อวี๋มู่ที่สมองเต็มไปด้วยความรู้สึกประทับใจ พลันได้สติในชั่วพริบตา
ทำ?
ทำอะไร?
เขาเอ่ยถามระบบหน้าแข็งตึง: เ้าระบบ นายบอกว่าเขาพบบันทึกเกี่ยวกับเื่หิ่งห้อยในหอคัมภีร์ ถ้าอย่างนั้น…จะเป็ไปได้ไหมว่าเขาค้นพบเื่ราวอย่างอื่นในหอคัมภีร์ด้วย?
อย่างเช่นตำราภาพประกอบในราชวัง ยี่สิบแปดท่วงท่าัพิชิตตะวันหรือพวกตำราหื่นพิสดารสมัยโบราณ?
[เหมือนว่าไม่ได้พบอะไรนะครับ…] ระบบวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดก็โพล่งอย่างใ [โฮสต์ครับ คุณคงไม่ได้กำลังกลัวว่าเขาจะรู้ความหมายที่แท้จริงของการร่วมรักแล้วใช่ไหมครับ? ฮี่ๆๆๆ รบนอกสนาม[1]เลยนะครับ รบนอกสนาม~]
เสียงหัวเราะแบบผิดปกติของระบบยิ่งทำให้อวี๋มู่กระวนกระวายอยู่ในใจ
เขาพาดมือบนไหล่ของเฟิงอวี้ แล้วเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยถามทั้งที่รู้ “ทำอะไร?”
เฟิงอวี้ฉีกยิ้ม “ร่วมรัก”
เป็จริงตามนั้น
ในหัวสมองของเ้านักบวชน้อยนี่มีแต่เื่บัดสีบัดเถลิง
หย่งอวี้ที่แสนจะเมตตาไร้เดียงสาอีกครึ่งหนึ่งถูกเขากลืนกินไปแบบนี้จริงหรือ?
อวี๋มู่ถอนหายใจอยู่ในใจ เขายื่นมือออกไปััเฟิงอวี้อย่างรู้ชะตากรรม แต่กลับถูกเฟิงอวี้คว้ามือทันใด ก่อนจะผลักล้มลงบนผืนหญ้าริมทะเลสาบ
นักบวชน้อยรูปโฉมงดงามคร่อมทับบนตัวเขา ปรากฏแสงสีแดงจากปานกลีบดอกไม้แยงตา จากนั้นเอ่ย “อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่า เ้าชอบโกหกข้าถึงเพียงนี้ ถ้าอย่างนั้น เื่นี้เ้าก็คงโกหกข้าั้แ่เริ่มแรกสินะ? ”
ไม่รอให้อวี๋มู่ได้ตอบ เขาก็เอ่ยออกมาเองคำพูดหนึ่ง
“โรงโสเภณี”
อวี๋มู่ที่มีลับลมคมในอยู่แล้วถึงกับตัวแข็งค้างในทันใด
“ได้ยินมาว่าคนในโรงโสเภณีต่างก็รู้ว่าร่วมรักหมายถึงสิ่งใด แถมแต่ละคนนั้นมีลักษณะบุ่มบ่าม ข้าคิดว่าถ้าไปถามพวกเขา อย่างไรย่อมต้องได้คำตอบ” เขาจูบริมฝีปากอวี๋มู่ แล้วเอ่ย “ถึงตอนนั้นหากรู้ว่าเ้าโกหกข้าจริง…”
น้ำเสียงของเขาชั่วร้ายถึงขีดสุด มืออีกข้างของเขาััคอของอวี๋มู่ แล้วลูบไล้เบาๆ ตรงลูกกระเดือก ก่อนจะเอ่ย “ข้าจะใช้วิธีที่ถูกต้อง แล้วเอาคืนกับเ้าอย่างสาสม”
“…”
ซวยแล้ว
[โฮสต์ครับ คุณสารภาพกับเขาไปจะดีกว่าไหมครับ?] ระบบกลั้นหัวเราะ แล้วเอ่ยต่อ [ผมรู้สึกว่าเป็แบบนี้ต่อไป หากเขารู้เื่จริงเข้า คุณจะซวยของจริงนะครับ!]
อวี๋มู่: ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันบอกไป นายคิดว่าเขาจะปล่อยฉันหรืออย่างไร?
[…ก็จริงนะครับ]
อวี๋มู่เริ่มเข้าใจลักษณะนิสัยของเฟิงอวี้ทั้งดำและขาว เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจให้เขาพูดความจริง ถึงตอนนั้นค่อยเริ่มออกรบนอกสนามอย่างมีเหตุผล
นักบวชน้อยไม่มียางอาย แต่เขามี
เดิมทีเขาก็อยู่อย่างเอาตัวรอดไปวันๆ อยู่แล้ว เขาจะปิดปากแน่น อดทนจนถึงนาทีสุดท้าย และไม่ยอมรับเด็ดขาด!
“ใต้เท้าเอาที่ไหนมากล่าว? ” อวี๋มู่มองเฟิงอวี้ด้วยแววตาจริงจัง “ข้าเป็ิญญาพิศวาส เื่นี้ข้ารู้จริงที่สุด แล้วจะโกหกท่านใต้เท้าได้อย่างไร? ”
เฟิงอวี้หางคิ้วแอบกระตุกเล็กน้อย ทำท่าพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาก็หัวเราะ
“อา เช่นนี้นี่เอง” เขาไม่ได้บอกว่าเชื่อ และไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ เอียงคอขบริมฝีปากล่างของเขา แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้…ได้หรือเปล่า? ”
[ฮ่าๆๆๆๆๆ!!!]
อวี๋มู่: เ้าระบบ นายหุบปากไปเลย!
เขารู้สึกว่าิญญาอย่างเขากำลังเริ่มร้อนรุ่ม!
เฟิงอวี้ชอบเป็อย่างมากกับท่าทีเขินอายของเขาเช่นนี้ แล้วยังแกล้งทำเป็นิ่งสุขุม จึงจงใจเอ่ยถามเขาอีกรอบ “ได้หรือเปล่า? ”
อวี๋มู่กัดฟันในเงามืด แต่ใบหน้ากลับยิ้มออกมา ทำทีเหมือนดีใจที่ได้รับความโปรดปราน แล้วตอบกลับเขา “…ได้ขอรับ ใต้เท้า้าอะไรก็ย่อมได้”
*
หลังจากผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ ‘อันไร้มนุษยธรรม และน่าละอายใจอย่างยิ่ง ทำทัศนคติสามด้านแหลกสลาย และศักดิ์ศรีป่นปี้ย่อยยับ’
อวี๋มู่รู้สึกว่าตัวเองใกล้บรรลุขึ้น์แล้ว
ณ สถานที่กลางแจ้งในป่าลึกริมทะเลสาบ ฝูงหิ่งห้อยอันสวยงามได้ประจักษ์เห็นความอึดอัดใจครั้งแรกของชายหนุ่มที่เกิดมาจนยี่สิบแปดปี
อวี๋มู่รู้สึกอายเกินไป พออยู่บนรถม้า เขาก็ไม่ได้ตัวโตแล้ว แต่หดเล็กเท่าฝ่ามือ แล้วยังอยู่ห่างจากเฟิงอวี้อย่างมาก ทั้งยังหันหลังให้อีกฝ่าย ด้วยไม่อยากมองหน้านักบวชน้อย
แม้ว่าการกระทำพวกนั้นไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายเขา แต่ัันั้นกลับถูกจดจำอยู่ในจิติญญาของเขา
คิดๆ ดูแล้ว อวี๋มู่ก็ยิ่งรู้สึกขนหัวลุก
เฟิงอวี้เองย่อมรู้ดีว่าทำไมเขาถึงเป็เช่นนี้
เขารู้ชัดเจนแล้วว่าิญญาพิศวาสตัวนี้แสร้งทำทีน้อมรับตามเขา แต่ไม่ได้ชื่นชอบการกระทำบัดสีแบบนี้จนแทบเข้ากระดูกดำ
นี่ทำให้เขาฉงนใจ
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นอีกฝ่ายเป็คนที่เริ่มมาดึงดูดหลอกล่อตัวเขาก่อน แต่มาถึงขั้นนี้กลับระมัดระวังตัวถึงเช่นนี้?
นึกไม่ออก เขานึกไม่ออกจริงๆ
แต่นี่กลับทำให้เขาแกล้งอวี๋มู่ได้ง่ายดายขึ้น
นี่มัน…ช่างน่าสำราญใจยิ่งนัก
พอคิดเช่นนี้ เขาก็จัดการอารมณ์ แล้วมองไปทางอวี๋มู่ ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ออกไปจิ้มหลังของคนตัวจิ๋ว แล้วเอ่ยอย่างลำบากใจ “โยมอวี๋ เมื่อคืนอาตมาทำผิดอะไรหรือไม่ ทำไมเ้าถึงไม่สนใจข้า? ”
“…”
รู้แล้วยังจะถาม! ชั่วที่สุด!
อวี๋มู่หันมาถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็ก้มศีรษะแล้วกัดฟัน
“โยมอวี๋ไม่สบายตรงไหนหรือ? ” เฟิงอวี้ทำแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เป็ประกาย เขาไม่สนความยินยอมของอวี๋มู่ ทำการหิ้วเขาขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คงไม่ใช่เพราะในป่านี้ยังมีม่านคาถาที่เหล่าอาจารย์ร่ายไว้ จึงทำให้เ้ารู้สึกแย่หรอกนะ? ”
“เฮ้! ” อวี๋มู่ถูกหิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มือเท้าไม่ทันได้จัดแจงดี และทำท่าตะเกียกตะกายอยู่สองที จากนั้นก็ถูกนักบวชน้อยประคองไว้ ใบหน้าที่เมื่อคืนยั่วสวาทถึงขีดสุดยื่นเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา และทำท่าทางเหมือนเป็ห่วงเป็ใยจากใจจริง
เขาใช้นิ้วมือเกลี่ยใบหน้าของอวี๋มู่ “โยมอวี๋ พูดอะไรสักหน่อยได้หรือไม่? ”
มารดาเอ็งเถอะ นายอยากฟังหรือเปล่า!!
ในที่สุดอวี๋มู่ก็ทนไม่ไหว สองมือโอบนิ้วของเฟิงอวี้ไว้ แล้วเอ่ยกับเขาแบบกัดฟันกรอด “อาจารย์ไม่ต้องเป็กังวล ข้าน้อยไม่ได้เป็อะไร เพียงแต่เหนื่อย จึง้าพักผ่อน”
เขาข่มไฟโกรธ แล้วทำทีขอร้อง “อาจารย์ได้โปรดปล่อยข้าลงมาเถอะ”
“ที่แท้โยมอวี๋ก็เหนื่อยหรอกหรือ” เฟิงอวี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะวางอวี๋มู่ลงที่เดิม ขาสองข้างกลับนั่งขัดสมาธิ พลางจัดเสื้อให้ดี แล้ววางอวี๋มู่ไว้บนนั้น จากนั้นก็ใช้มือบังเขาไว้ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนว่า “เก้าอี้ไม้บนรถม้าแข็งเกินไป อาตมาเกรงว่าโยมอวี๋จะนั่งไม่สบาย ชุดนี้เนื้อผ้านุ่มกว่า โยมอวี๋มู่พักผ่อนแบบนี้ดีกว่า”
“…”
[ฮ่าๆๆๆๆๆ โฮสต์ครับ เขาจงใจ! นี่มันจงใจชัดๆ !]
