แม่นางหลี่ว์มีความสุขมากจนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างดีใจว่า “วันนั้นที่เ้าไปทำงานที่จวนสกุลอวิ๋น พ่อกับแม่ก็เป็กังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน ไหนเลยจะคิดว่าเ้ากลับตกลงไปในฝูเคิงเอ๋อร์ [1] เสียแล้ว ต่อไปเ้าต้องจำให้ขึ้นใจว่าจะตั้งใจรับใช้บ้านนายท่านให้ดี พวกเราครอบครัวชาวนาถึงแม้จะไม่เคยร่ำเรียนหนังสือ แต่เื่ตอบแทนบุญคุณต่างก็เข้าใจเป็อย่างดี”
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด” ติงเหว่ยกลัวว่าแม่ของนางจะพูดถึงท่านย่าเทวาูเาขึ้นมาอีกครั้ง และจะถูกลากไปกราบไหว้บูชา ถ้าเป็เช่นนั้นวันนี้คงไม่ได้คุยเื่ธุระสำคัญกันพอดี
“ท่านแม่ พี่ใหญ่กับพี่รองอยู่ที่ใดอย่างนั้นหรือ ปกติแล้วมีแค่ท่านกับท่านพ่ออยู่ที่บ้านตามลำพังใช่หรือไม่?”
เมื่อแม่นางหลี่ว์ได้ยินคำถามของลูกสาว ใบหน้าของนางก็มืดหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด และนางก็ตอบอย่างคลุมเครือว่า “พวกเขายุ่งอยู่ในร้านกันหมด และพ่อกับแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก พวกเราก็เลยได้เสพสุขอยู่ที่บ้าน”
ติงเหว่ยไม่อยากให้ท่านแม่ของนางปิดบังให้ผ่านไป ดังนั้นนางจึงถามออกไปตรงๆ ว่า “พี่สะใภ้คนโตและพี่สะใภ้คนรองทะเลาะกันอีกแล้วใช่หรือไม่? พี่สะใภ้รองไม่กลับบ้านมาตั้งกี่วันแล้วหรือ?”
“เอ่อ ไม่มีสักหน่อย พวกนาง…ทั้งสองก็ดีกันอยู่” แม่นางหลี่ว์ยังไม่กล้าพูดความจริงออกไป แต่ผู้าุโติงกลับเคาะปล้องยาสูบสองสามที เขามองไปที่แม่นางหลี่ว์และพูดว่า “เ้าแม่เฒ่าคนนี้นี่ ลูกสาวของเราก็ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่พูดความจริงออกไปล่ะ”
่ไม่กี่วันมานี้แม่นางหลี่ว์เองก็อึดอัดใจอยู่ไม่น้อย เมื่อได้ฟังผู้าุโติงพูดเช่นนั้นก็ราวกับแทงใจนาง และทำให้นางขอบตาแดงขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็พูดด้วยความโกรธว่า “ข้าก็แค่กลัวว่าลูกสาวของเราจะต้องลำบากใจไม่ใช่หรือ ปกตินางก็ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แล้วยังต้องเป็กังวลเื่การค้าขายที่ร้านอีก จะทำอะไรยังต้องให้นางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเื่วุ่นวายพวกนี้ด้วยอีกหรือ”
ติงเหว่ยจับมือแม่ของนางอย่างปวดใจ ต่อให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางจะไม่พูดอะไรแต่นางก็เดาออกอยู่ดี เมื่อก่อนครอบครัวพวกเขายากจนข้นแค้น ทุกคนต่างก็ลำบากและทำงานอย่างหนักด้วยกัน แต่พวกเขากลับสนิทสนมกันมากขึ้น ทว่าทุกวันนี้ชีวิตเริ่มดีขึ้น เงินทองก็ไม่ขัดสน ความขัดแย้งจึงเยอะขึ้นตามไปด้วย ต่อให้เป็สามีภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อร่ำรวยด้วยกันกลับไม่ใช่เื่ง่ายอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองต่างก็มีครอบครัวของตนเอง มีภรรยาและลูก อย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเห็นแก่ตัวไปได้ ในเมื่อเป็เช่นนั้นแล้วจะใช้ชีวิตสงบสุขเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไร?
“ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือว่า...พวกเราแยกครอบครัวกันดีกว่าไหม?”
“อะไรนะ?” แม่นางหลี่ว์ใมากจนแทบจะโยนถุงขนมในมือทิ้ง ผู้าุโติงก็สำลักยาสูบของเขาด้วยเช่นกัน
“เ้าเด็กคนนี้พูดจาไร้สาระอะไรกัน? ข้ากับพ่อเ้ายังมีชีวิตอยู่ อีกอย่างพี่ชายทั้งสองของเ้าก็ไม่ได้อกตัญญู ทำไมถึงต้องแยกครอบครัวด้วย?” แม่นางหลี่ว์แอบเหลือบมองไปที่ผู้าุโติง นางเกรงว่าเขาจะโกรธลูกสาวจึงรีบพูดกลบเกลื่อนแทนลูกสาวว่า “่นี้เ้าทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า ถึงได้คิดฟุ้งซ่านอะไรเช่นนี้?”
แต่ติงเหว่ยกลับไม่สนใจคำห้ามปรามของท่านแม่ ทั้งยังพูดต่อว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่ได้พูดไร้สาระ ข้าครุ่นคิดเื่นี้มานานแล้ว ทุกวันนี้ในครอบครัวเรา พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ก็ดูแลร้านอาหาร ส่วนพี่รองและพี่สะใภ้รองก็ดูแลร้านเครื่องไม้ เงินที่หาได้ต่างก็ส่งมาให้ท่านแม่เก็บไว้ ทว่าทั้งสองร้านก็มีรายได้ทั้งมากและน้อย ค่าใช้จ่ายแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน เกรงว่าในใจของพี่สะใภ้ทั้งสองต่างก็ไม่สบายใจ อีกอย่างท่านแม่คนเดียวก็คงดูแลไม่ไหว อาจทำให้สะใภ้ทั้งสองคนต้องทะเลาะกัน พอผ่านไปนานวันเข้าต่อให้พี่ใหญ่และพี่รองจะสนิทกันขนาดไหนั้แ่เด็ก เกรงว่าพวกเขาก็คงต้องเ็าใส่กันเช่นกัน แต่หากเราใช้โอกาสตอนที่เื่นี้ยังไม่ทันเกิดขึ้น แบ่งครอบครัวให้ชัดเจน พี่น้องทั้งสองคนต่างก็ใช้ชีวิตของตนเอง ก็อาจพอมียามที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่บ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วข้ากับพ่อเ้าจะทำยังไง?” แม่นางหลี่ว์นึกถึง่ที่ผ่านมาที่สะใภ้คนโตเอาแต่ส่งเสียงทะเลาะดังออกมานอกห้อง แล้วก็ยังมีสะใภ้คนรองที่ไม่เหยียบเข้ามาในบ้านมาหลายวันแล้ว นางจึงรู้สึกว่าที่ลูกสาวพูดมาก็สมเหตุสมผล แต่คนเป็แม่ทุกคนบนโลกนี้ต่างก็เหมือนกับแม่ไก่ อดไม่ได้ที่จะคอยดูแลและปกป้องลูกๆ ไปตลอดชีวิต หากวันนี้ให้นางไล่ลูกของตนออกไปก็คงรู้สึกเ็ปกว่ากรีดหัวใจของนางไปเสียด้วยซ้ำ
“ท่านแม่ ต่อให้พี่ใหญ่และพี่รองแยกครอบครัวแล้ว พวกเขาก็แค่ใช้ชีวิตของตนเอง ไม่ใช่ว่าถูกขับไล่ออกจากตระกูลเสียหน่อยและยังเป็ลูกชายของท่านพ่อกับท่านแม่ที่กตัญญูกับพวกท่านต่อไปเหมือนเดิม” ติงเหว่ยก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อกอดท่านแม่ที่มีสีหน้าเศร้าสร้อย แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “อีกอย่าง พวกท่านยังมีข้ากับอันเกอเอ๋อร์อยู่ทั้งคน ข้าหวังเป็อย่างยิ่งว่าท่านกับท่านพ่อจะใช้ชีวิตอยู่กับพวกเราสองแม่ลูกไปด้วยกัน”
“เ้าเด็กคนนี้ นี่มัน...” แม่นางหลี่ว์ไม่มีความเห็นอะไรไปชั่วขณะ นางหันกลับไปมองสามีของนางและหวังว่าเขาจะมีความคิดอะไรดีๆ
ผู้าุโติงกำลังนั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตู เขาจ้องมองไปยังลานบ้านที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย ราวกับว่าเขาไม่สังเกตเห็นภรรยาของตนที่กำลังรอความช่วยเหลือจากเขา
ติงเหว่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ปล่อยแขนของท่านแม่ แล้วยื่นมือไปหยิบกระดาษสัญญาออกมาวางไว้บนเตียงเตาและพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่อยากจะแบ่งครอบครัว และกังวลว่าข้าจะไม่มีที่ไปจึงไม่อยากแบ่งครอบครัว มีพวกท่านคอยประคบประหงมอยู่ข้างๆ ทั้งยังมีพี่ใหญ่และพี่รองคอยดูแลพวกเราสองแม่ลูกสักสามส่วนอีก แต่ยังไงก็ตาม ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าได้วางแผนเอาไว้ตั้งนานแล้ว พวกท่านไม่ต้องกังวลเื่ของข้าจริงๆ ใน่ไม่กี่วันนี้ข้าเอาแต่รักษาขาที่าเ็ของนายน้อยสกุลอวิ๋น และท่านผู้าุโสกุลอวิ๋นก็ใจดีเป็อย่างมาก เขาให้บ้านที่ภายในมีสามเรือนแก่ข้าหนึ่งหลังแล้วยังมีร้านค้าที่รุ่งเรืองอีกสองร้านเป็ค่ารักษา หลังจากนี้ไปอีกสามปีหากข้าทำงานครบตามกำหนดเวลาแล้วข้าก็จะพาอันเกอเอ๋อร์เข้าไปอาศัยอยู่ในเมือง เมื่อมีทรัพย์สินพวกนี้แล้ว ต่อให้ข้าไม่อยากทำงานหาเงินพวกเราแม่ลูกก็มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิตอยู่ดี”
“เอ๋ มีร้านค้าแล้วยังมีบ้านด้วย! สกุลอวิ๋นไม่ให้เ้ามากเกินไปหน่อยหรือ?” แม่นางหลี่ว์อ่านไม่ออก แต่นางจำตราประทับของทางการได้ อย่างไรสัญญาเช่าร้านเครื่องไม้ก็ยังอยู่กับนาง ปกติหากไม่มีอะไรทำนางก็จะหยิบออกมาดูสักสองครั้งจนทำให้คุ้นเคย
ในตอนนั้นเองผู้าุโติงก็เข้ามาร่วมด้วย เขาหยิบกระดาษสัญญาขึ้นมาอ่านดูอย่างระมัดระวังเป็เวลานาน และในที่สุดก็มองไปที่ลูกสาวของเขา “ลูกสาว เ้าสามารถรับเงินค่ารักษานี้ไว้ได้จริงๆ หรือ ไม่ได้เป็เื่ที่น่าละอายใจใช่หรือไม่?”
ติงเหว่ยคิดถึงการปวดแขนของนางทุกเย็นประกอบกับร่างกายของกงจื้อิที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ ดังนั้นนางจึงพยักหน้าอย่างแรง “ท่านพ่อ แม้ว่าข้าจะชอบเงินทองแต่ข้าไม่มีทางหาเงินโดยไร้จรรยาบรรณ และนี่ก็เป็ค่ารักษาที่ข้าควรได้รับก็เท่านั้น”
“เป็เช่นนั้นก็ดี” ผู้าุโติงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ยื่นกระดาษสัญญาไปที่มือของลูกสาวกับมือของตนเอง “ข้ากับแม่เ้าเป็ห่วงเ้ามากที่สุด ทุกวันนี้เ้ามีทรัพย์สมบัติเหล่านี้ติดตัว พวกเราเองก็วางใจ ครอบครัวของพวกเรามาแบ่งครอบครัวกันก็ได้”
แม่นางหลี่ว์เหมือนยังอยากจะพูดอะไร ทว่าผู้าุโติงก็ยื่นมือออกมาปรามนางไว้และพูดว่า “เมื่อต้นไม้เติบใหญ่แล้วก็ต้องแผ่กิ่งก้านสาขา หากอยู่ร่วมกันแน่นเกินไปก็จะตีกันได้ บางทีมันคงจะดีกว่าหากแยกพวกเขาออกจากกัน”
ติงเหว่ยเองก็ดึงมือแม่ของนางและพูดเกลี้ยกล่อมอย่างรวดเร็วว่า “ท่านแม่ การแบ่งครอบครัวก็คือการแบ่งทรัพย์สินของแต่ละบ้าน ไม่ใช่ว่าจะขับไล่คนออกไปสักหน่อย ต่อไปพี่ใหญ่และพี่รองอาจกตัญญูมากกว่านี้อีก ร้านค้าทั้งสองร้านของสกุลติงต้องแบ่งให้พี่ชายทั้งสองคนอย่างแน่นอน และเงินที่มีในบ้านก็แบ่งออกเป็สามส่วน ยังไงท่านกับท่านพ่อก็จะได้ราวๆ หนึ่งร้อยสิบกว่าตำลึงเงิน นอกจากนี้ที่บ้านยังมีแปลงที่นาอีกแปดหมู่ ยังไงก็ใช้ชีวิตดีกว่าแต่ก่อนแน่นอน อีกอย่างบ้านและร้านค้าของข้าในเมืองต่างก็ต้องให้ท่านพ่อกับท่านแม่ช่วยดูแล พวกท่านไม่ได้ว่างอยู่เฉยๆ หรอก”
“ข้ากับพ่อเ้าไปเฝ้าร้านยังพอได้ แต่ใครจะรู้ว่าต้องดูแลร้านยังไง” แม่นางหลี่ว์เห็นว่าเื่การแบ่งครอบครัวได้ข้อสรุปแล้ว นางโบกมือไปมาพร้อมกับคราบน้ำตานิดหน่อย จากนั้นนางก็นั่งลงบนคั่งโดยไม่พูดอะไร
ในทางกลับกันผู้าุโติงกลับกระทำการอย่างเด็ดเดี่ยว เมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้วเขาก็ไม่ยอมให้ล่าช้าอีกต่อไป พอดีกันกับที่วันนี้ลูกสาวก็อยู่ที่บ้าน ดังนั้นเื่ที่ควรทำก็ไปทำให้เสร็จเสียดีกว่า
……
เมื่อพี่ใหญ่และแม่นางหลิวเห็นว่าท่านพ่อมาที่ร้านและเชิญให้เขาเข้าไปในเมืองเพื่อเรียกครอบครัวพี่รองมาด้วย เดิมทีพวกเขาคิดว่ามีเื่ใหญ่โตอะไรกันจึงไม่กล้าที่จะล่าช้า คนหนึ่งรีบวิ่งมาจากในเมือง ส่วนอีกคนหนึ่งก็เก็บของที่ร้านเพื่อเตรียมตัวปิดร้าน
หลังจากที่สองพี่น้องกลับมาบ้านหลังเก่าพร้อมกับภรรยาและลูกๆ พวกเขาก็พบว่าผู้ใหญ่บ้านและผู้าุโซุนนั่งอยู่ในห้องหลัก ทำให้พวกเขายิ่งสับสนมากขึ้น แม่นางหลิวและแม่นางหวังต่างก็สบตากัน ในใจของพวกนางเต็มไปด้วยการคาดเดาต่างๆ มากมาย และดวงตาของพวกนางก็ไม่สามารถซ่อนแววตาที่ส่องประกายจนน่ากลัวเอาไว้ได้
