ท่านหญิงหย่งเจียพาแม่ครัวมาเอง ดังนั้นจึงยืมใช้ครัวของโรงเตี๊ยม อาหารทั้งสองโต๊ะถูกจัดเตรียมโดยแม่ครัวส่วนตัว
รสชาติย่อมดีกว่าอาหารข้างนอกมากมายนัก
ปริมาณไม่มาก แต่ประณีตพิถีพิถัน
เซวียเสี่ยวหรั่นคีบเนื้อหมูชิ้นบางเข้าปากลิ้มรสอย่างละเมียดละไม เนื้อหมักนุ่มละมุนลิ้น รสชาติอร่อย
จานเล็กจัดเรียงมาอย่างประณีต จานชามทั้งชุดล้วนเป็เครื่องลายครามลายดอกบัว
เซวียเสี่ยวหรั่นมองท่านหญิงหย่งเจียฝั่งตรงข้าม บั้นเอวของนางตั้งตรง บ่าทั้งสองผ่อนคลาย มือซ้ายยกถ้วยเล็กลายดอกบัว มือขวาถือตะเกียบเงินสลักลายบุปผา ริมฝีปากขบเคี้ยวเบาๆ แก้มสองข้างก็ขยับเพียงเล็กน้อย ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย มีมารยาทในการรับประทานอาหารทุกกระเบียด
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลนักสวมเสื้อหลัวซาน [1] สีฟ้าอ่อน กระโปรงผ้าต่วนสีกลีบบัว รูปลักษณ์โดดเด่น รูปร่างหน้าตาไม่สามัญ กิริยานอบน้อม มารยาทงดงาม
ถ้าพวกนางไม่ได้ยืนอยู่ด้านหลังท่านหญิงหย่งเจีย แวบแรกที่เห็นยังนึกว่าเป็คุณหนูสกุลใหญ่ที่ไหนสักแห่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นกินข้าวเงียบๆ พยายามกินให้เบาที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
ตระกูลใหญ่มีกฎเกณฑ์มากมาย ราชนิกุลยิ่งไม่ต้องพูดถึง กินข้าวทีต้องมีคนห้อมล้อมเป็โขยง
ขณะบ่นในใจ ก็ปรายหางตาไปที่โต๊ะข้างๆ
โต๊ะข้างๆ ยังดีหน่อย พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายวัน ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เซวียเสี่ยวเหล่ยจึงไม่เครียดจนแทบจะฝังจมูกลงไปในชามข้าวเหมือนเมื่อเย็นวาน
อาเหลยนั่งอยู่บนโต๊ะอีกด้านหนึ่ง ใช้ตะเกียบกินข้าวในชามของตนเองอย่างมีมาด
ความน่าเอ็นดูของมันดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อยให้หันมามอง
แม้แต่ท่านหญิงหย่งเจียยังหันไปมองทางนั้นอยู่หลายที
ผูหยางชิงหลันยังคงหน้าบูด วางตัวเหมือนไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ แต่ไม่ดูหยาบคาย ธรรมเนียมมารยาทล้วนฝังอยู่ในกระดูก
สหายน้อยอวี๋เฟิงหยางยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาเป็เด็กสุขุมรู้ความ แม้จะอยู่เคียงข้างอาจารย์ที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถืออย่างผูหยางชิงหลัน แต่กลับยังคงรักษาความสุขุมไม่ว่าจะชื่นชอบหรืออดสูล้วนไม่ตื่นตระหนก
ขณะกวาดมองไปโดยรอบ กำลังคิดจะรั้งสายตากลับ เซวียเสี่ยวหรั่นกลับถูกจับได้โดยดวงตาแฝงแววยิ้มของเหลียนเซวียน
ดวงตาของเซวียเสี่ยวหรั่นพลันชะงักรีบหันกลับมามองอาหารบนโต๊ะ แสร้งทำเป็คีบเนื้อชิ้นบางอย่างสงบนิ่ง
ดวงตาแฝงแววยิ้มของเหลียนเซวียนค่อยๆ นิ่งขรึมลงไป ตะเกียบเงินในมือถูกบีบจนบิดงอ
เด็กสาวผู้นี้จะดื้อรั้นดันทุรังไปถึงไหน
เหลียนเซวียนหรี่ตา โมโหจนคันเหงือกยุบยิบ
อยากจะหิ้วนางไปต่อว่าแรงๆ จนแทบอดใจไม่ไหว
เขาอารมณ์หงุดหงิด รังสีกดดันในตัวย่อมจะแผ่กำจายออกมา
ผูหยางชิงหลันมองอย่างกังขา ใครทำเขาของขึ้น? หน้าตาถึงได้บูดบึ้งยิ่งกว่าตนเองเสียอีก
หลังมื้อเที่ยง ขบวนรถก็เดินทางต่อ
เหลียนเซวียนไม่นั่งรถม้า แต่ขี่เ้าท่าเสวี่ยเท้าสีขาวราวกับย่ำหิมะ ตามอยู่ข้างรถม้าของเซวียเสี่ยวหรั่นไม่เร็วไม่ช้า
หญิงสาวสองคนในรถอยู่ว่างๆ ก็พากันเย็บกระเป๋าสะพาย ยามนี้กำลังปรึกษาหารือกันว่าสีไหนเข้ากับสีไหนมากกว่ากัน
เหลียนเซวียนฟังเสียงที่คุ้นเคยในนั้น แววตาเ็าก็ค่อยๆ มลายหายไป
จู่ๆ ต้องเผชิญหน้ากับสถานะของเขาอย่างกะทันหัน นางจะพะว้าพะวังไปบ้างก็สมควรอยู่ เหลียนเซวียนหลุบตาลง
แต่จะปล่อยให้นางเอาแต่หลบเลี่ยงเขาอยู่อย่างนี้ไม่ได้
เื่บางอย่างต้องพูดให้ชัดเจน
เขามองซ้ายมองขวา ขบวนเดินทางมีทั้งม้าทั้งคนมากมาย ผูหยางชิงหลันซึ่งอยู่ไม่ไกลก็คอยจดจ้องเขาอยู่ด้วยความสงสัย
ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมกับการพูดคุยจริงๆ
"นี่เ้าหนูมีอะไรหรือ"
ขณะกำลังครุ่นคิด ผูหยางชิงหลันก็ตบอาชาเข้ามา
"ไม่มีอะไร นั่งในรถมันอึดอัด เลยมาขี่ม้าให้เย็นสบายหน่อย" เหลียนเซวียนตอบเสียงเบา
ผูหยางชิงหลันหาใช่คนที่ขับไล่ง่ายปานนั้น
เขาขี่ม้าขึ้นมาตีคู่กับเหลียนเซวียน สายตากวาดมองไปยังรถม้าด้านข้าง พลันยิ้มออก เอียงตัวเข้าหาเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือมาตบบ่าของเขา "เหอะๆ เสี่ยวชี เ้าก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ"
น้ำเสียงฉายแววเยาะเย้ยถากถางโดยไม่ปิดบังแม้แต่กระผีก
เหลียนเซวียนปัดมือที่ตบไหล่ของตนเองออกด้วยสีหน้าเฉยชา
"เมื่อวานั้แ่รู้สถานะของเ้าแล้ว ญาติผู้น้องของข้าก็มีท่าทีเปลี่ยนไปมากใช่หรือไม่"
สีหน้าของผูหยางชิงหลันแลดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกต แต่พอเห็นสีหน้าของเหลียนเซวียนแปลกไป ก็ตระหนักได้ทันทีว่าปัญหาอยู่ที่ไหน
ญาติผู้น้องที่เพิ่งรับมาใหม่ผู้นี้ดูไม่เหมือนสตรีหลงใหลในยศศักดิ์เงินทอง หรือชอบประจบประแจงหวังพึ่งผู้มีอำนาจ
ที่เหลียนเซวียนไม่ยอมเปิดเผยสถานะมาโดยตลอด ก็คงพะวงเื่เหล่านี้
ครั้งนี้บังเอิญว่าหย่งเจียมาพอดี จึงปิดบังสถานะไม่อยู่
พอญาติผู้น้องของเขาเริ่มทำตัวห่างเหิน เ้าเด็กนี่ก็ร้อนรนทันที
ฮ่าๆ นี่ไม่เรียกว่าย้ายหินมาทุ่มใส่เท้าตนเองหรือไร
รอยยิ้มบนใบหน้าของผูหยางชิงหลันยิ่งเบิกบานขึ้นเรื่อยๆ
ใครใช้ให้เ้าวางแผนกับข้าก่อน สมน้ำหน้า!
เหลียนเซวียนตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่ง รังสีเยียบเย็นที่ผุดจากแววตา ทำให้กลางฤดูร้อนหนาวเยือกขึ้นมาทันควัน
ผูหยางชิงหลันไหนเลยจะแยแสสายตาเ็าของเขา
ใบหน้าเ็าดวงนั้นเขาเห็นมาสิบกว่าปีแล้ว มีภูมิต้านทานต่อความเ็ามานานแล้ว
"แดดแรงขนาดนั้น พวกท่านไม่กลัวผิวคล้ำกันบ้างหรือ"
ดวงหน้าพริ้มเพราโผล่มาจากหน้าต่าง เซวียเสี่ยวหรั่นมองบุรุษสองคนคุยกันภายใต้แสงตะวันด้วยความสงสัย
"ฮ่าๆ ผิวคล้ำมีอะไรน่ากลัว พวกเราไม่ใช่แม่นางน้อยเสียหน่อย" ผูหยางชิงหลันหน้าหนาเอื้อมมือมาเกาะบ่าของเหลียนเซวียน ทำราวกับเป็พี่ชายแสนดี
ดวงตาล้ำลึกของเหลียนเซวียนมีภาพสะท้อนดวงหน้าละมุนของหญิงสาวอยู่ในนั้น ปล่อยมือของผูหยางชิงหลันที่กอดไหล่ของตนเองอยู่ไว้อย่างนั้น
"งานตัดเย็บทำลายสายตา อย่าลืมพักผ่อนบ้าง"
เขามองนางพลางกำชับหนึ่งประโยค
เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองเขาปราดหนึ่งก่อนรับคำอย่างเสียไม่ได้ "อื้อ"
"ใช่แล้ว เสี่ยวหรั่น สายตาเ้ายิ่งไม่ดีอยู่ คราก่อนบอกจะฝังเข็มก็ยังไม่ได้ฝังเสียที เอาไว้ตอนเย็นถึงที่พัก ข้าจะฝังให้เ้า หลังกลับไปถึงเมืองหลวงกินยาอีกสองสามเทียบ ดวงตาก็จะหายดี"
ผูหยางชิงหลันอ้อมผ่านตัวเหลียนเซวียนเข้ามาใกล้หน้าต่างรถ
เซวียเสี่ยวหรั่นหดคอเข้ามาทันควัน ั์ตาแฝงแววผวา "พี่ใหญ่ผูหยาง ฝังเข็มเจ็บมากหรือไม่"
เธอจำได้ว่าเขาพูดถึงตำแหน่งฝังเข็มมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังอยู่รอบดวงตา ให้ตายเถอะ ชักกลัวขึ้นมาเสียแล้วสิ
"วางใจได้ ไม่เจ็บ เหมือนมดกัดเท่านั้นเอง" ผูหยางชิงหลันเอ่ยพลางหัวเราะร่า
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เหลียนเซวียนเจาะหูให้ตอนอยู่ในถ้ำ ตอนนั้นดูเหมือนจะไม่เจ็บเท่าไรจริงๆ
กลับรู้สึกเจ็บหลังจากผ่านไปแล้วมากกว่า พอคิดเช่นนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็มองเหลียนเซวียนที่อยู่ด้านข้าง
ประจวบเหมาะเหลียนเซวียนมองมาพอดี
สายตาของทั้งสองประสานกัน เซวียเสี่ยวหรั่นถูกดวงตาล้ำลึกดุจก้นเหวคล้องเกี่ยวหัวใจเอาไว้
ผูหยางชิงหลันเลิกคิ้วน้อยๆ ตะบึงอาชาขึ้นหน้าไปสองสามก้าว กีดขวางสายตาสองคู่ที่ประสานกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกพวงแก้มร้อนผ่าว ตกลงใจเสียดิบดีว่าจะอยู่ให้ห่างจากเขา แต่แค่สายตาเดียว การกระทำเดียวของเขา ก็ดึงดูดความสนใจของเธอไปได้แล้ว
นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีอะไรเลย เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าแดงหดคอกลับเข้าไปในรถม้า
เหลียนเซวียนส่งสายตาดุจคมมีดพุ่งฉึกๆๆ ใส่ผูหยางชิงหลัน
ผูหยางชิงหลันเลิกคิ้ว ปล่อยให้เขาซัดมีดเย็นใส่ตนตามอำเภอใจ
ช่างเถอะ มีเ้านี่เป็ตัวมารคอยขัดขวาง พวกเขาจะคุยกันอย่างสงบๆ ได้อย่างไร รอไว้หาโอกาสเหมาะตอนเย็นค่อยคุยกันจะดีกว่า
เหลียนเซวียนกระตุกสายบังเหียน ตวัดสายตาใส่ผูหยางชิงหลันที่ทำสีหน้ายิ้มย่อง ก่อนตะบึงอาชาไปหน้าขบวน
ทันใดนั้นบนถนนด้านหน้า ก็มีอาชาจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามาแต่ไกล
พอเห็นเงาร่างของคนบนหลังอาชา ใบหน้าของเหลียนเซวียนพลันเปลี่ยนสี
...
[1] เสื้อหลัวซาน คือเสื้อที่ทำมาจากผ้าโปร่งเนื้อบาง แขนกว้าง มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฉิน แต่เป็ที่นิยมอย่างมากในสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง
