่เวลาอาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าทางตะวันตกมีเมฆสีแดงซ้อนกันเป็ชั้น ราวกับเทพเซียนบนสรวง์ได้ทิ้งก้อนเมฆสีแดงงดงามเอาไว้
แสงสีแดงปกคลุมทั่ววังหลวง กระเบื้องหลิวหลีส่องแสงระยิบระยับ
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนเดินออกจากห้องตำรา เห็นหรูอี้รีบร้อนเข้ามาจึงถามออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”
หรูอี้พูดเสียงเบา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “อวี้หวางมาเพคะ ตอนนี้รอเตี้ยนเซี่ยอยู่ที่ตำหนักใหญ่”
คิ้วของมู่หรงฉือขมวดเข้าหากัน เขามาทำไมกัน?
หรูอี้ถามอีก “เตี้ยนเซี่ย อวี้หวางอยู่ที่นี่ จะต้องยกอาหารมาหรือไม่เพคะ?”
เมื่อครู่ มู่หรงฉือเห็นพระอาทิตย์ตกแล้ว ส่วนฉินรั่วไม่มีทางกลับมาไวขนาดนั้น นางจึงสั่งให้หรูอี้ยกอาหารมาแล้วเชิญเสิ่นจือเหยียนทานอาหารด้วยกัน รอฉินรั่วกลับมา
“ยกอาหารมาแล้วกัน”
มู่หรงฉือส่งสัญญาณให้เสิ่นจือเหยียน ก่อนจะไปที่ตำหนักใหญ่ด้วยกัน
ภายในตำหนัก มู่หรงอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้แกะสลัก เนื่องจากด้านนอกพระอาทิตย์กำลังตกจึงเหลือแสงสีทองเรืองรองเอาไว้ ภายในตำหนักมืดสลัว เขาถูกเงานั้นปกคลุม ใบหน้าขาวสะอาดหล่อเหลาราวกับเทพเ้า ให้ความรู้สึกเ็าราวรูปสลักที่ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากเมฆหมอกอย่างช้าๆ
เสิ่นจือเหยียนโค้งคำนับ “คารวะท่านอ๋อง”
มู่หรงอวี้ลุกขึ้น ไม่มองเขาเลยแม้แต่นิด สายตามองไปที่นาง “ได้ยินมาว่าเตี้ยนเซี่ยถูกลอบทำร้ายได้รับาเ็ เปิ่นหวางจึงมาดูอาการาเ็ของเตี้ยนเซี่ยแทนฝ่าา”
“ท่านอ๋องมีน้ำใจแล้ว เปิ่นกงไม่ได้เป็อะไร แค่แผลถากๆ เล็กน้อยเท่านั้น” มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น “ฟ้ามืดแล้ว ท่านอ๋องยังไม่กลับจวนหรือ?”
“เสิ่นเซ่าชิงกำลังสืบคดีหรือ?” มู่หรงอวี้ถามออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย ความนัยในคำพูดก็คือ ทีเขายังไม่ออกจากวัง เหตุใดเปิ่นหวางจะต้องรีบ?
“เปิ่นกงยังมีเื่ที่จะต้องปรึกษากับจือเหยียน” นางมองเขาตาใส ไล่แขกอย่างซื่อๆ : เปิ่นกงไม่ต้อนรับเ้า
เสิ่นจือเหยียนยิ้มอยู่ด้านข้าง ยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างจะเป็ตะคริวแล้ว
เขารู้สึกมาตลอดว่าคำพูดและการกระทำของอวี้หวางแปลกอยู่เล็กน้อย แต่กลับบอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหน
อย่างตอนนี้ เขารู้สึกว่าั์ตาดำสนิททั้งสองของอวี้หวางเหมือนอยากจะกลืนกินตน แล้วก็รู้สึกว่าในอากาศเหมือนจะมีกลิ่นเปรี้ยวลอยมาอ่อนๆ
ความรู้สึกเช่นนี้แปลกมาก ไม่สามารถจับต้องได้ แต่กลับสมจริงเหลือเกิน
“เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมค่อยมาอีกทีตอนเช้าก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้เขาจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงตนเองเพียงเพราะมีคนพอใจหรือไม่พอใจ แต่ว่าฟ้ามืดแล้วจะอยู่ในตำหนักบูรพาก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่จริงๆ
มู่หรงฉือยิ้มแล้วมองเขา “อีกเดี๋ยวฉินรั่วก็จะกลับมาแล้ว”
รอยยิ้มนี้เหมือนกับแสงแรกของตะวันยามเช้า งามจนดอกกุหลาบที่งดงามก็ไม่อาจเทียบ
เป็ครั้งแรกที่มู่หรงอวี้รู้สึกว่าเสิ่นจือเหยียนขัดหูขัดตา เหตุใดเตี้ยนเซี่ยจะต้องยิ้มอย่างดีใจให้เขาเช่นนี้?