เดิมทีแม่นางหลี่ว์ยังมีสีหน้าเศร้าสร้อยและไม่เต็มใจที่จะแบ่งลูกชายของนางออกไป แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาเห็นท่าทางของลูกสะใภ้ทั้งสอง ในใจก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงสามส่วน นางพยายามนั่งหลังตรงอยู่ข้างหลังสามี จากนั้นคิดไปคิดมาก็ลากลูกสาวออกมาอยู่ข้างหน้าตนเอง
ผู้าุโติงไม่รอให้ลูกชายทั้งสองของเขาถามอะไร และพูดออกมาทันทีว่า “วันนี้ที่เรียกพวกเ้าทั้งสองคนกลับมาก็ไม่ได้มีเื่อื่น เนื่องจากครอบครัวเราตอนนี้มีกิจการเยอะแล้ว ข้ากับแม่ของเ้าก็อายุมากแล้วและไม่มีเวลาไปดูแลขนาดนั้น ข้าก็เลยเชิญผู้ใหญ่บ้านกับท่านลุงซุนของพวกเ้ามาเป็พยาน เพื่อแยกครอบครัวของพวกเ้าสองพี่น้องออกไป”
“เอ๋!” พี่ใหญ่และพี่รองต่างก็ประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าปกติแล้วพวกเขามัวแต่ยุ่งกับเื่ของตนเอง ลูกสะใภ้บ้านนี้ก็มักจะนอนเล่นอยู่บนหมอนและเปิดพัดลม แต่พวกเขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะแยกครอบครัวมาก่อน อย่างไรแล้วพ่อแม่ของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกอย่างในฐานะลูกชายจะปล่อยให้คนเฒ่าคนแก่อยู่กันตามลำพังได้อย่างไร
เมื่อคิดเช่นนี้ ทั้งสองคนจึงอยากจะพูดปฏิเสธ แต่ไม่รู้ว่าแม่นางหลิวและแม่นางหวังยืนอยู่ด้านข้างทั้งสองั้แ่เมื่อไร และพวกนางแต่ละคนก็ดึงแขนเสื้อของพวกเขาคนละข้าง
แม่นางหลิวพูดเกลี้ยกล่อมว่า “พ่อของต้าเป่า ที่ท่านพ่อพูดเช่นนี้คงผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมาแล้วแน่นอน ท่านควรลองฟังเหตุผลสักหน่อยก่อน”
“นั่นสิ ตามธรรมเนียมแล้วครอบครัวของเรามีท่านพ่อเป็หัวหน้าครอบครัว ดังนั้นพวกเราฟังท่านพ่อสักหน่อยเถอะ” แม่นางหวังก็รีบพูดเสริมอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ผู้าุโติงกวาดตามองลูกชายทั้งสองคนที่มีท่าทีกระอักกระอ่วนและลำบากใจ เขาก้มศีรษะลงเคาะหม้อยาสูบสองสามทีและแอบถอนหายใจในใจ จากนั้นก็รออยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงพูดออกมาว่า “ร้านของครอบครัวเราทุกวันนี้ เดิมทีพวกเ้าก็แบ่งกันดูคนละร้านอยู่แล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรมาก หนึ่งคนหนึ่งร้านก็แล้วกัน เพื่อเอาไว้เลี้ยงปากท้องครอบครัว ส่วนที่นาแปดหมู่ของที่บ้านข้ากับแม่เ้าจะเก็บไว้อีกสักปีสองปีก่อน ใน่เพาะปลูกพวกเ้าก็ค่อยกลับมาช่วย ส่วนเงินที่เก็บไว้ในบ้านก็ให้แบ่งเป็สามส่วน พวกเ้าแต่ละคนเอาไปคนละส่วน…”
แม่นางหวังเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วพูดออกมาว่า “ท่านพ่อ เงินในครอบครัวเราล้วนเป็เงินที่พี่รองหาไม่ได้ ดังนั้นควรจะแบ่งให้เรามากหน่อยถึงจะยุติธรรม”
