตัวเข้าหากันจนกลายเป็กลุ่มก้อน จากนั้นไป๋จื่อเยว่ก็กลืนน้ำลายลงก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“จะทำอย่างไรได้ มีเพียงต้องสังหารพวกมันเท่านั้น”
มู่เฟิงหันมองไปทางแม่น้ำที่มีความกว้างกว่าสามสิบเมตรที่อยู่ด้านหลังเขา จากนั้นก็หันกลับมาจ้องฝูงหมาป่าตรงหน้าและกล่าวขึ้นอย่างเ็า
“โฮก...!”
เสี่ยวเทียนเปล่งคำรามพร้อมกับแผ่กลิ่นอายของัออกมาข่มขู่ฝูงหมาป่าทมิฬ ทำให้พวกมันถอยออกไปสองก้าวพร้อมกับจ้องมองเสี่ยวเทียนด้วยความหวาดกลัว
“บรู๊ว...!”
แต่ทันใดนั้นเสียงหอนของจ่าฝูงหมาป่าทมิฬก็ดังขึ้น ราวกับว่ามันกำลังออกคำสั่งบางอย่าง
“บรู๊ว...!”
ฝูงหมาป่าเ่าั้หอนรับในทันที เสียงหอนของพวกมันดังก้องไปทั่วฟ้ายามค่ำคืน หมาป่าแต่ละตัวจ้องมองมาอย่างกระหายเื พวกมันพุ่งกระโจนเข้ามาโดยไม่หวาดกลัวในอำนาจัของเสี่ยวเทียนอีกต่อไป
“ฆ่ามัน!”
มู่เฟิงแผดเสียงคำรามอย่างดุดัน จากนั้นเขาก็พุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับหอกสายฟ้าในมือ
“ฆ่ามัน…!”
ไป๋จื่อเยว่ มู่ขวงและศิษย์ตระกูลมู่ต่างก็พุ่งเข้าไปหาหมาป่าพร้อมกับอาวุธในมือ
“โฮก…!”
หมาป่าทมิฬตัวหนึ่งทะยานร่างออกไปข้างหน้ากระโจนเข้าหามู่เฟิงในทันที แต่ก่อนจะเข้าถึงตัวเด็กหนุ่ม มู่เฟิงก็ตวัดหอกปล่อยใบมีดสายฟ้าออกมาเสียก่อน
ฉัวะ!
ร่างของหมาป่าทมิฬถูกมีดสายฟ้าตัดผ่านร่างจนขาดออกเป็สองท่อนในครั้งเดียว จากนั้นมู่เฟิงก็เหวี่ยงหอกออกมาอีกครั้ง โดยคราวนี้เขาได้ปลดปล่อยลำแสงสีม่วงออกมาสามสาย ซึ่งลำแสงทั้งสามสายนี้ก็เจาะทะลวงเข้าที่ศีรษะของหมาป่าสามตัวโดยตรง หมาป่าทมิฬทั้งสามตัวหวีดร้องก่อนจะล้มตัวลงนอนจมกองเืตัวเองทันที
มู่เฟิงรวบรวมพลังปราณไว้ที่ปลายนิ้ว ก่อนจะปล่อยลำแสงดรรชนีนิ้วสีทองไปยังหมาป่าทมิฬอีกตัว
ร่างกายขนาดใหญ่ของเสี่ยวเทียนพุ่งทะยานเข้าใส่ฝูงหมาป่าโดยตรง มันอ้าปากกว้างกัดร่างของหมาป่าทมิฬตัวหนึ่งจนฉีกเป็สองชิ้น จากนั้นมันก็พ่นเปลวเพลิงสีแดงเข้มออกมาแผดเผาร่างของหมาป่าทมิฬเจ็ดถึงแปดตัวในคราวเดียว เสียงหวีดร้องของหมาป่าดังก้องไปทั่วบริเวณ
ศิษย์ตระกูลมู่คนอื่นๆ ก็กำลังต่อสู้กับฝูงหมาป่าทมิฬที่ล้อมวงเข้ามาเพื่อเอาชีวิตรอดเช่นกัน
บนท้องฟ้ายามราตรี เงาร่างหนึ่งกำลังมองการต่อสู้ด้านล่างด้วยรอยยิ้มหยันด้วยดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของเขา
“เ้าเด็กน่าชัง คืนนี้แหละคือวันตายของเ้า!”
ร่างนั้นแสะยิ้มชั่วร้ายออกมาก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็ลำแสงสีเหลืองพุ่งทะยานหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้