ยามอยู่บ้านเด็กทั้งสี่ก็กินอาหารเพียงสองมื้อ จึงไม่รู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด นอกจากนั้นตอนเช้าเมื่อพวกเขามาถึงบ้านหลี่ก็ให้ทุกคนกินไข่ไก่คนละหนึ่งฟองและแป้งย่างต้นหอมอีกคนละสองชิ้นแล้ว ในละแวกหนึ่งร้อยลี้นี้มีบ้านใดบ้างที่เตรียมอาหารให้คนงานดีเช่นนี้ หากยังไม่รู้จักพอก็ควรละอายแล้ว
ไหนเลยหลี่ซานจะปล่อยให้บุตรีสุดที่รักไม่ได้กินข้าว จึงรีบมาทำงานแทน
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ประเดี๋ยวข้ากินข้าวเสร็จแล้วจะมาเปลี่ยนกับท่านนะเ้าคะ” หากรีบเร่งทำงานจะเกิดความผิดพลาดได้ ต่อให้ยุ่งเพียงใดก็ห้ามกระวนกระวายเป็อันขาด
“ข้าไม่นอนแล้ว” หลี่ซานกินอาหารกลางวันแล้วจึงไม่อยากนอนอีก คนที่สมควรนอนกลางวันก็คือ หลี่หรูอี้ ไม่ใช่เขา
ตอนไปทำงานสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยน เขาทำงานั้แ่เช้าจรดเย็น ไหนเลยจะมีเวลานอนกลางวัน เมื่อก่อนปลูกผักทำนาก็ยุ่งจนไม่มีเวลานอนพักเช่นกัน
ทุกคนดูยุ่งวุ่นวายทั้งวันจนทำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานออกมาได้ทั้งหมดเจ็ดร้อยสามสิบชิ้น
หลี่หรูอี้รอจนกระทั่งเด็กทั้งสี่กินข้าวเสร็จ จึงค่อยจ่ายค่าแรงแล้วให้พวกเขากลับบ้านไป
หลี่สือเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หรูอี้ โม่ถั่วเหลืองเสร็จแล้ว รอเ้าไปทำดีเกลือ” ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเต้าหู้ แต่ก็ยังรู้สึกดีอกดีใจถึงเพียงนี้
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หลี่หรูอี้จงใจไม่ให้เด็กทั้งสี่เห็นขั้นตอนการทำเต้าหู้ นางยอมขายตอนบ่ายให้น้อยหน่อย แต่ไม่ยอมปล่อยให้สูตรการทำเต้าหู้เล็ดลอดออกไปเด็ดขาด
หลี่ซานรีบขับเกวียนที่มีเต้าหู้สามร้อยกว่าชั่งและเต้าฮวยอีกสองถังใหญ่ออกไปจากบ้าน หลี่หรูอี้ง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้นจึงรีบไปนอนพัก
หลี่สือยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่มากจึงทำความสะอาดครัวและลานด้านหลัง เขาขยันราวกับผึ้งงานตัวน้อย
จ้าวซื่อกำลังนั่งอาบแดดอยู่ที่ลานบ้าน มีสุนัขสองตัวหมอบอยู่ข้างเท้า มันหรี่ตาเสพสุขไปกับแสงแดด
อู่โก่วจื่อแบกตะกร้าใบหนึ่งเข้ามา กล่าวทักทายจ้าวซื่อและหลี่สือ จากนั้นจึงวางตะกร้าลงแล้วหยิบเนื้อหมูชิ้นใหญ่ออกมาจากด้านใน “เนื้อหมูชิ้นนี้ข้าซื้อมาให้พวกท่านกินเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อเห็นอู่โก่วจื่อสวมเสื้อผ้าเก่าและขาด ผมยาวถูกมวยขึ้นไปเรียบร้อย แต่ใช้ผ้าสีแดงผูกไว้ ดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนมาก นางยิ้มตอบไปว่า “เหตุใดต้องเกรงใจถึงเพียงนี้เล่า?”
“ข้าไม่ได้เกรงใจ หรูอี้ช่วยข้า ข้าย่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก เนื้อหมูเพียงเท่านี้ไม่นับเป็อะไรได้” อู่โก่วจื่อสนิทสนมกับบ้านหลี่เป็อย่างยิ่ง นางนำเนื้อหมูเข้าไปที่ห้องครัว จากนั้นจึงหาชามไม้มาใส่
จ้าวซื่อชอบที่อู่โก่วจื่อซื่อสัตย์และรู้จักบุญคุณ จึงพูดชมเชยไปว่า “เ้าเป็เด็กฉลาดและมีความสามารถ ตัวเล็กเพียงเท่านี้ก็หาเงินได้แล้ว”
อู่โก่วจื่อยิ้มเจื่อน สะพายตะกร้าขึ้นหลังแล้วกล่าวเสียงแ่ “ท่านน้า หรูอี้หลับไปแล้ว ตอนเย็นข้าจะมาหานางใหม่นะเ้าคะ”
หลี่หรูอี้นอนหลับไปครึ่งชั่วยาม ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก เมื่อได้ยินเสียงเด็กหญิงอันคุ้นเคยดังแว่วมา จึงะโไปว่า “อู่โก่วจื่อข้าตื่นแล้ว เ้ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
อู่โก่วจื่อเคาะประตู เมื่อได้รับคำอนุญาตจึงผลักประตูเข้าไป เห็นหลี่หรูอี้กำลังนั่งอยู่ที่ข้างเตียง แก้มทั้งสองแดงปลั่งราวกับนำสีแดงมาทา เพิ่งอายุเก้าขวบก็ปรากฏความงามแล้ว จึงอดกล่าวชมไม่ได้ว่า “เ้าดูดีกว่าเมื่อก่อนแล้ว”
“เ้าก็เช่นกัน” หลี่หรูอี้ชี้ไปที่เก้าอี้เก่าๆ บอกให้อู่โก่วจื่อนั่ง จากนั้นจึงถามว่า “เหตุใดวันนี้จึงมีเวลามาหาข้าเล่า?”
อู่โก่วจื่อได้ยินเื่ที่บ้านหลี่จ้างคนงานในวันนี้แล้ว หลี่หรูอี้ช่วยเหลือตนมากมาย ทว่ายามที่บ้านหลี่้าคนกลับไม่ยอมมาหานางและซื่อโก่วจื่อ เพราะไม่อยากทำให้พวกนางเสียเวลาขายของ แต่การค้าของนางทำต่อไปไม่ไหวแล้ว นางขมวดคิ้วบอกไปว่า “หรูอี้ หลายวันมานี้ที่ตลาดในตำบลจินจีและอำเภอฉางผิง มีคนขายถุงเงินไหมผสานเลียนแบบข้าแล้ว ราคาต่ำกว่าข้าเสียอีก”
หลี่หรูอี้คิดในใจว่า ถุงเงินไหมผสานมีขั้นตอนการทำที่ไม่ยาก เมื่อถูกคนเลียนแบบก็เป็สิ่งที่อยู่ในความคาดหมาย ไม่รู้ว่าอู่โก่วจื่อควบคุมปริมาณสินค้าตามคำแนะนำของนางหรือไม่ เมื่อคิดได้ดังนี้จึงถามไปตามตรง “ถุงเงินของเ้ายังเหลืออีกเท่าใด”
หากอู่โก่วจื่อไม่ฟังคำแนะนำของหลี่หรูอี้ และทำสินค้าออกมามากเกินไป แล้วคราวนี้ขายไม่ออกจะต้องเสียหายจำนวนหนึ่ง
“ข้าขายหมดแล้ว” อู่โก่วจื่อชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาหม่นหมอง “เมื่อวานข้าเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงลดราคา ขายออกไปถูกๆ” เมื่อลดราคาแล้วทำให้ได้เงินน้อยลงเกือบร้อยทองแดง
หลี่หรูอี้ถามต่อไป “ขาดทุนหรือไม่”
อู่โก่วจื่อรีบตอบ “ไม่”
หลี่หรูอี้กล่าวชมเชย “เ้ามีไหวพริบเฉียบคมมาก สามารถรู้ทันความเคลื่อนไหวที่ไม่ดีในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ขาดทุน รีบขายออกไปเช่นนี้เป็เื่ที่ถูกต้องแล้ว”
อู่โก่วจื่อไม่ได้รับคำดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับได้รับคำชมเชยแทนจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อหัวเราะแล้วก็กล่าวว่า “หรูอี้ ระยะนี้ข้าหาเงินได้มากถึงสามตำลึงกว่าเลยทีเดียว”
สำหรับอู่โก่วจื่อแล้ว เงินสามตำลึงกว่านับเป็เงินจำนวนมหาศาล ในมือบิดามารดาของนางยังไม่มีเงินมากเพียงนี้
“ไม่เลว” หลี่หรูอี้เห็นความหดหู่ปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของอู่โก่วจื่อ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เ้าหาเงินได้มากแล้ว แต่กลับถูกผู้อื่นแย่งชิงกิจการ ต่อไปก็ไม่สามารถหาเงินได้อีก จึงรู้สึกผิดหวังหดหู่ ใช่หรือไม่”
“ใช่” อู่โก่วจื่อไม่นับเป็คนนอก จึงกล่าวขอร้องไปว่า “หรูอี้คนดี ข้ายังอยากทำการค้าอยู่ เ้าช่วยข้าคิดหาวิธีได้หรือไม่”
ั้แ่เมื่อวานที่จัดการลดราคาและขายถุงเงินทั้งหมดออกไป นางและซื่อโก่วจื่อก็เริ่มคิดทำการค้าใหม่ ผลปรากฏว่าคิดมาจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออก เด็กอายุเท่านี้หากไม่มีสมองอันชาญฉลาดก็มีเพียงพละกำลัง แต่เอาไปใช้หาเงินไม่ได้
“หลายวันมานี้ เ้ากับพี่ชายเหนื่อยล้ามากแล้ว พักผ่อนสักหลายวันก่อนเถิด รอให้ข้าคิดได้แล้วจะไปบอกเ้า” เมื่อ หลี่หรูอี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็หยิบกระจกทองแดงธรรมดาที่ไม่สลักลวดลายใดๆ ออกมาจากใต้หมอน กระจกนี้เป็ของที่พี่ชายทั้งสี่รวมเงินกันซื้อให้นาง นับเป็ของฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่งของหมู่บ้านหลี่
“ได้ ข้าฟังคำเ้า” อู่โก่วจื่อยื่นหน้าเข้ามาด้วยความดีอกดีใจ มองใบหน้าของตนในกระจก อวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายก็มิได้ดูโดดเด่นเท่าหลี่หรูอี้ แต่กลับมีรอยยิ้มกว้างจนถึงขั้นยัดหมั่นโถวเข้าไปได้ลูกหนึ่งเลยทีเดียว ท่าทางดูเซ่อซ่ายิ่งนัก
“พวกพี่ชายมอบให้ข้า” หลี่หรูอี้ชูกระจกในมือขึ้นอย่างอดไม่ได้ ใช้อีกมือหนึ่งสอดเข้าไปใต้หมอน หยิบหวีไม้ออกมาแล้วเริ่มส่องกระจกแปรงผม
“มือข้ามีกลิ่นคาวของเนื้อหมู มิเช่นนั้นข้าคงช่วยเ้าแปรงผมแล้ว” อู่โก่วจื่อมองไปยังผมที่ดำขลับของหลี่หรูอี้ จากนั้นจึงมองไปยังใบหน้าเล็กๆ อันแดงระเรื่อของอีกฝ่าย พลางคิดในใจว่า เมื่อหลายเดือนก่อนผมของหลี่หรูอี้ยังหยาบกระด้างเช่นเดียวกับตนอยู่เลย ดูท่าทางคงได้กินดี ทั้งสีหน้าและเส้นผมจึงดูดีขึ้นมาก นางต้องหาเงินให้มากๆ เพื่อให้ครอบครัวของตนกินดีอยู่ดีให้ได้ แต่ละคนจะได้มีสีหน้าสดชื่นและมีผมดำขลับเช่นหลี่หรูอี้
หลี่หรูอี้คิดว่าอู่โก่วจื่อพูดถึงเนื้อหมูที่ซื้อให้บ้านตนเองจนกระทั่งออกไปจากห้องนอนจึงค่อยทราบว่า อีกฝ่ายซื้อเนื้อหมูมาให้พวกตน ทำให้อดคิดในใจไม่ได้ว่า อู่โก่วจื่อผู้นี้รู้จักบุญคุณคนเช่นเดียวกับหม่าซื่อ ทั้งๆ ที่ครอบครัวยากจน แต่ยังใจกว้างกับครอบครัวของนาง นางเพียงคิดหาวิธีทำการค้าให้ อู่โก่วจื่อกับหม่าซื่อก็นำของมามอบให้ทุกสามวันห้าวันแล้ว
อู่โก่วจื่อนั่งอยู่ครู่หนึ่งจนเห็นหลี่หรูอี้จะไปทำอาหารเย็น นางรู้ดีว่าตอนนี้เต้าหู้ของตระกูลหลี่ขายดีมาก จึงไม่อยากเข้าไปวุ่นวายในครัวให้มากความ กลัวว่าบ้านหลี่จะเข้าใจผิดคิดว่าตนมาสืบหาสูตรเต้าหู้ จึงคิดจะกลับบ้านไป
“เ้าเอาเต้าหู้กลับไปกินด้วยเถิด” หลี่หรูอี้หั่นเต้าหู้ออกมาชิ้นหนึ่ง หนักราวสามชั่งกว่า จากนั้นจึงใช้กระดาษน้ำมันห่อเอาไว้แล้วใส่ลงไปในตะกร้าของอู่โก่วจื่อก่อนกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เ้ากลับบ้านเร็วเช่นนี้เพราะกลัวท่านน้าพบเงินที่เ้าซ่อนเอาไว้ใช่หรือไม่”
“มิใช่ สถานที่ที่ข้าซ่อนเงิน กระทั่งสุนัขก็ยังหาไม่พบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาของข้าเลย” อู่โก่วจื่อกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนกลับไปพลันนึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ ดวงตาเจือประกายลึกลับ จึงกระซิบเสียงเบาว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อวานข้าเจอ ผู้ใดที่ตำบล!?”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้