แม่นางหลิวที่กำลังวางแผนในใจ เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็พูดคัดค้านออกมาทันทีว่า “น้องสะใภ้ เ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกเหมือนกัน ร้านอาหารก็ทำเงินได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ อีกอย่างร้านเครื่องไม้เพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่เดือนเอง แต่ร้านอาหารเปิดมาตั้งหนึ่งปีแล้ว”
“เปิดมาหนึ่งปีแต่รายได้ก็ยังสู้ร้านเครื่องไม้ที่เพิ่งเปิดเดือนเดียวไม่ได้…” แม่นางหวังยังอยากจะพูดต่อ ทันใดนั้นนางก็ถูกพี่รองที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวตบอย่างแรงหนึ่งที “เ้าหุบปากเดี๋ยวนี้”
พี่ชายคนโตเองก็จ้องมองแม่นางหลิวอย่างโมโห และหันไปมองน้องชาย จากนั้นพี่ชายและน้องชายทั้งสองคนก็คุกเข่าลงด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทั้งหมดเป็ลูกอบรมสั่งสอนไม่ดีเอง...”
“พวกเ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” ผู้าุโติงส่ายมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ตัดสินใจตามนี้แหละ วันนี้พวกเรามาแบ่งทรัพย์สินของครอบครัวกัน หากวันหน้าเ้ายังนึกถึงความดีของครอบครัวเราอยู่บ้างก็จงดูแลน้องสาวของเ้าและอันเกอเอ๋อร์ให้มากหน่อยก็แล้วกัน”
รอบดวงตาของแม่นางหลี่ว์ก็เป็สีแดงก่ำเช่นกัน และนางก็พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “พวกเ้าเองก็โตกันหมดแล้ว ข้ากับพ่อเ้าก็จะไม่บังคับพวกเ้าอีกต่อไป หากพวกเ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ต่อไปค่อยกลับมาเยี่ยมเยียนบ้างก็แล้วกัน”
“ท่านแม่ ลูกช่างอกตัญญูเสียจริง!” พี่ใหญ่และพี่รองสกุลติงต่างก็ก้มหน้าและขอโทษด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อเห็นเช่นนี้แม่นางหลิวและแม่นางหวังก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก หากพวกนางยังกล้าจับผิดในเวลานี้เกรงว่าจะถูกพวกผู้ชายที่โกรธแค้นไล่ออกไปทันที
แม่นางหลี่ว์เองก็ไม่แม้แต่จะมองลูกชายทั้งสองของนางด้วยซ้ำ นางเปิดกล่องและหยิบสมุดบัญชีออกมาแล้วพูดว่า “ข้าเกรงว่าในใจพวกเ้าคงรู้ดีอยู่แล้วว่าเงินเก็บในครอบครัวเรามีเท่าไร พวกเ้าแต่ละคนจะได้รับคนละ 150 ตำลึง พี่รองอาศัยอยู่ในเมือง ของต่างๆ ที่อยู่ในห้องของเ้าถ้าอยากได้ก็เอาไปได้เลย ส่วนพี่ใหญ่หากว่าไม่อยากสร้างบ้านหลังใหม่อยากอยู่ที่ห้องเดิม ข้ากับพ่อเ้าเองก็ไม่ขัด แต่บ้านหลังนี้กับที่นาแปดหมู่พวกเ้าก็อย่าได้กังวลไป ในอนาคตพอข้ากับพ่อเ้าแก่แล้วใครกตัญญูมากที่สุดก็มอบให้คนนั้นไป และหากว่าพวกเ้ามีปัญหาขัดสนจริงๆ กลับมาบ้านก็ยังมีข้าวให้กินและมีที่ให้นอนอยู่”
-----------------------------------------
[1] ฝูเคิงเอ๋อร์ 福坑儿 หมายถึง หลุมพรางแห่งความสุข ใช้อุปมาถึงสถานที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข