ดวงหน้าของหนูทดลองในชุดดำขาวซีด ดวงตานิ่งสนิท เห็นได้ชัดว่าถูกยาควบคุม ในดวงตามีเพียงความตายเท่านั้น
มู่หรงฉือพละกำลังถดถอย เริ่มรับมือลำบากขึ้นเรื่อยๆ แขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายราวเหล็กไหล ไม่ว่ากระบี่อ่อนจะฟันจนได้เื หรือแทงเข้าไปในร่างจนเืพุ่ง เขาก็ไม่มีความรู้สึกใด อีกทั้งยิ่งต่อสู้กลับยิ่งห้าวหาญขึ้นเรื่อยๆ
บ่าซ้ายของนางถูกอีกฝ่ายข่วนมาหนึ่งที นางเจ็บแสบไปหมด เหมือนเล็บของเขาเป็ดั่งอาวุธเหล็กอันคมปลาบ
ทันใดนั้น นางก็นึกได้ว่าท่านอาจารย์เคยสอนเพลงกระบี่ให้นางหนึ่งกระบวนท่า หากอีกฝ่ายมีการออกกระบวนท่าว่องไวผิดปกติ ก็ต้องใช้ความนิ่งสงบเข้าสู้ ใช้ความเชื่องช้าเข้าสยบความเร็ว
ดังนั้น นางจึงออกเพลงกระบี่ที่นางไม่เคยใช้มาก่อน ค่อยๆ ร่ายรำออกมา ไม่ขยับไปตามสิ่งเร้าภายนอก ตั้งสมาธิในโลกของตนขึ้น
หนูทดลองในชุดดำโจมตีเข้ามาอีกครั้งและอีกครั้งแต่ไม่รู้เหตุใดถึงได้โจมตีไม่โดนนาง
นางตั้งสมาธิร่ายรำกระบี่ กระบวนท่าอ่อนช้อยแช่มช้า กระบี่อ่อนปล่อยปราณกระบี่ออกไปทีละสาย ปราณกระบี่รวมกันเป็เส้นเดียว ยิ่งรวมตัวกันมากเข้า ก็ร้อยรวมเป็ตาข่ายครอบคลุมตัวนางเอาไว้ ป้องกันนางจากการโจมตีทั้งหมด
การโจมตีของอีกฝ่ายยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับถูกตาข่ายสีเงินขัดขวางเอาไว้ ส่วนปลายกระบี่ที่รวดเร็วดั่งแมงป่องพิษของนางแทงตรงไปยังหัวใจของเขาอย่างพอดิบพอดี โลหิตพลันไหลออกมา
แต่แม้เืจะไหลออกมามากเพียงใด อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกถึงความเ็ป ไม่ได้ล้มลง ยังคงกล้าหาญไร้พ่าย ทุกครั้งที่ออกกระบวนท่าจะมีเืไหลออกมาไม่หยุด
หนูทดลองนี่ฟันแทงไม่เข้าหรืออย่างไร?
มู่หรงฉือขบคิดอย่างละเอียด จะฟันแทงไม่เข้าอย่างไรก็ต้องมีจุดอ่อนถึงชีวิต สามารถโจมตีจนเอาชนะได้
ใช่แล้ว! ดวงตาเล่า!
นางแทงไปยังดวงตาของเขา แสงสีเงินพาดผ่านไป ดวงตาทั้งสองของหนูทดลองก็มีเืสดๆ ไหลรินออกมา อเนจอนาถเป็อย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกัน นางก็ฟันเข้าไปอีกหนึ่งทีที่หัวของเขา
“ดวงตาเป็จุดอ่อนของพวกเขา”
นางะโเสียงดัง แล้วรีบไปช่วยมู่หรงอวี้
มู่หรงอวี้รับมือกับหนูทดลองอีกสองคนที่กำลังได้เปรียบ
ภาพลวงตาประสานกันเป็ค่ายกล ปราณกระบี่สีเงินร้อยรัดกลายเป็ตาข่าย อาภรณ์สีดำเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับลูกไฟอันมืดมิด ไม่ว่าสิ่งใดก็มองไม่ชัด
เพียงไม่นาน หนูทดลองอีกสองคนก็ล้มลงไปตามๆ กัน ดวงตาถูกทำลาย หัวถูกตัดทิ้ง
มู่หรงฉือกับมู่หรงอวี้สบตากันแล้วยิ้ม การได้จับมือกันเคียงบ่าเคียงไหล่ รบชนะศัตรู ความดีใจนี้ค่อยๆ หลุดลอดเข้าไปยังก้นบึ้งหัวใจ
นางลืมเื่ที่เปิดเผยความสามารถของตนไปชั่วขณะ เขาเองก็ไม่ได้กล่าวถึง
คนทั้งสองรีบออกจากที่นั่นทันที กลับไปยังช่องทางเดิมที่เข้ามา
แต่พวกเขาหาสัญลักษณ์ที่สลักทิ้งเอาไว้ไม่เจอ ก่อนหน้านี้พวกเขาใช้มีดสั้นคอยสลักสัญลักษณ์เอาไว้หลายจุด ตอนที่กลับไปยังเส้นทางเดิมสัญลักษณ์เ่าั้ก็ไม่มีแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดสัญลักษณ์ที่พวกเราทำไว้ถึงหายไป? หรือว่าพวกเรามาผิดทาง?” ในใจของนางร้อนรน
“อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป จะต้องหาทางออกเจอแน่นอน” เขายืนอยู่กลางทางเดินแล้วมองไปทั้งสองฝั่ง “เส้นทางในนี้มีมากเกินไป บางทีพวกเราอาจจะมาผิดทาง”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”
มู่หรงอวี้จับจูงมือเล็กของนาง นางไม่ได้สะบัดออก เขาหันมายิ้มให้นางแล้วพูดเสียงอ่อนโยน “ไม่ว่าจะอย่างไร ถึงแม้ตอนนี้จะหาทางออกไม่เจอ แต่สุดท้ายย่อมต้องหาเจอแน่นอน”
มู่หรงฉือพยักหน้า แล้วค่อยๆ สงบใจลง
เดินมาได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็พบว่าเส้นทางด้านซ้ายเหมือนจะมีห้องหินอยู่ห้องหนึ่ง ครั้นบิดกลไกประตูก็เปิดออก
เพิ่งจะก้าวเข้าไปก็เกิดเสียงดังตึง ประตูหินปิดลงทันที พวกเขาตื่นตระหนกหันหลังกลับไปโดยพลัน ได้แต่มองหน้ากัน
นางรีบหากลไกทันที แต่ว่าทั้งสองด้านของประตูไม่มีสิ่งที่เป็เหมือนกลไก
“พวกเราออกไปไม่ได้แล้ว”
“พวกเราไม่มีทางเป็อะไร เชื่อข้า”
มือใหญ่ของมู่หรงอวี้ประคองดวงหน้าเล็กของนาง คลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างมุ่งมั่น ดวงตาเปล่งประกาย
นางมองเขาแล้วก็รู้สึกสงบใจขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ราวกับว่าแค่คำปลอบใจของเขาเพียงประโยคเดียวก็ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
เขาดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน มือใหญ่ลูบหลังของนางอย่างอ่อนโยน
ชั่วเวลานี้ หัวใจที่เต้นแรงก็เหมือนจะค่อยๆ สงบลง
“เหมือนจะได้กลิ่นฝิ่น” มู่หรงฉือผลักเขาออกแล้วเดินไปเปิดตู้ไม้หลังหนึ่ง ก่อนจะหยิบกล่องไม้ที่ทำอย่างดีมาเปิดฝาออก “เป็ฝิ่นจริงๆ”
“มีฝิ่นหลายสิบกล่อง” ดวงตาของเขาปรากฏม่านหมอกเป็ชั้นๆ “หากพวกเราไม่ได้พบกิจการอันเลวร้ายของคุณชายชุดทอง ฝิ่นหลายสิบกล่องนี้ก็คงจะถูกนำส่งให้แก่ขุนนางและราษฎรเป่ยเยี่ยนของพวกเรา”
“หากสามารถทำลายฝิ่นพวกนี้ได้ก็ดี” นางพูดอย่างเกลียดชัง “ท่านมีกระดาษไฟติดตัวมาด้วยหรือไม่?”
“มี” มู่หรงอวี้หยิบกระดาษไฟออกมา “พวกเราหากลไกที่เปิดประตูหินนี้กันก่อนเถิด ไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวจะถูกเผาไปด้วย”
พวกเขาพากันค้นหาตามรอบกำแพงห้องอยู่นาน แต่ไม่เจอกลไกที่เปิดประตูหิน
นางเชื่อว่าจะต้องมีกลไกอยู่แน่นอน!
หากคนของพวกเขาถูกขังเอาไว้ด้านในแล้วจะออกไปอย่างไร? ดังนั้นย่อมต้องมีกลไก
เขาหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งขึ้นมา แล้วทุบลงไปยังพื้นเหล็กทีละกล่องๆ
ระหว่างแผ่นเหล็กไม่มีช่องว่าง แต่ว่าไม่รู้ว่าทำอย่างไร เขากลับสามารถเปิดแผ่นเหล็กออกมาได้หนึ่งชิ้น
ด้านล่างมืดสนิท ดูไม่ออกว่าเป็สถานที่เช่นไร บางทีอาจจะเป็ห้องหินอีกห้องหนึ่ง
“ทำเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ?” มู่หรงฉือกังวลอยู่เล็กน้อย การเผาฝิ่นพวกนั้นย่อมดีแน่นอน แต่หากต้องทำให้ตัวเองตายไปด้วยเช่นนั้นก็นับว่าขาดทุนแล้ว
“ด้านล่างคงจะเป็ชั้นสุดท้ายแล้ว” มู่หรงอวี้พูดอย่างมั่นใจ
หลังจากเตรียมการเรียบร้อย พวกเขาก็จุดไฟเผาฝิ่นเหล่านี้
มองดูไฟที่ค่อยๆ ลุกโชนขึ้น แสงสว่างของไฟค่อยๆ กลืนกินฝิ่นที่ทำให้ผู้คนมากมายเสพติด พวกเขามองตากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็พากันะโลงไปในช่องที่เตรียมไว้
มู่หรงอวี้ะโลงไปก่อนรอรับนางอยู่ด้านล่าง จากนั้นเหล็กแผ่นนั้นก็ปิดตัวไปเอง
รอบข้างมืดสนิท ยกมือขึ้นยังมองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือ มู่หรงอวี้กุมมือเล็กของนางไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ เดินไปด้านหน้า
เมื่อครู่ที่ยืมแสงไฟมองลงไปด้านล่าง ที่นี่เป็ห้องหินห้องหนึ่งจริงๆ
มู่หรงฉือพลันนึกถึงไข่มุกแสงจันทร์ที่หยิบติดมือมาด้วย นางเอาถุงกำมะหยี่ออกมาแล้วหยิบไข่มุกเม็ดเท่าไข่ไก่ขึ้นมา
แสงจากไข่มุกสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ประหนึ่งเป็แสงแห่งความหวัง
“รู้สึกหรือไม่ว่ามันชื้นขึ้นเรื่อยๆ?” มู่หรงอวี้ถามเสียงทุ้ม
“อืม ทั้งชื้นทั้งเย็น” นางรู้สึกว่าใต้เท้าลื่นขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เป็เพียงพื้นแข็งๆ อีก
พวกเขาเดินไปด้านหน้าอีกนิดจากนั้นก็นิ่งงันไป ตรงหน้าคือผืนน้ำสีดำ
เขาโน้มตัวเอามือแตะน้ำ “น้ำนี่คงไม่ใช่น้ำตาย แต่แปลกนัก น้ำกลับไม่เย็น”
ถึงแม้จะเป็ฤดูร้อนที่อากาศร้อนระอุ ทว่าน้ำในบ่อ ตามทะเลสาบ และแม่น้ำต่างให้ััเย็น ที่นี่ทั้งมืดทั้งชื้น มองไม่เห็นกระทั่งแสง แต่น้ำกลับไม่เย็นได้อย่างไร?
“มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว” มู่หรงอวี้สีหน้ายินดี
“ข้ารู้แล้ว น้ำในนี้เชื่อมต่อกับบ่อน้ำร้อนของทะเลสาบเสวียนเยว่” มู่หรงฉือคลี่ยิ้ม
“หากเชื่อมกันจริงๆ เช่นนั้นว่ายจากที่นี่ไปก็น่าจะได้อยู่”
“ก็ต้องลองดู”
นางเก็บไข่มุกก่อนจะก้าวเท้าออกไป แต่พื้นลื่นนัก เพียงเหยียบลงไปก็ลื่นไถลจนเสียการทรงตัว
มู่หรงอวี้มือไวจับนางเอาไว้ได้ ดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน นางแตกตื่นใ ก่อนจะรีบดึงสติกลับมา
ตาสองคู่สบมองกัน ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปอย่างไรอย่างนั้น
เขาไม่อยากปล่อยมือ นางมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ภายในนั้นมีความรู้สึกอ่อนโยนจนแทบหวานเลี่ยนอยู่ลึกๆ
หลังจากทั้งสองเตรียมตัวพร้อมจะลงน้ำเรียบร้อย จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นขวางนางเอาไว้ “รอประเดี๋ยว”
นางมองเขาด้วยความสงสัย เห็นเขาหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเขวี้ยงลงไปในน้ำ เกิดเป็คลื่นกระเพื่อมออกไปเป็ระลอกๆ
ผิวน้ำนิ่งสนิท
เขาลองอีกครั้ง คราวนี้เป็หินขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย น้ำสาดกระเซ็นขึ้นมาเป็จำนวนมาก
“ท่านกังวลว่าในน้ำจะมีสัตว์อยู่หรือ?” นางถามกลั้วหัวเราะ ในใจนับถือความระมัดระวังรอบคอบของเขา
“ระวังเอาไว้สักหน่อยเป็ดี”
ในน้ำไม่มีปฏิกิริยาใด พวกเขาถึงค่อยเดินลงไป ครั้นมาถึงตรงที่น้ำเริ่มลึกถึงเริ่มว่ายออกไป
ไม่รู้ว่าว่ายกันอยู่นานเท่าไหร่ ทว่าตรงหน้ายังคงมืดสนิท เรี่ยวแรงของมู่หรงฉือไม่เพียงพอ ร่างกายเริ่มหนักอึ้งเรื่อยๆ แทบจะว่ายต่อไปไม่ไหวแล้ว
มู่หรงอวี้หันกลับมาเห็นนางตามหลังตนอยู่่หนึ่ง รู้ว่าบ่าซ้ายของนางได้รับาเ็ เรี่ยวแรงใช้ไปค่อนข้างเยอะแล้ว สองสามวันนี้นางแทบไม่ได้นอนพักผ่อนดีๆ เอาแต่วิ่งรอกอยู่ข้างนอกทั้งวัน สามารถอดทนได้จนถึงตอนนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว
เขาจับมือเล็กของนางเอาไว้ ส่งสัญญาณให้นางดึงเสื้อของตนแล้วพานางว่ายไปด้านหน้า
นางผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย กัดฟันแน่นอย่างอดทน ยืนหยัดไว้...
สุดท้ายครั้นนางเห็นแสงสว่างน้อยๆ ตรงหน้าก็รู้สึกปิติยินดี
แต่ว่านางเหนื่อยล้าเกินไปแล้วจริงๆ อยากจะหลับตาพักสักหน่อย…
ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มู่หรงฉือก็เห็นใบหน้าขาวที่แสนคุ้นเคย เห็นท้องฟ้าสีคราม ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา
“ในที่สุดเ้าก็ฟื้นแล้ว”
มู่หรงอวี้กอดนางไว้ด้วยความยินดี ์เท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อครู่เขาเรียกนางอยู่นาน นางไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เขากังวลว่านางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก ความหวาดกลัวประดังประเดเข้ามาในหัวใจของเขา ทำให้เขาหายใจแทบไม่ออก
ความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง ความเ็ป ความรู้สึกมากมายร้อยรัดเข้าด้วยกัน แล้วสลักลึกลงไปในกระดูกของเขา ชาตินี้คงไม่อาจลืมได้ลง
นางตกตะลึง ปล่อยให้เขากอดตนเอง สมองยังคงมึนงงอยู่
พวกเขาออกมาจากโลกใต้ดินได้แล้วจริงๆ หรือ?
“ปล่อยเปิ่นกง…” มู่หรงฉือพูดเสียงเบา
“เตี้ยนเซี่ยรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” เขาปล่อยนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันล้นทะลัก
“เปิ่นกงสบายดี” นางถามด้วยความกังวล “คุณชายชุดทองรู้ว่าพวกเราออกมาแล้ว จะส่งคนมาตามฆ่าพวกเราหรือไม่? ลูกน้องของท่านเล่า?”
“ยังไม่พบพวกเขา บางทีอาจจะเจอเื่ไม่คาดฝันเข้า” มู่หรงอวี้ดึงนางให้ลุกขึ้น ดวงตาคมดุจเหยี่ยวมองไปก่อนจะพูด “ไปกันเถิด”
นางถึงได้พบว่าสภาพของเขาก็ไม่สู้ดีนัก ดวงหน้าของเขาซีดขาวเหมือนคนป่วย ริมฝีปากซีดเซียวไร้สีเื
เขามีาแบนตัว พิษในร่างกายก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ถูกขับออกไป ไม่ได้พักผ่อนให้ดี ทั้งยังสูญเสียเรี่ยวแรงไปไม่น้อย แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งดั่งเหล็กไหลก็ย่อมรู้สึกทรมานอยู่บ้างกระมัง
ที่แห่งนี้จะอยู่นานไม่ได้ พวกเขาจึงออกจากทะเลสาบเสวียนเยว่โดยไม่ใส่ใจกับเสื้อผ้าที่เปียกชื้น
แต่พวกเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นคนชุดดำหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้น
มู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือมองตากัน ดูเหมือนว่าสิบกว่าคนนี้จะเป็คนที่คุณชายชุดทองสั่งให้มาตามฆ่าพวกเขา
คนชุดดำหลายสิบคนใบหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะพุ่งเข้ามาล้อมโจมตีพวกเขา
ในตอนนั้น บรรยากาศของทะเลสาบเสวียนเยว่พลันเต็มไปด้วยจิตสังหาร และเงาของกระบี่
เพลงกระบี่ร่ายรำเกิดเป็ลมพัดวูบ กระบี่ที่ฟันลงไปรุนแรง กำลังภายในไม่ธรรมดา
กระบี่อ่อนสองเล่มพลิ้วไหวราวั บางคราก็เหมือนงูพิษที่พร้อมจะพุ่งเข้าฉกคนได้ตลอดเวลา บางครั้งก็เข้าโรมรันกับดาบใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม บางครั้งก็ได้เปรียบคนทั้งหมด ทว่าฝีมือการต่อสู้ของคนชุดดำทั้งสิบสูสีกับพวกเขายิ่งนัก อีกทั้งร่างกายของพวกเขายังมีาแ สูญเสียเรี่ยวแรงไปมากอยู่ก่อนแล้ว เมื่อต่างคนต่างสู้ก็มีแต่จะเสียเปรียบ แล้วค่อยๆ เพลี่ยงพล้ำไป
มู่หรงอวี้รู้ว่าเป็เช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ความสามารถของสิบคนนี้สูงส่ง ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา ยากที่จะรับมือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้