บทที่ 1 อย่าให้ฉันต้องใช้กำลัง (การตื่น)
ความมืดมิดที่ไร้ขอบเขตค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกเ็ปรวดร้าวที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ราวกับถูกรถบรรทุกทหารบดขยี้กระดูกทุกชิ้นจนแหลกละเอียด
กลิ่นอับชื้นของราที่เกาะตามฝาผนังปูนเปลือยผสมปนเปกับกลิ่นคาวเืจางๆ ในโพรงจมูก ปลุกสัญชาตญาณดิบเถื่อนที่หลับใหลอยู่ในส่วนลึกของิญญาให้ตื่นขึ้น
‘ที่นี่คือที่ไหน? นรกขุมที่สิบแปด หรือโรงพยาบาลสนาม?’
หลินซีพยายามลืมตาที่หนักอึ้ง สิ่งแรกที่ปรากฏในคลองจักษุไม่ใช่เพดานสีขาวของห้องฉุกเฉิน หรือเปลวไฟจากะเิในคลังแสงที่เธอเพิ่งกดชนวนสละชีพไปพร้อมกับศัตรู แต่กลับเป็เพดานไม้เก่าคร่ำคร่าที่มีหยากไย่ห้อยระย้า และหลอดไฟไส้ทังสเตนดวงเล็กที่ส่องแสงสีส้มสลัววิบวับเหมือนหิ่งห้อยใกล้ตาย
"นังเด็กสารเลว! ยังจะมาแกล้งตายอยู่อีกรึ? ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!"
เสียงตวาดแหลมสูงดังขึ้นกระแทกโสตประสาท เสียงนั้นบาดหูเสียยิ่งกว่าเสียงโลหะเสียดสีกัน มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดูแคลน และความโลภที่ปิดไม่มิด
หลินซียังคงนอนนิ่ง ปล่อยให้ความทรงจำสองสายไหลมากันราวกับแม่น้ำเหลืองที่เชี่ยวกราก
หนึ่งคือ หลินซี หัวหน้าหน่วยพลาธิการและคลังอาวุธระดับ S แห่งศตวรรษที่ 21 หญิงแกร่งผู้ไม่เคยประนีประนอมกับความอยุติธรรม
สองคือ หลินซี หญิงสาววัยสิบเก้าปีในยุค 1980 ผู้อาภัพ ลูกเป็ดขี้เหร่ที่ถูกโขกสับในบ้านของตัวเอง
ภาพความทรงจำของเ้าของร่างเดิมฉายชัด เด็กสาวที่ก้มหน้าทำงานหนักเยี่ยงวัวควาย ถูกแม่เลี้ยงทุบตี น้องสาวต่างแม่แย่งชิงทุกอย่าง แม้กระทั่งคู่หมั้น และล่าสุดเธอถูกผลักจนศีรษะฟาดพื้น เพียงเพราะไม่ยอมเซ็นโอนงานโรงงานทอผ้า ซึ่งมรดกชิ้นสุดท้ายที่แม่แท้ ๆ ทิ้งไว้ให้ แก่น้องสาวผู้โลภละโมบ การล้มครั้งนั้นคร่าชีวิตเ้าของร่างเดิมและเปิดทางให้หลินซีคนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแทนที่
‘ช่างน่าสมเพช คนดีมักถูกรังแก ม้าดีมักถูกคนขี่ คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลยสักนิด’
หลินซีแค่นหัวเราะในใจ ความเย็นะเืแผ่ซ่านออกมาจากดวงตาที่เคยหวาดกลัว บัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว มันลึกล้ำราวกับบ่อน้ำพันปีที่ซ่อนคมมีดไว้ใต้วารี
"แม่คะ พี่สาวคงเจ็บจริงๆ เืไหลด้วย" เสียงหวานใสแต่แฝงความจริตจะก้านดังขึ้นแทรก "แต่ถ้าพี่ไม่รีบเซ็น พ่อกลับมาต้องโกรธแน่ๆ เลย"
"โกรธก็ดีสิ! จะได้ตีมันให้ตายไปเลย เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!"
ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อคอปกสีน้ำเงินมอซอ ถลันเข้ามาใกล้เตียง มือหยาบกร้านง้างขึ้นสูง หมายจะตบลงบนใบหน้าซีดเซียวที่เปื้อนคราบเืนั้นซ้ำอีกหน
"ตื่นสิวะ นังตัวซวย!"
ขวับ!
ในเสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือนั้นกำลังจะประทับลงบนแก้ม มือที่ดูเหมือนกิ่งไม้แห้งกรอบของหลินซีกลับพุ่งสวนขึ้นไปรับการปะทะด้วยความเร็วที่ดวงตาเปล่ามองแทบไม่ทัน
หมับ!
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังทึบหนักแน่น แต่มิใช่เสียงฝ่ามือตบลงบนใบหน้า หากแต่เป็เสียงนิ้วมือทั้งห้าของหลินซีที่หุ้มกระดูก จับข้อมือหนาของจางชุ่ยเอาไว้แน่น ราวกับคีมเหล็กกล้าที่ถูกล็อคตาย
"เอ๊ะ?" จางชุ่ยอุทานออกมาด้วยความงุนงง ร่างกายชะงักค้าง นางพยายามจะกระชากมือกลับตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่าข้อมือของตนเองนั้นราวกับถูกตรึงไว้กับท่อนซุงขนาดใหญ่ ขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
หลินซีค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า เส้นผมสีดำขลับที่ยุ่งเหยิงปรกระใบหน้าซีกหนึ่ง เผยให้เห็นดวงตาคู่สวยที่บัดนี้ไร้ซึ่งแววขลาดเขลา มันดำมืด ลึกล้ำ และเย็นะเืเสียจนจางชุ่ยรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลัง
"จะตีฉันรึ?"
น้ำเสียงของหลินซีแหบพร่า แต่ราบเรียบไร้อารมณ์ ราวกับกำลังถามไถ่เื่ดินฟ้าอากาศ ทว่าแรงบีบที่ข้อมือกลับเพิ่มขึ้นทวีคูณในทุกพยางค์ที่เอื้อนเอ่ย
"ปล่อยนะ! นังเด็กบ้า แกกล้าจับมือฉันเหรอ? ปล่อยเดี๋ยวนี้!" จางชุ่ยเริ่มกรีดร้อง ใบหน้าอูมเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเ็ป กระดูกข้อมือของนางส่งเสียงลั่น กรอบแกรบ ราวกับจะแตกเป็เสี่ยงๆ ภายใต้แรงบีบมหาศาลที่มาจากเด็กสาวผอมแห้งคนนี้
"กล้า?" หลินซีทวนคำ มุมปากยกยิ้มเหยียดหยัน เป็รอยยิ้มที่ดูงดงามแต่ทว่าอันตรายดุจดอกกุหลาบอาบยาพิษ "ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่คนอย่างหลินซีไม่กล้าทำ ป้าจาง หรือฉันควรจะเรียกว่า แม่เลี้ยงใจสัตว์ดีล่ะ?"
"โอ๊ยยย! เจ็บ! มือฉันจะหักแล้ว! อาเจียว! อาเจียวช่วยแม่ด้วย!" จางชุ่ยร้องโหยหวน น้ำตาเล็ดออกมาด้วยความเ็ปที่แล่นปราดขึ้นสมอง
หลินเจียวที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ด้วยความตื่นตะลึง พลันได้สติเมื่อได้ยินเสียงมารดา หล่อนเบิกตากว้าง แสร้งทำสีหน้าตื่นตระหนกเหมือนกวางน้อยผู้ไร้เดียงสา ก่อนจะถลันเข้ามาหมายจะผลักหลินซีให้ล้มลง
"พี่ใหญ่! พี่บ้าไปแล้วเหรอ ปล่อยแม่นะ!"
ร่างในชุดกระโปรงลายดอกพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หวังใช้น้ำหนักตัวกระแทกคนป่วยให้กระเด็น แต่สำหรับหลินซี ผู้ที่เคยผ่านสมรภูมิเืและศิลปะการต่อสู้ระยะประชิด มาอย่างโชกโชน การเคลื่อนไหวของหลินเจียวก็ไม่ต่างอะไรกับภาพสโลว์โมชั่นของทารกหัดเดิน
หลินซีไม่แม้แต่จะหันไปมอง เธอเพียงแค่สะบัดข้อมือของจางชุ่ยอย่างแรงจนหญิงวัยกลางคนเสียหลักหมุนคว้างไปขวางทางลูกสาวตัวเอง ก่อนจะยกเท้าขวาที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มเก่าๆ ถีบสวนออกไปที่จุดตายบนหน้าท้องน้อยของหลินเจียวอย่างแม่นยำ
ปึก!
"อึก!"
เสียงกระแทกดังทึบ ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องที่ขาดห้วง หลินเจียวตัวงอเป็กุ้งเต้น ใบหน้าสวยหวานบัดนี้เขียวคล้ำด้วยความจุกเสียด ร่างของหล่อนลอยละลิ่วกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกองกล่องกระดาษและถังน้ำเก่าๆ ที่มุมห้อง
โครม! เพล้ง!
ฝุ่นผงคลุ้งกระจายไปทั่วห้องอับแคบ สองแม่ลูกนอนกองอยู่คนละทิศละทาง ส่งเสียงครวญครางอย่างน่าสมเพช
หลินซีค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ขาทั้งสองข้างยังคงสั่นเทาเล็กน้อยจากความอ่อนแอของร่างกายเดิม เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามปรับลมหายใจให้คงที่ สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบห้องราวกับพยัคฆ์ร้ายที่เพิ่งตื่นจากการจำศีลและพบว่าถ้ำของตนแปดเปื้อนไปด้วยสัตว์ชั้นต่ำ
"จำใส่สมองหมูๆ ของพวกแกเอาไว้ นับจากวันนี้ วินาทีนี้ หลินซีคนเดิมที่ยอมก้มหัวให้พวกแกโขกสับ มันตายไปแล้ว!"
น้ำเสียงของเธอไม่ได้ตะคอก แต่มันเย็นะเืและแหลมคมดุจใบมีดโกนที่กรีดเฉือนลงบนผิวเนื้ออันบอบบาง คำพูดแต่ละคำกระแทกกระทั้นลงกลางใจคนฟัง จนจางชุ่ยต้องกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก
หลินซีก้าวเท้าเปลือยเปล่าเดินย่างสามขุมเข้าไปหาแม่เลี้ยงใจคด ร่างกายที่ดูผอมบางราวกับกิ่งหลิวลู่ลมกลับแผ่กลิ่นอายสังหารอันเข้มข้น รังสีอำมหิตที่สั่งสมมาจากสนามรบนับร้อยศึกในชาติภพก่อนกดทับบรรยากาศในห้องจนแทบหายใจไม่ออก
จางชุ่ยถดตัวหนีไปด้านหลังด้วยความหวาดกลัว สองมือปัดป่ายไปบนพื้นอย่างคนเสียขวัญ "แก แกอย่าเข้ามานะ! ถ้าพ่อแกกลับมา"
"พ่อ?"
หลินซีแค่นเสียงในลำคอ ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มหยันที่ดูแล้วชวนขนลุก
"ดี! ให้เขากลับมา! ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าระหว่าง พ่อบังเกิดเกล้า ที่หลับหูหลับตาเข้าข้างเมียใหม่ กับลูกสาวอกตัญญู ที่เพิ่งตะเกียกตะกายกลับมาจากขุมนรก ใครมันจะพังพินาศไปก่อนกัน!"
คำประกาศกร้าวนั้นมิได้เป็เพียงลมปาก แต่มันอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจของเ้าของร่างเดิมที่สั่งสมมานับสิบปี ผสมผสานกับจิติญญานักสู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครของหลินซีคนใหม่
เธอตวัดสายตาลงมองกระดาษสัญญาโอนงานที่ตกอยู่แทบเท้า ปลายเท้าเรียวเขี่ยมันขึ้นมาราวกับเขี่ยขยะเน่าเหม็น ก่อนจะก้มลงหยิบมันขึ้นมา
แคว่ก! แคว่ก!
เสียงฉีกกระดาษดังบาดหูท่ามกลางความเงียบงัน หลินซีฉีกเอกสารสำคัญที่จางชุ่ยและหลินเจียวปรารถนาจะเป็เ้าของจนตัวสั่น ออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างไม่ไยดี แล้วโปรยมันลงใส่หน้าแม่เลี้ยงที่ยังคงนั่งตัวสั่นงันงกอยู่กับพื้น
เศษกระดาษสีขาวร่วงกราวลงมาราวกับหิมะในงานศพ ปกคลุมใบหน้าที่ซีดเผือดของหญิงวัยกลางคน
"งานนี้เป็เืเนื้อของแม่ฉัน เป็สมบัติที่แม่แลกมาด้วยชีวิต ต่อให้ฉันต้องเผามันทิ้งหรือเอาไปให้ขอทานข้างถนน ก็อย่าหวังว่ามันจะตกถึงท้องพวกปลิงดูดเือย่างพวกแก!"
หลินซีย่อตัวลงนั่งยองๆ เบื้องหน้าจางชุ่ย ระยะห่างเพียงคืบทำให้จางชุ่ยเห็นแววตาอำมหิตคู่นั้นได้อย่างชัดเจน เด็กสาวกระตุกมุมปากยิ้ม เป็รอยยิ้มที่งดงามทว่าเืเย็นจนน่าสยดสยอง
"จำใส่กะลาหัวเอาไว้ วันนี้ฉันแค่สั่งสอนเบาะๆ ถือว่าเป็ของขวัญต้อนรับการกลับมา แต่ถ้ายังมีครั้งหน้า ถ้าพวกแกยังกล้ายื่นมือสกปรกมารังแกฉัน หรือแตะต้องของของฉันอีก"
เธอโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของจางชุ่ย ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดต้นคอ แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกมีดน้ำแข็งจ่อคอหอย
"ฉันจะไม่แค่หักข้อมือ แต่ฉันจะเลาะกระดูกพวกแกออกมาดูเล่นทีละชิ้น ไสหัวไป!"
คำตวาดสุดท้ายดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า จางชุ่ยสะดุ้งสุดตัว รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ลืมความเ็ปที่ข้อมือไปชั่วขณะ นางคว้าแขนลูกสาวที่ยังจุกจนตัวงอ ลากถูลู่ถูกังพากันวิ่งหนีออกจากห้องไปราวกับหนูท่อที่เจอแมวปีศาจ ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับมามอง
ปัง!
ประตูไม้เก่าๆ ถูกลมพัดกระแทกปิดไล่หลัง ความเงียบสงบกลับคืนสู่ห้องเล็กๆ อีกครั้ง
หลินซีผ่อนลมหายใจยาวเหยียด ร่างกายที่เกร็งตึงเมื่อครู่ค่อย ๆ คลายลง แต่ความเ็ปและความอ่อนล้าที่หลั่งไหลตามหลังอะดรีนาลีนกลับถาโถมเข้ามาไม่หยุด นางเดินโซซัดโซเซกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียงเตี้ย ๆ ที่ฟูกแข็งกระด้างจนให้ความรู้สึกไม่ต่างจากกองหิน
ดวงตาของหลินซีมืดลงเล็กน้อยไม่ใช่จากความเจ็บ แต่จากความคิดที่ค่อย ๆ ตกตะกอน
นี่ไม่ใช่ชีวิตเดิมของเธออีกต่อไป
และคนพวกนั้น ก็ไม่ใช่ครอบครัวของเธอเลยแม้แต่น้อย
แม่เลี้ยง?
น้องสาวต่างแม่?
ญาติพี่น้องที่เอาแต่ตะคอก ดูถูก และทำร้ายร่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า?
เธอไม่รู้จักพวกเขา ไม่ได้มีหนี้บุญคุณ ไม่ได้มีความผูกพันแม้แต่นิดเดียว
“ฉันมาเกิดใหม่ในร่างนี้ จะให้แคร์ทำไม ในเมื่อพวกแกไม่ใช่ญาติ?” หลินซีพึมพำเบา ๆ เสียงแ่แต่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง
สายตาของเธอค่อย ๆ แข็งกร้าวขึ้น
ความเจ็บแค้นของเ้าของร่างเดิมซึมลึกในเส้นเื แต่มันไม่ใช่ความอ่อนแอมันคือเชื้อไฟ
ต่อจากนี้ เธอจะเป็คนกำหนดทุกอย่างเอง
และไม่มีวันยอมให้ใครกดหัวอีกต่อไป
มือเรียวยกขึ้นนวดขมับเบาๆ คิ้วสวยขมวดมุ่นพิจารณาสภาพร่างกาย
‘อ่อนแอเกินไป ร่างนี้ขาดสารอาหารอย่างหนัก กล้ามเนื้อแทบไม่มี มีแต่หนังหุ้มกระดูก ขืนเจอคู่ต่อสู้ที่เก่งกว่านี้ คงแย่แน่ ต้องรีบขุนตัวเองให้เร็วที่สุด’
ในขณะที่เธอกำลังคิดคำนวณแผนการในใจ ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกหนักอึ้งแต่ทว่าคุ้นเคยอย่างประหลาดก็ปรากฏขึ้นในห้วงจิติญญา ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านสมอง
ติ๊ง!
เสียงสังเคราะห์แบบดิจิทัลที่เธอคุ้นเคยยิ่งกว่าเสียงชีพจรของตัวเองดังก้องขึ้นในโสตประสาท
[ติ๊ง! ระบบคลังแสงเคลื่อนที่หมายเลข 7 ตรวจพบคลื่นสมอง กำลังยืนยันรหัสพันธุกรรม การเชื่อมต่อสมบูรณ์]
[ยินดีต้อนรับท่านนายพลหลินซี กลับสู่ฐานบัญชาการ]
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น โลกเบื้องหน้าของหลินซีก็พลันแปรเปลี่ยนไปชั่วขณะ เธอหลับตาลง แต่จิติญญากลับล่องลอยเข้าสู่มิติอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ซ่อนอยู่ภายในห้วงความคิด
ภาพของชั้นวางเหล็กกล้าสีดำทัณฑ์สูงตระหง่านเสียดฟ้าเรียงรายสุดลูกหูลูกตาปรากฏขึ้นชัดเจน กลิ่นน้ำมันกันสนิมและกลิ่นดินปืนที่หอมหวนยิ่งกว่าน้ำหอมราคาแพงโชยมาแตะจมูก
โซน A: ยุทโธปกรณ์
ปืนไรเฟิลจู่โจมรุ่นล่าสุด ปืนซุ่มยิงระยะไกล ะเิมือ ไปจนถึงเครื่องยิงจรวด RPG และรถฮัมวี่หุ้มเกราะ ทั้งหมดถูกจัดวางอย่างเป็ระเบียบ เงาวาววับของโลหะสะท้อนแสงไฟนีออน ดูดุดันและทรงพลัง
โซน B: เสบียงคลังและห้างสรรพสินค้า
ถัดไปอีกฟากหนึ่ง คือ์ที่แท้จริงในยุคข้าวยากหมากแพงนี้ ูเากระสอบข้าวสารขาวสะอาด แป้งสาลีชั้นดี เนื้อสัตว์แช่แข็ง อาหารกระป๋อง ยารักษาโรคที่ล้ำสมัยกว่ายุคนี้หลายสิบปี เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และของใช้ในชีวิตประจำวันนับล้านชิ้นจากห้างสรรพสินค้าเครือั์ใหญ่ที่เธอเคยกว้านซื้อหุ้นเอาไว้
"เพื่อนยาก ในที่สุดแกก็ตามมา"
มุมปากของหลินซียกขึ้นเป็รอยยิ้มที่แท้จริงครั้งแรก เป็รอยยิ้มของผู้ชนะที่กุมชะตาชีวิตไว้ในกำมือ ในยุค 1980 ที่ผู้คนยอมฆ่ากันเพื่อตั๋วแลกเนื้อสักชั่ง หรือข้าวสารสักกำมือ สิ่งที่เธอมีอยู่นี้ ไม่ใช่แค่ทรัพย์สมบัติ แต่มันคืออำนาจที่จะสั่นคลอนได้ทั้งประเทศ!
ความหิวโหยเริ่มประท้วงรุนแรงจนกระเพาะบิดเกร็ง หลินซีไม่รอช้า เธอใช้จิตดึงเอา นมสดพาสเจอร์ไรซ์ ขวดใหญ่และขนมปังไส้ครีมนมฮอกไกโดออกมาจากมิติ
ความเย็นเฉียบของขวดนมในมือ และความนุ่มนิ่มของขนมปัง เป็ของจริงที่จับต้องได้!
เธอฉีกซองขนมปังออก กลิ่นหอมหวานของนมเนยฟุ้งกระจายไปทั่วห้องอับๆ กลบกลิ่นราและกลิ่นเืจนหมดสิ้น หลินซีกัดขนมปังคำโต เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย รสชาติหวานมันแผ่ซ่านไปทั่วปาก เติมเต็มความโหยหิวของร่างกายที่ขาดแคลนมานานปี
ตามด้วยการกระดกนมสดเย็นเจี๊ยบลงคอ ความสดชื่นไหลผ่านหลอดอาหารลงไปชำระล้างความขมขื่นในอดีต
‘กินให้อิ่ม นอนให้หลับ แล้วพรุ่งนี้ แม่จะคิดบัญชีทบต้นทบดอก’
หลินซีวางขวดนมลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง แววตาเป็ประกายวาวโรจน์ท่ามกลางความมืด
ยุค 80 งั้นเหรอ? ความยากจนงั้นเหรอ?
สำหรับคนอื่น มันคือนรกบนดิน แต่สำหรับเธอที่มีคลังแสงเคลื่อนที่แห่งนี้
มันคือสนามเด็กเล่นชัดๆ!
