แต่เดิมแล้ว อาคารสองหลังนี้ก็สร้างไม่เสร็จมาตั้งสามปี แทนที่จะปล่อยให้มันรกร้างต่อไปแบบนี้ สู้ขายๆ ไปเป็เงินสักก้อนดีกว่า ได้ยี่สิบล้านก็ถือว่าคุ้มแล้ว
นั่นคือความคิดของหยางกั๋วเฉียง
เขาไม่ได้เรียกร้องราคาแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็หลังจากรู้ว่าเฉินเฟิงและผู้เฒ่าหวังสนใจอาคารของเขา
เขาแค่เรียกยี่สิบล้าน
เพราะว่าโรงแรมที่ขาดทุนของผู้เฒ่าหวังก็ขายให้เฉินเฟิงในราคานี้
"ได้ ตามนั้น!" ผู้เฒ่าหวังแห่งเฉียนต๋ากรุ๊ปตอบตกลงกับราคายี่สิบล้านโดยไม่ลังเล
"เดี๋ยวเรามากินมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารในเฉียนต๋าพลาซ่าที่เพิ่งเปิดใหม่ในตัวเมืองกัน ฉันเป็เ้ามือเลี้ยงเอง แล้วเราค่อยเซ็นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์กันตอนนั้น"
พวกขาใหญ่ชอบเจรจาเื่ธุรกิจกันบนโต๊ะอาหาร
โดยเฉพาะตอนเซ็นสัญญา
ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ข้างตัว ก็เหมือนรู้สึกขาดอะไรไปสักอย่าง
แม้ว่าผู้เฒ่าหวังเพิ่งออกจากงานเลี้ยงที่ฝ่ายบริหารเมือง แต่ใช่ว่าเขาจะสนุกได้เต็มที่อย่างที่เขา้าในงานนั้น เพราะยังไงก็ต้องรักษาท่าทีต่อหน้าเหล่าคนระดับสูงด้วยกัน
ตอนนี้เขาอยากเห็นว่าลูกบุญธรรมคนนี้ของเขาจะคอแข็งขนาดไหนกันเชียว
"ได้สิ งั้นเราขับไปเลย พอดีด้วย ผมกำลังอยากจะชวนหลานชายเฉินไปกินเลี้ยงที่บ้าน"
หยางกั๋วเฉียงตอบด้วยรอยยิ้มร่าที่ดูพูดทีเล่นทีจริง
เขากำลังบอกผู้เฒ่าหวังทางโทรศัพท์ว่า เขาให้ความสำคัญกับเฉินเฟิงเช่นกัน ไม่ได้ดูถูกเขาแต่อย่างใด
หลังจากรับโทรศัพท์เครื่องใหญ่คืน ฉินเฟิงพูดทิ้งท้ายว่า
"ผู้เฒ่าหวัง ลูกชายของคุณอยู่ในโม๋ตูไหม? พาเขามาเปิดหูเปิดตาด้วยสิ"
ผู้เฒ่าหวังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะลูกชายเสี่ยวหวังเพิ่งอายุเจ็ดขวบ
แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสียงหัวเราะสดใสของผู้เฒ่าหวังก็ดังมาจากปลายสาย
"โอเค งั้นฉันจะให้แม่บุญธรรมของแกพาเ้าหนูนั่นไปทำความรู้จักกับว่าที่ลูกบุญธรรมสักหน่อยแล้วกัน"
หลังจากนั้นสายก็ถูกตัดลง คาดว่าผู้เฒ่าหวังคงกำลังโทรหาภรรยาของเขา
หยางกั๋วเฉียงที่นั่งฟังบทสนทนาระหว่างเฉินเฟิงกับผู้เฒ่าหวังจนจบ เขายิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้มากขึ้น
ทำไมบางครั้งเฉินเฟิงก็เรียกผู้เฒ่าหวังว่าพ่อบุญธรรม แล้วบางครั้งก็เปลี่ยนไปเรียกผู้เฒ่าหวัง
แต่เสียงผู้เฒ่าหวังจากปลายสายกลับไม่มีท่าทีแปลกใจหรือโกรธเคืองอะไร
เื่นี้ทำให้หยางกั๋วเฉียงคิดมาก!
"ในเมื่อนายเป็ลูกบุญธรรมของพี่หวัง ดังนั้นฉันจะเรียกนายว่า หลานชายเฉิน นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?"
หยางกั๋วเฉียงยื่นไวน์แดงให้เฉินเฟิงอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
"ครับ ยังไงคุณก็าุโกว่า" เฉินเฟิงจิบไวน์แดงแล้วพูดเสียงเบา
"งั้นตอนนี้นายตอบคำถามก่อนหน้าของฉันได้ไหม? ตอนนี้ฉันอยากรู้มากๆ ว่าทำไมนายกับพี่หวังถึงสนใจอาคารร้างนั่น"
หยางกั๋วเฉียงถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
หยางฮุ่ยเหยียนเองก็จ้องมองเฉินเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเฝ้ารอฟังคำตอบของเขาเช่นกัน
"ถ้าผมบอกคุณ คุณจะไม่ขึ้นราคากับผู้เฒ่าหวัง หรือผิดสัญญาปากเปล่าเมื่อกี้แน่นะ?"
เฉินเฟิงถามหยางกั๋วเฉียงกลับ โดยไม่ได้สนใจสถานะประธานบริษัทปี้หลงเยี่ยนของเขาเลย
"จะเป็แบบนั้นได้ยังไง? ฉันกับพี่หวังเป็คนสนิทกัน สัญญาปากเปล่าของเรามีผลยิ่งกว่าสัญญาเป็ลายลักษณ์อักษรอีก!"
ในที่สุดหยางกั๋วเฉียงก็เริ่มรู้สึกเืสูบฉีด เพราะคำพูดของเฉินเฟิงเป็การหยามเกียรติเขาในฐานะประธานกรรมการบริหารของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป
"ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ ผมมีความรู้สึกว่าปลายปีนี้ หอไข่มุกตะวันออกจะกลายเป็แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองโม๋ตู
เมื่อเวลานั้นมาถึง อาคารสองหลังซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหอไข่มุกตะวันออกอย่างมากจะมีราคาพุ่งสูงขึ้น"
เฉินเฟิงไม่ได้พูดถึงอนาคตที่ไกลออกไป แต่พูดถึงอนาคตอันใกล้ในปลายปีนี้
เพราะว่าถ้าเฉินเฟิงพูดถึงปี 2020
หอไข่มุกตะวันออกจะกลายเป็สิ่งก่อสร้างสำคัญและสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับจากทั้งประเทศเหยียนหวง ซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
นั่นอาจส่งผลให้หยางกั๋วเฉียงอาจกลับคำที่เพิ่งพูดกับผู้เฒ่าหวัง
ต่อหน้าทรัพย์สมบัติจำนวนมาก แม้แต่พี่น้องแท้ๆ ก็สามารถแตกหักกันได้
ยิ่งไปกว่านั้น
นี่ยังเป็แค่สัญญาปากเปล่าระหว่างประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ั์ใหญ่สองคนที่เป็คู่แข่งกัน
"ฉันก็คิด เื่ที่ว่าหอไข่มุกจะกลายเป็แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองโม๋ตูไว้เหมือนกัน ไม่งั้นฉันคงปล่อยให้อาคารสองหลังนั่นร้างต่อไป แล้วไม่เอาสิทธิ์การพัฒนาแปดสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ออกมาประมูลหรอก แถมจะไม่ขายให้นายในราคาแค่แปดแสนหนึ่งหมื่นด้วย"
หยางกั๋วเฉียงแสดงท่าทีปล่อยวาง แต่หลังจากนั้นก็พูดด้วยท่าทีชวนอึดอัด
สีหน้าสนอกสนใจและความสงสัยในตัวเฉินเฟิงลดลงอย่างฮวบฮาบ
เขาคิดว่าเฉินเฟิงมีความคิดดีๆ เกี่ยวกับการพัฒนาของหอไข่มุก
แต่กลายเป็ว่าเื่ที่เฉินเฟิงคิด เขาก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว!
เฉินเฟิงที่เห็นเช่นนั้นจึงแอบยิ้มเยาะในใจ ก่อนยิ้มบางๆ แล้วพูดด้วยเสียงแ่เบาว่า
"ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของผมจะธรรมดาเกินไป งั้นผมขอเสริมให้อีกนิดแล้วกันครับ
รอจนลูกสาวคนรองของคุณอายุ 25 ปี ในปี 2006 คุณจะส่งมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้เธอ ปีเดียวกันนั้น ลูกสาวของคุณคนนี้จะแต่งงานกับชายหนุ่มสกุลเฉิน
ชายหนุ่มที่มีนามสกุลเฉินคนนี้เป็นักเรียนที่เก่งมาก และยังเป็สามีที่ช่วยส่งเสริมภรรยาที่ดีอีกด้วย ปีถัดมา ในปี 2007 ซึ่งก็คือตอนที่ลูกสาวของคุณอายุ 26 ปี เธอจะกลายเป็ผู้หญิงที่รวยที่สุดในแผ่นดินใหญ่ของเหยียนหวง
คุณคิดว่าทำไมผมถึงกลายเป็ลูกบุญธรรมของผู้เฒ่าหวังและผู้ถือหุ้นของเฉียนต๋า ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันแค่สองวัน
นั่นเป็เพราะผมฟันธงว่าเขาที่ขาดทุนไปหลายร้อยล้าน จะกลายเป็คนที่รวยที่สุดในเหยียนหวง และเป็มหาเศรษฐีชาวฮวาเหริน [1] คนแรกในปี 2016!
แล้วผมก็เซ็นสัญญาเดิมพันกับผู้เฒ่าหวังไว้แล้ว ตอนนี้ผมเป็ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลำดับสองของเฉียนต๋ากรุ๊ปโดยมีส่วนแบ่งในถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์! ถ้าพวกคุณพ่อลูกไม่เชื่อคำพูดของผม เรามาเซ็นสัญญาเดิมพันกันก็ได้นะ
ถ้าในปี 2007 หากลูกสาวคุณกลายเป็ผู้หญิงที่รวยที่สุดในเหยียนหวง ปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปของคุณต้องแบ่งหุ้นให้ผมเป็จำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นต์!
แต่ถ้าลูกสาวของคุณไม่ได้กลายเป็ผู้หญิงที่รวยที่สุดในเหยียนหวง ผมจะมอบหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเฉียนต๋ากรุ๊ปให้กับคุณ!"
ครั้งนี้เฉินเฟิงไม่ได้รีบร้อน้าหุ้นของปี้หลงเยี่ยน เพราะไม่ว่ายังไงหุ้นของเฉียนต๋ากรุ๊ปก็อยู่ในมือเขาแล้ว หุ้นของถางเฉินกรุ๊ปก็เช่นกัน
หุ้นของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปนี้ คิดซะว่าเป็การขว้างสายยาวเพื่อจับปลาใหญ่ [2]
หากทำให้หยางฮุ่ยเหยียน หญิงสาวผู้นี้กลายเป็ผู้นำในอนาคตของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป แล้วถูกใจในตัวเขาจนแต่งงานกันได้ นั่นย่อมมีค่ามากกว่าหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน!
หลังจากฟังคำพูดของเฉินเฟิงอย่างตั้งใจ หยางกั๋วเฉียงก็จ้องมองเฉินเฟิงอยู่นานขณะที่กำลังครุ่นคิดไปด้วย
ส่วนเฉินเฟิงนั้นกลับหลับตาชิมไวน์ในมือของเขาอย่างสบายอารมณ์
เขาไม่ได้มีท่าทีจะแสดงความสนใจใดๆ ต่อหยางฮุ่ยเหยียนเด็กสาววัยสิบสี่ปีคนนี้แม้แต่น้อย
ในตอนนี้ภายในใจของหยางกั๋วเฉียงกำลังสับสน
เขามีลูกสาวสามคน ไม่มีลูกชายแม้แต่คนเดียว ส่วนลูกสาวคนโตไม่เป็ที่น่าพูดถึง
ดังนั้น เขาจึงพาลูกสาวคนรองและคนสุดท้องไปเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบ่อยๆ ั้แ่ยังเด็ก
โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ หยางกั๋วเฉียงค่อยๆ มีความคิดที่จะปลูกฝังลูกสาวคนรองเป็ทายาท
แต่หยางกั๋วเฉียงไม่เคยบอกเื่นี้กับใครมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเฉินเฟิงชายหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินเฟิงเพิ่งพูดถึงปีเกิดของลูกสาวคนรองหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่างละเอียด และยังทำนายถึงอนาคตว่าเธอจะเป็ผู้หญิงที่รวยที่สุดด้วย
ถึงขั้นยอมเอาหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเฉียนต๋ากรุ๊ปที่เพิ่งได้มาเป็เดิมพัน!
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หยางกั๋วเฉียงยื่นมือให้เฉินเฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับแนะนำตัวเองอย่างเป็ทางการ
"ฉันคือ หยางกั๋วเฉียง ประธานคณะกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหารของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป ยินดีที่ได้รู้จัก!"
เชิงอรรถ
[1] ฮวาเหริน ชาวจีนที่เกิดในจีนแต่ไปเติบโตที่อื่นจนได้สัญญาติของประเทศอื่น
[2] ขว้างสายยาวเพื่อจับปลาใหญ่ มีความหมายว่า เป็การมองการณ์ไกลแทนที่จะแสวงหาผลประโยชน์ทันที ซึ่งอาจทำให้ได้รับผลตอบแทน หรือรางวัลที่มากยิ่งขึ้นในภายภาคหน้า
