“แล้วก็... ต้องไปตามหาฟูจื่อที่ไหน ที่จะยินดีมาสถานที่เล็กๆ แห่งนี้ของพวกเราได้กัน?”
หวังซื่อคิดส่วนที่สำคัญที่สุดในนั้นขึ้นได้
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็ห่วงเื่นี้ เจินจูกล่าวแล้ว เื่เหล่านี้นางจัดการได้ขอรับ” หูฉางกุ้ยนึกถึงซิ่วฉายหยางในวัดเฉิงหวงขึ้น เหมือนว่าเจินจู้าจะเชิญเขามาชี้แนะสอนสั่งบทเรียน
“…”
เด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่งอายุสิบเอ็ดปี จะจัดการได้อย่างไร?
หวังซื่อโต้แย้งอย่างมาก แต่หลานสาวคนเล็กของนางไม่เหมือนคนอื่น หากนางกล่าวว่าจัดการได้ต้องสามารถจัดการได้จริงๆ
“พี่ห้า ท่านได้ฟังข้าอยู่หรือไม่?” เสียงที่เต็มไปด้วยการตำหนิของเด็กสาวแสนน่ารักดังขึ้น
สายตาของกู้ฉีละออกมาจากหน้าตำราหนังสือ “อะไรหรือ?”
โหยวอวี่เวยเบะปากขึ้นกล่าวอย่างไม่พอใจ “ไม่ใช่กล่าวไปแล้วหรือ ว่าท่านแม่ของข้าบอกว่าพรุ่งนี้จะไปจุดธูปบูชาที่วัดต้าเอิน ท่านจะไปพร้อมกับท่านแม่หรือไม่?”
สายตาของกู้ฉีหยุดอยู่บนตัวของเด็กสาวที่กระเง้ากระงอดตรงหน้า วันนี้นางสวมชุดกระโปรงยาวเอวสูงสีชมพูอ่อน อายุสิบสามสิบสี่ปี แก้มมีวัยกระวาน [1] อย่างที่เด็กทารกตุ้ยนุ้ยควรจะมี ลูกตาสองข้างดำขลับสว่างไสว ริมฝีปากแดงอมชมพูอ่อนนุ่ม เป็ลักษณะของแม่นางตัวน้อยที่น่ารักผู้หนึ่ง
แต่…
ทำไมถึงได้พูดจามากมายเสียงดังเอะอะโวยวายเช่นนี้นะ กู้ฉีคลึงหว่างคิ้ว หนึ่งชั่วยามล้วนผ่านไปแล้ว นางยังกล่าวจ้อกแจ้กไม่หยุดเสียที
“อวี่เวย เ้าไปกับท่านน้าเถอะ”
แม่นางน้อยพูดมากมาั้แ่เด็ก แม้ใบหน้าของกู้ฉีจะเ็าแค่ไหน ล้วนดับความปรารถนาในการพูดคุยของนางไม่ได้เลย
“แต่... ท่านแม่ข้าบอกว่า นานแล้วที่นางไม่ได้เจอพี่ห้าเลย ท่านไปด้วยกันกับข้าไม่ได้หรือ?” โหยวอวี่เวยทำหน้ามุ่ย หากพี่ห้าไม่มาปรากฏต่อหน้ามารดาของนาง มารดาของนางคงจะลืมเขาไปสิ้นแล้ว
เฮ้อ เป็เช่นนี้อีกแล้ว แม่นางผู้นี้ราวกับอายุและรูปร่างเพิ่มขึ้นเสียเปล่า ไม่ว่าจะเื่อะไรมักพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า การปฏิเสธของเขาก็กลายเป็หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…
กู้ฉีมองนางด้วยความเ็า ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
โหยวอวี่เวยเบะปาก ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ “พี่ห้า ท่านกลับเมืองหลวงมาหลายวันแล้ว ออกไปเดินเล่นข้างนอกไม่ใช่โอกาสดีหรือ?”
“แค่กๆๆ” กู้ฉีคันคอขึ้นทันที นี่เขาถูกทำให้โมโหจนไอกระมัง
“คุณชาย ชาขิงของท่านเ้าค่ะ” ชิงเหมยยกชาขิงอุ่นๆ หนึ่งถ้วยเข้ามาจากข้างนอก
ชิงเหมยเป็สาวใช้ที่ทำงานดีที่สุดของอันซื่อ อันซื่อเห็นความสุขุมรอบคอบและเชื่อถือได้ของนาง จึงโยกย้ายนางมาดูแลกู้ฉีเป็พิเศษ
แต่เดิมกู้ฉีมีคนรับใช้หญิงอายุมากสองคนสาวใช้อายุน้อยสี่คน ปีที่แล้วก่อนออกเดินทาง เขาให้อันซื่อปลดออกจากการรับใช้เขาทั้งหมด เหลือไว้เพียงหญิงชราที่มีอายุสองคนไว้ดูแลที่พักไท่อัน
ครั้งนี้กู้ฉีกลับมาเมืองหลวง อันซื่อคิดถึงเื่เมื่อปีที่แล้ว ที่ทำให้บุตรชายรังเกียจการรับสาวใช้ในวัยสาวที่หน้าตางดงาม ด้วยเหตุนี้จึงคัดเลือกคนใช้หญิงที่ทำงานดีจากข้างกายนาง แบ่งไปยังภายในลานบ้านของบุตรชายอย่างเหมาะสมเสียเลย
ชิงเหมยมีความสุขุมหนักแน่นในอารมณ์มาโดยตลอด ที่สำคัญที่สุดคือได้กำหนดบ้านของสามีแล้วด้วย ปีหน้าก็จะออกเรือนเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามีแล้ว
ชิงเหมยติดตามอันซื่อมาตลอด เข้าออกที่พักไท่อันบ่อยๆ กู้ฉีนับได้ว่าคุ้นเคยกับนางอยู่บ้าง ดังนั้นชิงเหมยจึงพาสาวใช้อายุน้อยสองคนติดตามมาพักอยู่ชั่วคราวภายในบ้านของเขา เขาไม่ได้คัดค้านอะไร อย่างไรเสียเขาก็อยู่ภายในลานบ้านส่วนตัว และไม่สะดวกให้เด็กรับใช้หญิงที่ยังไม่เป็ผู้ใหญ่หรือคนดูแลบ้านมาดูแลชีวิตประจำวัน
ขอแค่ไม่เหมือนหลันอวี้ผู้นั้น เขาก็จะไม่ดึงดันต่อการดูแลของสาวใช้แน่นอน
หลันอวี้ เป็อดีตสาวใช้ของเขา เพื่อที่จะไม่ต้องแต่งให้กับเด็กรับใช้หรือคนดูแลบ้าน กลางดึกคืนหนึ่งได้ปีนขึ้นมาบนเตียงของเขา โดยไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาในตอนนั้นกำลังป่วยจนลุกไม่ขึ้น
คิดถึงสถานการณ์ที่ตนเองถูกสาวรับใช้กำลังบังคับถอดเสื้อผ้าออก ใบหน้ากู้ฉีดำถมึงทึงไปทั้งดวง มองสาวใช้ที่งดงามและนิ่มนวล ปิดปากและฉีกเสื้อผ้าของเขาไปด้วย เขาที่ร่างกายเจ็บป่วยอ่อนแอไร้ความสามารถต่อต้าน หากไม่ใช่เพราะระหว่างดิ้นรนสุ่มสี่สุ่มห้าก็บังเอิญร่วงลงมาจากเตียง ปลุกให้หญิงชราทังที่ดูแลลานบ้านตื่นขึ้น ไม่เช่นนั้นคงทำให้แผนชั่วของหลันอวี้สำเร็จจริงๆ แล้วก็ได้
กู้ฉีใช้สองมือยกชาขิง สายตาคลุมเครืออธิบายไม่ถูก
“คุณชาย น้ำแกงของห้องครัวเล็กเคี่ยวเสร็จแล้ว ท่าน… จะทานตอนนี้หรือรออีกสักเดี๋ยวเ้าคะ?” ชิงเหมยรอคำสั่งด้วยสายตาจ้องตรงไปอย่างเคร่งขรึม
กู้ฉีมองเด็กสาวสองตามันวาวฝั่งตรงข้าม ไร้ความสุขไปพักหนึ่ง รีบตอบไปก่อนที่นางจะเอ่ยปาก “รออีกเดี๋ยวค่อยทาน เ้าใส่ไว้อีกหนึ่งถ้วยเล็ก แล้วไปเยี่ยมท่านย่ากับข้า”
