บทที่ 47 พลังที่แท้จริงของศาสตราเทพ, มุ่งหน้าสู่หอคัมภีร์
อิ๋งปิงรู้จากซางอู่ว่า ในถ้ำเทพศาสตรามีศาสตราเทพชิ้นหนึ่งซ่อนอยู่ ครั้งเมื่อสำนักชิงเยวียนกำลังจะล่มสลาย ซางอู่ยอมแลกด้วยราคามหาศาล เพื่อนำค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ออกมาใช้
ต่อมา เมื่ออิ๋งปิงได้ไปยังจงโจว นางเคยพบเห็นศาสตราเทพอีกหลายชิ้นที่ไม่ด้อยไปกว่าค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์เลย แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีชิ้นใดทำให้นางรู้สึกถึงพลังอันไร้ขอบเขตได้เท่าค้อนเล่มนั้นอีก ถูกต้องแล้ว! แม้แต่ในสายตาของนาง ศาสตราเทพก็มิใช่ของธรรมดาทั่วไปอย่างแท้จริง
ศาสตราเทพนั้นเหนือกว่าอาวุธลี้ลับถึงสองระดับ จัดเป็ที่สุดแห่งวิถีการสร้างศาสตรา เป็เพดานที่เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถเอื้อมถึงได้ด้วยทักษะอันไร้ขีดจำกัด ทว่าหากเหนือขึ้นไปอีก นั่นคือศาสตราแห่งวิถี ที่ถือกำเนิดจากพลังสร้างสรรค์ของฟ้าดิน ดังเช่นตราคัมภีร์ศิลาทมิฬที่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าอวี้ถือครองมาหลายชั่วอายุคน
ว่าแต่...นางจำได้ว่าในชาติที่แล้ว ค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ไม่มีเ้าของ ซางอู่พยายามกระตุ้นพลังของมันเพียงครั้งเดียว ราวกับดอกไม้ไฟที่สว่างวาบชั่วครู่แล้วดับไป จากนั้นทั้งคู่ก็หายสาบสูญไปพร้อมกัน ตอนที่นางเพิ่งขึ้นครองตำหนักกุ้ย ก็เคยสอบถามเื่นี้ แต่กลับได้รับเพียงข่าวลือที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่สามารถแยกแยะความจริงความเท็จได้
“ผู้าุโซางอู่?”
เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับมานาน อิ๋งปิงเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าซางอู่ผล็อยหลับไปบนเก้าอี้โยกั้แ่เมื่อไหร่ไม่รู้ แถมยังส่งเสียงกรนอย่างสม่ำเสมอ
ไม่นานนัก
“เนื้อแกะมาแล้ว!”
หลี่โม่ถือเนื้อแกะที่เตรียมไว้ออกมา เขาวางมันลงบนตะแกรงและเริ่มก่อไฟ ใบหน้าของเด็กหนุ่มสะท้อนแสงไฟอันอบอุ่น แสงนั้นยังคงสะท้อนอยู่ในดวงตาอันเยือกเย็นของอิ๋งปิงด้วยเช่นกัน
หรือว่า...จะเกี่ยวข้องกับเขา? แม้แต่แก่นแท้แห่งแสงของหงส์ะ ก็ดูเหมือนจะโปรดปรานเขาเป็พิเศษเช่นกัน...
“ช่วยหน่อยสิ”
ในตอนนั้นเอง แปรงอันหนึ่งถูกยื่นมา อิ๋งปิงจึงเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความสงสัย
หลี่โม่หยิบหม้อดินเผาอีกใบออกมา ภายในส่งกลิ่นหอมฉุนชวนรับประทาน ทำให้อิ๋งปิงเข้าใจได้ทันทีว่า นี่คือซอสสำหรับให้เธอนำมาทาบนเนื้อแกะย่าง
“นี่คือซอสสูตรพิเศษที่ข้าปรุงขึ้นมาเองเลยนะ”
“แม้แต่เทพเซียนยังต้องยอมแพ้เชียว ลองชิมดูสิ” หลี่โม่พูดพลางค่อยๆ หมุนตะแกรงย่าง
ด้วยเหตุนี้เอง จักรพรรดินีหงส์์จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาของนางกวาดมองไปมา ท้ายที่สุด นางก็หยิบแปรงจุ่ม ‘ซอสิญญา’ ที่ว่านั่น และเริ่มต้นประสบการณ์การทำอาหารครั้งแรกในชีวิต
ต่อมา หลี่โม่ก็มอบหมายภารกิจการหมุนตะแกรงย่างให้กับนาง เนื้อแกะย่างส่งเสียงฉู่ฉี่พร้อมน้ำมันที่ไหลเยิ้ม
หลี่โม่มองไปยังอิ๋งปิงที่อยู่ไม่ไกล นางกำลังทาซอสบนเนื้อแกะด้วยท่าทางที่ดูจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อ เขารู้สึกขันในใจ
‘ยัยก้อนน้ำแข็งนี่พอได้ทำอาหารแล้วดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากเชียว ไม่ได้ดูเ็าเหมือนเดิมแล้วนี่!’
‘ในอนาคตอาจจะสามารถทำให้ยัยก้อนน้ำแข็งป้อนอาหารให้เองได้แบบอัตโนมัติเลยกระมัง?’
แต่...ไม่นานนัก หลี่โม่ก็ไม่ได้คิดเช่นนั้นอีกแล้ว
“กลิ่นอะไรน่ะ?”
หลี่โม่ที่กำลังเตรียมเครื่องเคียงอยู่ ได้กลิ่นไหม้ เขาหันกลับไปก็พบว่าเนื้อแกะที่น่าจะออกมาดูดี กลับถูกทำลายอย่างน่าสลดใจ ครึ่งซีกไหม้เกรียมเป็ถ่าน แต่อีกครึ่งซีกยังไม่สุกดีเลย เด็กสาวยังคงหมุนเนื้อแกะต่อไป ดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย
หลี่โม่ “......”
เขาจ้องมองอิ๋งปิงด้วยความรู้สึกหมดหนทาง ดวงตาของเขาดูเหมือนจะร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออก ‘ไม่ใช่นะเจ๊! มันไหม้ไปแล้ว ยังจะย่างด้านที่ไหม้ต่อไปอีกทำไมเนี่ย?!’
เมื่อััได้ถึงสายตาของเขา อิ๋งปิงก็มองตอบกลับไปอย่างใจเย็น
“เป็อะไรไปเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูมีเหตุผลเต็มที่
‘เอาเถอะ... ยัยก้อนน้ำแข็งก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง เช่น ชาตินี้คงไม่มีวาสนากับงานในครัวแล้วล่ะนะ’
“ข้าทำเองดีกว่า”
หลังจากทานเนื้อแกะย่างมื้อนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็มื้อเช้าหรือมื้อเย็นเสร็จสิ้น ท้องฟ้าก็พลันเริ่มสว่างแล้ว
ภายในห้อง
หลี่โม่นอนอยู่บนเตียง ไม่บ่อยนักที่เขาจะนั่งนับเงินในกระเป๋าตัวเองอย่างเพลิดเพลิน
‘ศิษย์พี่หญิงทานข้าวไปมื้อนี้ ราวกับได้ทองห้าร้อยตำลึงทีเดียว เกินกว่ามูลค่าเหล้าไผ่เขียวนั่นอีกนะ’
‘คำตอบรับจากยัยก้อนน้ำแข็งยิ่งหอมหวานเหลือเกิน...’
หินิญญาแปดก้อน
ทองคำเกินหมื่นตำลึงไปมาก
ส่วนเงิน...เขายังี้เีนับ มีทั้งเงินขาวและตั๋วเงิน ซึ่งการนับมันช่างน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ ยังมีของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ กระจัดกระจายอยู่มากมาย เช่น ยาระดับหกอักษร แร่ธาตุ และพืชพรรณแปลกตา
“ยาเม็ดขจัดเคราะห์ ใช้ถอนพิษได้สารพัด”
“ยันต์เรียกวายุเรียกฝน ทำให้ฝนตกหนักได้สามวัน ตอนนี้น่าจะยังไม่จำเป็ต้องใช้”
“แหวนลายสนโบราณ ดูงดงามและสง่างามดี ใส่เป็เครื่องประดับเพื่อเพิ่มความโอ่อ่าก็ได้อยู่...”
ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม หลี่โม่ก็จัดเก็บข้าวของจิปาถะจนเสร็จเรียบร้อย
จากนั้นเขาก็เข้าไปในเมล็ดพันธุ์โลก ซึ่งดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเมื่อเทียบกับตอนที่เขาจากมา
พื้นที่ดูเหมือนจะกว้างขึ้นอีกหลายจ้าง ค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ลอยคว่ำอยู่เงียบๆ และไม่ไกลจากค้อน กระบี่เพลิงสีชาดก็หดตัวอยู่ในมุม ราวกับไม่อยากเข้าใกล้
อู้ว!
เมื่อััได้ถึงการมาของหลี่โม่ ค้อนก็สั่นเบาๆ สองครั้ง แม้ปราณศาสตราสังหารจะยังคงอยู่ แต่กลับไม่สามารถสร้างแรงกดดันต่อหลี่โม่ได้อีกต่อไป เพราะอย่างไรเสีย เขาก็คือเ้าแห่งที่นี่
“พลังไร้สิ้นสุด”
หลี่โม่รำพึงในใจ จากนั้นเดินเข้าไปจับด้ามค้อน เขายกมันขึ้นมาได้ง่ายดายอย่างยิ่ง ชนิดที่ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักใดๆ เลย หากไม่ใช่เพราะค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ส่งความรู้สึกยินดีมาให้ เขาก็คงคิดว่าเทพศาสตราชิ้นนี้ถูกสลับเปลี่ยนเป็ของปลอมไปแล้ว
วู้ววว—
หลี่โม่เหวี่ยงมันสองครั้ง ทันใดนั้น ปราณศาสตราสังหารอันดุดันก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลมและเมฆในโลกใบเล็ก ราวกับเทพเ้าแห่ง์พิโรธ เมื่อค้อนฟาดลงไปหนึ่งครั้ง ก็ราวกับอุกกาบาตที่ตกสู่พื้นดิน เป็พลังอันมหาศาลไร้ขอบเขต ตอนนี้ เขาราวกับเทพเ้าที่สามารถทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้เพียงชั่วพริบตา
สำหรับหลี่โม่ ผู้าุโหานเฮ่อถือว่าเป็ผู้ที่แข็งแกร่งมากแล้ว เขามีลางสังหรณ์ว่าแม้แต่ลมค้อนที่เขาเหวี่ยงออกไปในตอนนี้ เพียงปลายสุดของมัน ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ผู้าุโหานเฮ่อจะทนรับไหว
“สมแล้วที่เป็ศาสตราเทพ”
“นี่คือพลังที่แท้จริงของมันสินะ”
หลี่โม่ถอนหายใจยาว ค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ส่งเสียงหึ่งๆ ด้วยความตื่นเต้น ราวกับมันไม่เคยถูกใช้งานได้อย่างเต็มที่มานาน
“อยาก...อยากออกไปข้างนอก...” หลี่โม่คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงแ่เบาของเด็กน้อย
เป็ค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์หรือ? เขาก้มหน้าลงเพื่อยืนยันแหล่งที่มาของเสียง
“สู้...”
เขาเข้าใจความหมายของศาสตราเทพนี้แล้ว มันอยากจะฟาดฟันอะไรบางอย่าง เช่น ผู้คน หรือสัตว์อสูร เพียงขออย่าให้ถูกนำไปใช้ตีอาวุธอื่นก็พอ
หลี่โม่ “......”
เขาก็อยากเหมือนกันนั่นแหละ แต่ติดตรงที่พละกำลังยังไม่อำนวย
อู้ววว—
ค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ด้วยสติปัญญาอันอ่อนด้อยของมัน จึงยังไม่สามารถเข้าใจเื่ที่ซับซ้อนเกินไปได้ ว่าเหตุใดนายท่านถึงได้แข็งแกร่งและอ่อนแอสลับกันไปมา เหตุใดนายท่านถึงสามารถแสดงพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ยอมพาออกไปเที่ยวเล่น
“เมื่อเวลามาถึง ข้าจะให้เ้าเฉิดฉายเอง”
หลี่โม่ปลอบโยนเบาๆ เมื่อปลอบเทพศาสตราเสร็จ เขาก็เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังในทันที
“มีเทพศาสตราค้อนแล้ว”
“ข้าควร...จะไปหาวิชาค้อนมาฝึกบ้างไหม?”
หลังจากได้ััถึงความแข็งแกร่งของเทพศาสตรา หลี่โม่ก็เริ่มมีความปรารถนาเกิดขึ้นในใจ
'ข้าผู้เป็จอมกระบี่ จะฝึกวิชาค้อนสักสองสามกระบวนท่าบ้าง ก็น่าจะสมเหตุสมผลอยู่กระมัง?'
แต่ในรางวัลการลงทุนที่เขาได้รับมานั้น กลับไม่มีวิชาการต่อสู้ที่เกี่ยวข้องกับค้อนเลยจริงๆ
“ใช่แล้ว”
“ดูเหมือนว่าอันดับหนึ่งของการทดสอบภายในสำนัก จะสามารถขึ้นไปเลือกวิชาการต่อสู้ที่ชั้นห้าของหอคัมภีร์ได้นี่นา?”
“ไปดูดีกว่า”
คิดได้ดังนั้น หลี่โม่ก็ฟื้นฟูสภาพโลกใบเล็กที่เคยยุ่งเหยิงให้กลับมาเป็ปกติ จากนั้นก็กวักมือเรียกกระบี่เพลิงสีชาดที่อยู่ไม่ไกลให้เข้ามาหา
อู้ววว—
ทันทีที่เขาพูด ค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ก็สั่นสองครั้ง ราวกับบิดากำลังสั่งสอนบุตรที่ไม่เชื่อฟัง ทำให้กระบี่เพลิงสีชาดค่อยๆ ลอยลงสู่ฝ่ามือของเขา
เมื่อพกกระบี่แล้ว หลี่โม่ก็ออกจากเมล็ดพันธุ์โลก เขาทักทายซางอู่ที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หอคัมภีร์ทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้