อวี๋มู่หมดคำพูดแล้ว โมโหจนไม่รู้จะโมโหอย่างไรแล้ว
อีกฝ่ายแกล้งทำใสซื่อ ซึ่งเดิมทีเขาก็ต่อกรไม่ได้อยู่แล้ว ท้ายที่สุดจึงได้แต่เอ่ยขอบคุณ แล้วคลานไปช่องว่างระหว่างชุดสีเทาอย่างไม่จำยอม พลางปิดตาแกล้งหลับ
ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไปจริงๆ
เฟิงอวี้มองดูเขาเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง มุมปากที่โค้งขึ้นไม่ได้คลายลงมาแต่อย่างใด
เขายื่นนิ้วออกไปััผมยาวสยายของอวี๋มู่เบาๆ ในใจขานชื่ออีกฝ่ายอยู่หลายรอบ แล้วรู้สึกว่าจิตใจนั้นผ่อนคลายขึ้น
อวี๋มู่จ๋า เ้าต้องอยู่กับข้าแบบนี้ตลอดไปถึงจะดี ห้ามจากไปไหน
ไม่อย่างนั้น ข้าต้องเป็บ้าแน่
*
คนขับรถม้าเร่งมาจนถึงเส้นทาง แล้วเดินทางต่ออีกครึ่งค่อนวันถึงมองเห็นหมู่บ้าน แต่ไม่ได้พักนานนัก ก็เดินทางต่อจนมาถึงเมืองหนานเซียง
อาณาเขตของราชวงศ์เฟิงนั้นแบ่งเป็สามสิบห้าผังเมือง เมืองหนานเซียงนับว่าเป็หนึ่งในสี่ผังเมืองที่ใหญ่ที่สุด มีค่ายกลขนส่งที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง ส่วนสุสานพระราชวังนั้นใกล้กับเมืองหลวง เฟิงอวี้คิดว่าการไปสุสานจำเป็ต้องใช้ค่ายกลส่งตัวไปถึงที่นั่น ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงรถม้าหนึ่งคัน คงต้องเสียเวลาเดินทางยาวนานเกินไป
เมื่อคนขับรถม้าส่งทั้งสองถึงที่ ก็รับเงินมาจากเฟิงอวี้ แล้วรีบทำท่าจะไป ราวกับว่าอยู่กับเขาต่อแม้เพียงเสี้ยววินาทีก็อาจได้รับความโชคร้าย
เฟิงอวี้หมุนลูกประคำในมือ จ้องมองหลังคนขับรถม้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเก็บซ่อนแววตาสีแดง ก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
คนขับรถม้าสะดุ้ง แล้วหันกลับมามองเขา ก็เห็นนักบวชน้อยรูปโฉมงดงามประดับด้วยแววตายิ้มแย้ม ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องไปทั้งร่าง
แต่เขากลับรู้สึกเพียงว่าหลังนั้นเย็นวาบ ความเยือกเย็นบางอย่างห้อมล้อมรอบตัวเขา เขากล่าวเพียงว่าไม่ต้องขอบคุณ แล้วรีบเดินจากไป
เมืองหนานเซียงนับว่าเป็หนึ่งในสี่เมืองใหญ่แห่งราชวงศ์เฟิง ความเจริญนับเทียบเคียงได้กับเมืองใหญ่ในปัจจุบันที่อวี๋มู่เคยเห็น
ประกอบกับโลกใบนี้มีแต่ิญญาเต็มไปหมด คนส่วนใหญ่ต่างก็มีวิชาคาถาอยู่ไม่มากก็น้อย และยังมีคนใช้สิ่งนี้มาทำมาหาเลี้ยงชีพ สิ่งของแปลกประหลาดมากมายทำเอาอวี๋มู่มองจนตาลาย
นี่เป็ครั้งแรกที่เฟิงอวี้เข้ามาสู่สิ่งแวดล้อมที่วุ่นวายเช่นนี้ พลันขมวดคิ้วเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร
แต่ความไม่คุ้นชินก็ถูกความแปลกใจแทนที่
ด้วยความที่เขาก็ถูกกักขังมายาวนาน สิ่งที่เคยพบเจอก็น้อยนิด เมื่อกลับถึงวัดหนานหลัวก็ได้แต่เรียนรู้เื่ราวพวกนี้ผ่านตำรา พอวันนี้ได้เห็นกับตา ก็เป็ธรรมดาที่จะรู้สึกแปลกใหม่
เขายืนอยู่ท่ามกลางกระแสผู้คนตรงขอบข้างทาง แล้วล้วงฝ่ามือเข้าไปในแขนเสื้อ “โยมอวี๋ เ้าก็ขึ้นมาเถอะ อาตมาร่ายคาถาบนตัวเ้าไว้ คงไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนเ้าได้”
คำพูดนี้ชัดเจนมากแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้หย่งอวี้ไม่สามารถร่ายคาถาเวทมนตร์ได้ พอตอนนี้เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกอวี๋มู่อย่างโจ่งแจ้งว่า เขานั้นผสานรวมกันแล้ว และรอแค่ปฏิกิริยาของอวี๋มู่
แต่อวี๋มู่ยังคงแสร้งทำเป็ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เขายืนอยู่บนฝ่ามือของเฟิงอวี้ ก่อนจะถูกนำมาวางไว้บนบ่าของนักบวชน้อย โดยนั่งอยู่บนนั้นใกล้ลำคอเขา แล้วเอ่ย “ลำบากท่านอาจารย์แล้ว”
เฟิงอวี้ขมวดคิ้ว และไม่คิดจะกล่าวอะไรมาก จึงพาอวี๋มู่ไปหาโรงเตี๊ยม ตอนที่เ้าของโรงเตี๊ยมถามว่าจะเอากี่ห้อง อวี๋มู่เกาะอยู่ตรงใบหูนักบวชน้อยแล้วเอ่ย “ท่านอาจารย์ ขอสองห้องเถอะ ข้า้านอนคนเดียว”
ต่อมา เขาเห็นเฟิงอวี้ผงกหัว ใบหน้าไม่เปลี่ยนสีแล้วเอ่ยกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า “เถ้าแก่ ขอหนึ่งห้อง”
“…”
เ้าบ้า
เมื่อกลับถึงห้อง เฟิงอวี้ก็เอ่ยปากอธิบาย “โยมอวี๋ บนตัวเ้ามีคาถาพรางกาย พวกเขามองไม่เห็นเ้า แต่หากว่าขอสองห้อง อาจทำให้คนสงสัย อีกอย่าง ระหว่างทางที่มา ข้าเห็นเหล่านักพรตที่ไล่จับิญญาอยู่มากมาย เ้านั้นอ่อนแอเป็พิเศษ หากอยู่ห่างจากข้า แล้วถูกคนเ่าั้จับไป เ้าจะให้อาตมาทำตัวเช่นไร? ”
“…” ดูสิดู ที่พูดนี่มันใช่ภาษาคนหรือ? ใช่ภาษาคนหรือเปล่า?
คำแก้ตัวถูกพูดออกมาเป็ชุด ทำเอาอวี๋มู่กล่าวไม่ออก
กล่าวไปกล่าวมา ก็ยังกลายเป็อวี๋มู่ที่ผิด
“ขออภัย อาจารย์ เพราะข้าไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง”
เฟิงอวี้มีสีหน้าสุขุม “โยมอวี๋เข้าใจได้ก็ดีมากแล้ว”
*
ทั้งสองพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมเพียงครู่เดียว ท้องฟ้าก็มืดมิดลง
ค่ำคืนของเมืองหนานเซียงนั้นคึกคักกว่ากลางวัน บนถนนหนทางมีโคมไฟสว่าง ผู้คนจอแจขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย เสียงดังคึกคักได้ยินมาถึงที่พักของเฟิงอวี้กับอวี๋มู่
เฟิงอวี้มองออกไปทางหน้าต่างด้านล่าง จากนั้นก็ดึงมืออวี๋มู่ แล้วเผยลักยิ้มสองข้ามยิ้มให้เขา
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง! ”
มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างจู่โจมในจิตใจของอวี๋มู่ เขาเอ่ยถาม “ไปไหนหรือ? ”
นักบวชน้อยยิ้มเริงร่ากว่าเดิม แล้วตอบเขาด้วยคำสี่คำ
“โรงโสเภณี”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] รบนอกสนาม 野战 อ่านว่า yě zhàn คือการรบนอกเขตเมือง (ถ้าแปลตรงตัวเลยคือการรบในป่า) ส่วนอีกความหมายหนึ่งก็คือเพนท์บอลตามที่เข้าใจกัน ซึ่งไม่แปลกอะไรใครๆก็เล่นกัน แต่ถ้าเป็สแลงจะหมายถึงการมีอะไรกันแบบเอาต์ดอร์ หรือร่วมรักกันนอกสถานที่