กล่าวจบ ดื่มชาขิงที่เหลืออยู่เกลี้ยงในรวดเดียว
“อวี่เวย ข้าจะไปเยี่ยมท่านย่าแล้ว เ้ากลับไปก่อนเถอะ”
กู้ฉีลุกขึ้นสั่งเสียออกมาทันที แล้วออกจากห้องไป
“พี่ห้า…”
โหยวอวี่เวยยืนขึ้นกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ขยี้ผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างโมโห
เบ้าตามีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา พี่ห้า ยังคงหลบเลี่ยงนางไปเช่นนี้เหมือนเดิม
กู้ฉีนำทางชิงเหมยออกมาจากประตูลานบ้าน
เพราะตกอยู่ในอาการป่วยจำเป็ต้องพักผ่อนอย่างสงบ ที่พักไท่อันจึงอยู่ในลานบ้านค่อนมาทางตะวันตกของจวนสกุลกู้ ต้นเขียวเหมันต์ [2] ระหว่างทางถูกตัดแต่งอย่างประณีตเขียวชอุ่มตลอดสี่ฤดู พื้นที่สีเขียวแพร่กระจายไปทั่วทุกแห่งหนเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
เมื่อเดินผ่านทะลุเงากำแพง เลี้ยวเข้าทางเดินที่ตกแต่งอย่างสวยงามซึ่งเชื่อมต่อกับเรือนทางตอนเหนือ ทางตะวันออก และตะวันตก ในที่ไม่ไกลออกไปเห็นเด็กชายอายุสองหรือสามขวบกำลังวิ่งขากะเผลกไปข้างหน้า ข้างหลังมีหญิงรับใช้ชราจำนวนหนึ่งตามอยู่
“โอ๊ะ คุณชายห้ามา” หญิงชราคนหนึ่งเห็นกู้ฉีด้วยสายตาเฉียบคม
หญิงรับใช้ชราที่วิ่งอยู่รีบพากันหยุดเท้าและโค้งตัวทักทาย
เด็กชายเห็นคนไม่คุ้นเคยจึงไม่มีความหวาดกลัว แล้ววิ่งมุ่งตรงมาทางเขา
ชิงเหมยที่ยืนหิ้วตะกร้าอยู่ได้ก้าวมายืนอยู่ข้างหน้ากู้ฉีอย่างแเี
“ชิงเหมยคารวะคุณชายน้อย” ชิงเหมยยิ้มบางๆ แล้วแสดงความเคารพ “คุณชายน้อย ทำไมท่านถึงมาวิ่งเล่นที่นี่ได้เ้าคะ”
สถานที่นี้ห่างจากลานเต๋อหนิงหนึ่ง่ระยะทาง
เด็กชายเป็หลานของกู้ฉี นามว่ากู้เจ๋อเด็กน้อยอายุสามปี
“มีมี มีมีหายไป” เสียงอ่อนวัยของเด็กน้อยมีความน้อยใจอยู่
มีมีเป็แมวเปอร์เซียที่เลี้ยงอยู่ในลานเต๋อหนิง
ชิงเหมยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฮูหยินไม่อนุญาตให้เลี้ยงแมวและสุนัขในจวนมาตลอด เพราะกลัวว่าขนแมวและขนสุนัขจะเพิ่มอาการไอของคุณชายห้าหนักขึ้น แมวเปอร์เซียตัวนี้เป็่ก่อนหน้าฉลองปีใหม่ คุณชายน้อยไปเจอขณะที่กลับไปบ้านท่านตาท่านยายของเขา ชื่นชอบเหลือคณนาจึงนำกลับมาเลี้ยงเอง
มารดาของกู้เจ๋อคิดว่ากู้ฉีไม่อยู่ในจวนคงไม่เป็ไร จึงให้นำกลับมาก่อนโดยยังไม่ได้รับอนุญาต หลังกลับมาถึงจวนจึงมารายงานกับฮูหยิน
แม้ในใจฮูหยินไม่ชอบแต่ในที่สุดก็ไม่ได้ให้คืนกลับไป คิดว่าบุตรชายคนเล็กไม่อยู่ภายในจวน รอให้เขากลับมาก่อน หลานชายคนเล็กน่าจะหมด่ตื่นเต้นดีใจไปแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยหาข้ออ้างจัดการออกไป
ผู้ใดจะคิดว่าเวลาผ่านไปนานพักหนึ่ง ทุกคนล้วนลืมแมวตัวนี้ไปหมดแล้ว
แม่นมข้างหลังกู้เจ๋อราวกับนึกเื่นี้ขึ้นมาได้เช่นกัน สีหน้าจึงเปลี่ยนไปซีดเผือดขึ้นฉับพลัน
คนทั้งจวนกู้ต่างรู้กันทั้งหมด ในใจของฮูหยินใหญ่อันซื่อ หากนับรายชื่ออันดับหนึ่งย่อมไม่ใช่หลานชายคนเล็กอย่างกู้เจ๋อแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่กู้เจวี๋ยผู้เป็บุตรชายคนโตด้วยเช่นกัน แต่เป็กู้ฉีบุตรชายคนเล็กที่นอนป่วยติดเตียงอยู่ตลอดทั้งปีผู้นี้
ผู้ใดกล้านำสิ่งไม่ดีหรือโชคร้ายมาััโดนตัวคุณชายห้า เช่นนั้นก็รอความซวยไว้ได้เลย
“คุณ คุณชายน้อย มีมีไม่อยู่ที่นี่ พวกเรากลับไปหาในลานบ้านดีหรือไม่เ้าคะ?” แม่นมกล่อมกู้เจ๋ออย่างตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
“ไม่เอาๆ ครั้งก่อนมีมีก็วิ่งไปถึงในป่าสีเขียวเป็มันขลับผืนนั้น” กู้เจ๋อไม่คล้อยตาม บิดตัวอย่างแรงแล้วกล่าว “พวกเราไปหามันในนั้นไหม”
กู้ฉีสังเกตกู้เจ๋อที่ตุ้ยนุ้ยขาวนุ่มอมชมพูตรงหน้าอย่างละเอียดด้วยความประหลาดใจ
ตุ้ยนุ้ยจริงๆ แก้มอิ่มเอิบราวกับหมั่นโถวสีขาวที่นูนขึ้นมาก็ไม่ปาน ลูกตาแบ่งขาวดำชัดเจนจ้องมองเบิกกว้าง น่ารักมาก
เขามีโอกาสเห็นกู้เจ๋อในระยะประชิดน้อยมาก
การรวมตัวกันของปีที่แล้วๆ มา พี่ชายกับพี่สะใภ้มักเอาเขาติดตัวห่างออกไปไกลนัก
กู้ฉีรู้... เป็เพราะกลัวว่าอาการป่วยของเขาจะแพร่ให้เด็กน้อย
เขาเข้าใจดี จึงห่างออกมาจากเด็กน้อยไกลหน่อยอย่างรู้ตัว
กู้ฉีนั่งลงกึ่งยอง ยิ้มน้อยๆ กำลังคิดจะทักทายหลานชายตัวน้อย
“อ๊ะ เจ๋อเอ่อร์ เ้าทำอะไรอยู่น่ะ? รีบมานี่” เสียงร้องใเล็กแหลมสะท้อนออกมาจากที่ไม่ไกล
รอยยิ้มบนใบหน้ากู้ฉีชะงักทันที
กู้เจ๋อได้ยินเสียงร้องของมารดา จึงรีบวิ่งไปข้างกายนาง
“ท่านแม่ มีมีหายไปแล้ว ข้าจะไปหามีมี” เด็กน้อยออดอ้อน
“แม่รู้ อีกสักพัก มีมีก็กลับมาแล้ว เ้ากลับไปในบ้านกับแม่นมก่อน ในห้องครัวนำสุ่ยจิงเจี่ยว [3] ที่เ้าชอบมาส่งให้แล้ว” มารดากู้เจ๋อกล่าวล่อลวงบุตรชายเสียงเบา
กู้ฉียืนขึ้น หันไปแสดงความเคารพทางนางด้วยสีหน้าเ็า ทันทีหลังจากนั้นจึงเดินไปทางที่พักเฮ่อเหยียนถัง
ชิงเหมยรีบย่อเข่าทำความเคารพมารดาของกู้เจ๋อ แล้วตามกู้ฉีไป
สีหน้าของมารดากู้เจ๋อเขียวขาวไปพร้อมกัน นางรู้ เมื่อสักครู่การร้องเสียงแหลมเป็การไร้มารยาท แล้วยังเป็การทำให้บุตรชายคนเล็กที่แม่สามีรักที่สุดไม่พอใจ
...กู้ฉีคารวะทักทายท่านย่า
ให้ชิงเหมยยกน้ำแกงไก่ถ้วยเล็กขึ้นมา
วันนี้ฮูหยินชราสกุลกู้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น แต่ยังคงผอมลงอย่างมาก
นางรู้ว่านี่เป็อาหารที่ต้องรับประทานทุกวัน ที่หลานชายนำกลับมาจากแดนไกล
เปิดฝาออกเป็อันดับแรก น้ำแกงไก่ยังคงอุ่นอยู่ กลิ่นหอมสดชื่นโชยเข้ามาปะทะใบหน้า ดึงดูดให้คนน้ำลายไหลยิ่งนัก
ฮูหยินชราสกุลกู้กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง หยิบช้อนค่อยๆ ตักขึ้นมาใส่เข้าในปาก
กระแสความอบอุ่นไหลผ่านลำคอลงไป รสชาติสดชื่นหอมกรุ่นกระจายไปทั่วต่อมรับรส
ฮูหยินชราสกุลกู้ซดคำแล้วคำเล่า ไม่นานน้ำแกงใสหนึ่งถ้วยเล็กก็ซดจนหมด เนื้อไก่สามชิ้นที่เหลืออยู่ก้นถ้วย หญิงชราไม่ได้เหลือทิ้งแต่เปลี่ยนมาใช้ตะเกียบทานเนื้อเข้าไปจนหมดเกลี้ยง
หลิวเมอเมอที่คอยปรนนิบัติฮูหยินชราอยู่ด้านข้าง กล่าวโน้มน้าวด้วยความกังวลใจ “เหล่าฮูหยิน หมอหลวงกำชับไว้แล้ว ว่าอาหารจำพวกเนื้อไม่เหมาะให้ทานมากเกินไปนะเ้าคะ”
ฮูหยินชราสกุลกู้ถลึงตามองนางหนึ่งที “แค่เนื้อไก่สามชิ้น เยอะที่ไหนกัน”
หลิวเมอเมอยิ้มเจื่อนๆ
หญิงชราโบกมือ ให้คนรับใช้ที่ดูแลในห้องถอยไป
“ฉีเอ่อร์ นี่เป็ไก่ของครอบครัวเกษตรกรนั้นหรือ?”
กู้ฉีอมยิ้มแล้วพยักหน้า
ในใจฮูหยินชราปีติยินดี น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยเล็กที่ซดลงไป แม้ไม่มีสัญญาณอะไรที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่มีความรู้สึกสุขกายสบายใจที่ไม่ทราบแน่ชัดและอธิบายให้ละเอียดไม่ได้ มันแพร่กระจายไปทั่วแขนขาทั้งสี่และกระดูกนับร้อย รสชาติอ่อนแต่สดและอร่อย มีความแตกต่างจากน้ำแกงไก่ทั่วไปจริงๆ
“พิเศษมาก หลังซดลงไป อาการชาของช่องท้องเหมือนว่าบรรเทาลงได้หน่อย ความรู้สึกคอแห้งในปากก็ไม่ได้รุนแรงเพียงนั้น” ฮูหยินชราเม้มปากนึกถึงรสชาติในปากอย่างละเอียด
“กู้จงกับท่านหมอเหวยก็เคยซดเช่นกันขอรับ พวกเขารู้สึกว่าค่อนข้างสดใหม่และหวานอร่อยกว่าไก่บ้านทั่วไป แต่อย่างอื่นไม่มีความรู้สึกว่าอะไรพิเศษ” กู้ฉีเคยทำการเปรียบเทียบ
ฮูหยินชราไตร่ตรอง “อาจเป็... คนที่ป่วยหนักจึงจะสามารถตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในนั้น”
กู้ฉีพยักหน้า ความเป็ไปได้นี้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว
“ฉีเอ่อร์ เื่นี้ทางที่ดีอย่าแพร่ออกไปจะดีที่สุด ่นี้สถานการณ์ของเมืองหลวงวุ่นวายอยู่บ้าง แม้องค์ไท่จื่อจะถูกลงโทษปิดประตูสำนึกผิด แต่อำมาตย์ที่สนับสนุนเขาไม่น้อย มีการก่อกวนเล็กๆ น้อยๆ อย่างลับๆ ส่วนตัวยิ่งติดต่อกันมากขึ้น ขัดแย้งกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชวงศ์ไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะกองกำลังองครักษ์ของพระราชวังปฏิบัติตามคำสั่งของฮ่องเต้เพียงเท่านั้น กลัวว่าองค์ไท่จื่อคงจะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้นานแล้ว ขณะนี้ฮ่องเต้ทำได้เพียงถอนหายใจ ยังสามารถหยุดยั้งองค์ไท่จื่อได้เป็การชั่วคราว หากเื่ราวเช่นนี้แพร่ออกไปตอนนี้ เช่นนั้นครอบครัวเกษตรกรคงกลายเป็ปลาบนเขียง และเกรงว่าไม่นานก็ต้องเหมือนขี้เถ้าที่ปลิวหายดังควันมลายสิ้นในไม่ช้าแล้ว” หญิงชราผ่านการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ต้าสยามาสองรัชสมัย เคยเห็นการกระทำเดินหน้าควบคุมในที่ลับ และมองชีวิตคนราวกับขี้หมูราขี้หมาแห้งเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนมามาก
กู้ฉีล้มหมอนนอนเสื่อมานาน ไม่เคยประสบกับคลื่นลมความยากลำบากมาก่อน ฮูหยินชราวิเคราะห์สถานการณ์อำนาจการบริหารของราชสำนักอย่างละเอียดให้หลานชายฟังหนึ่งรอบ
สีหน้ากู้ฉีเปลี่ยนไปมาก คำพูดของหญิงชราสกุลกู้กระชับและมีความหมายลึกซึ้ง เขาไม่เคยเห็นด้านมืดในการโต้เถียงที่ยืดเยื้อยาวนาน และต่างฝ่ายต่างพยายามหลอกล่อซึ่งกันและกันในโถงราชสำนัก จึงไม่เป็กังวลหรือหวาดระแวงปัญหาของด้านนี้จริงๆ
ดีที่ว่าคนที่รู้เื่นี้มีไม่มากนัก ตอนนี้ให้คนปิดปากระวังคำพูดที่จะสร้างความเดือดร้อนใส่ตัวไว้ยังทันอยู่
พอคิดถึงว่าสาเหตุเป็เพราะตนเองประมาท แล้วอาจทำให้สกุลหูตกลงไปในภัยพิบัติและความลำบากยากแค้น กู้ฉีก็กระวนกระวายใจขึ้นมาฉับพลัน
เขาอำลาหญิงชราในเวลานั้นทันที เร่งรีบเดินทางกลับที่พักไท่อันไปตลอดทาง
เชิงอรรถ
[1] วัยกระวาน หมายถึง ผู้หญิงอายุระหว่างสิบสาม สิบสี่ สิบห้า หรือสิบหก กระวานเป็ไม้ที่บานใน่ต้นฤดูร้อนยังไม่ถึงกลางฤดูร้อน เป็คำอุปมาสำหรับคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ดังนั้นวัยเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงเรียกว่า "วัยกระวาน"
[2] ต้นเขียวเหมันต์ (冬青) คือ ต้นฮอลลี่
[3] สุ่ยจิงเจี่ยว (水晶饺) คือ เกี๊ยว ที่มีลักษณะใส สามารถมองเห็นไส้ด้านในได้ลางๆ เป็ของว่างยามเช้าของชาวกวางตุ้ง เนื้อเนียนและนุ่ม แบบดั้งเดิมจะเป็เกี๊ยวกุ้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้