ส่วนนางยามเผชิญหน้ากับตน หากไม่ทำหน้าตาเย่อหยิ่ง ก็พูดจากระทบกระเทียบ วางอำนาจบาตรใหญ่
หรูอี้พาข้าหลวงนำอาหารเย็นมาถึงหน้าตำหนักแต่กลับไม่กล้าเข้าไป เพียงยืนรออยู่ด้านข้าง
กลิ่นหอมของอาหารเย็นลอยตามลมเข้ามาในตำหนัก
มู่หรงฉือมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที หรูอี้มาได้ผิดเวลาจริงๆ ตอนนี้เขาคงจะไม่...หรอกมั้ง
เป็ไปอย่างที่คิด
“เสิ่นเซ่าชิงจะทานอาหารที่ตำหนักบูรพาหรือ? เปิ่นหวางหิวพอดี เช่นนั้นคงต้องขอร่วมทานอาหารที่ตำหนักบูรพาแล้ว”
มู่หรงอวี้พูดออกมาอย่างอารมณ์ดีแล้วมองนางด้วยท่าทางสนุก สายตานั้นเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ความร้ายกาจแผ่กระจายออกมา
มุมปากของนางยกขึ้น “ได้เชิญท่านอ๋องทานอาหารด้วยกันนับเป็เกียรติของเปิ่นกงยิ่ง เพียงแต่เกรงว่าอาหารของตำหนักบูรพาจะไม่ถูกปากท่านอ๋อง”
“เปิ่นหวางไม่เหมือนกับบรรดาลูกหลานจากตระกูลขุนนางเ่าั้ที่ั้แ่เด็กก็กินดีอยู่ดี มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ เติบโตอยู่ในกองผ้าแพร ได้ทานอาหารดีๆ สวมเสื้อแพร ออกจากเรือนมีรถม้ามาเกย กระดูกอ่อนไปหมดทั้งตัว” เขาตอบ
เสิ่นจือเหยียนรู้สึกว่า หากตนไม่ได้คิดผิด ที่ท่านอ๋องด่าก็คือเขา?
ั์ตาของมู่หรงฉือหดลง ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการผู้แสนเ็าก็รู้จักพูดจาเหน็บแนมขนาดนี้ได้ด้วย?
“ั้แ่เด็กท่านอ๋องก็อยู่ในกองทัพ ฝึกตนจนกระดูกแข็งแรงประหนึ่งเหล็กกล้า กระหม่อมนับถือยิ่งนัก ทั้งยังรู้สึกทึ่งกับความแข็งแกร่งกับรูปลักษณ์แห่งทหารชายแดน” เสิ่นจือเหยียนยิ้มอ่อน ราวต้นไม้ที่เจอสายลมพัดใต้แสงจันทร์
“หรูอี้ ตั้งโต๊ะ” มู่หรงฉือสั่งเสียงเย็น
หรูอี้กับข้าหลวงพากันเข้าไปในตำหนัก เพียงครู่เดียวก็จัดอาหารเลิศรสขึ้นเต็มโต๊ะ
ต่อมา หรูอี้กับข้าหลวงสองคนตักข้าวสามถ้วย วางคู่กับตะเกียบเงินก่อนจะถอยไปยืนอยู่ด้านหลัง
ทั้งสามคนเข้าประจำที่ มู่หรงฉือคลี่ยิ้มเอ่ย “ท่านอ๋อง จือเหยียน ไม่ต้องเกรงใจ”
เสียงเรียก “จือเหยียน” กับเสียงอ่อนโยนเมื่อครู่ช่างระคายหูมู่หรงอวี้เป็อย่างยิ่ง
เสิ่นจือเหยียนซดน้ำแกงดอกบัวไปคำหนึ่ง ยิ้มแล้วเอ่ยชม “น้ำแกงดอกบัวนี่รสชาติดีมากจริงๆ”
มู่หรงอวี้มือถือถ้วยข้าว จ้องรอยยิ้มของเสิ่นเซ่าชิงด้วยใบหน้าเ็า
เสิ่นจือเหยียนที่เดิมร่าเริงพลันเปลี่ยนเป็หวาดกลัว ก้มหน้าลงพุ้ยข้าวทันที
มู่หรงฉือตักน้ำแกงขึ้นมาใส่ถ้วยไปสามช้อนแล้ววางลงตรงหน้าเขา “จือเหยียน ลองชิมน้ำแกงผักขึ้นฉ่าย”
“ขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ย”
เขาใที่จู่ๆ ก็ได้รับความเอ็นดู แต่ก็รับน้ำแกงยกขึ้นมาชิม แล้วเอ่ยชมความอร่อย จากนั้นก็มองไปยังบุรุษข้างกายอย่างไม่ตั้งใจ
มู่หรงอวี้ส่งถ้วยกระเบื้องขาวให้นาง แต่กลับไม่พูดสิ่งใด เพียงแค่มองไปทางนาง
“ท่านทำอะไร?” นางคาดเดาเจตนาของเขาได้ แต่ยังจงใจถามเหมือนไม่เข้าใจ
“น้ำแกงผักขึ้นฉ่าย” เขาพูดเสียงทุ้มง่ายๆ สามคำ
พระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าทางตะวันตกยังเหลือเค้าลางของเมฆอยู่ ทั่วพระราชวังปกคลุมไปด้วยแสงสลัวที่ส่องลงมาจากฟ้า
ในตำหนักมืดสลัว ข้าหลวงเริ่มจุดเทียนเพิ่มแสงสีแดงให้ตะเกียงไม้ไผ่แผ่กระจายออกมา
ใบหน้าหล่อเหลาเ็าของมู่หรงอวี้ปรากฏแสงสีแดงพาดผ่าน ราวกับจะเพิ่มความอบอุ่นขึ้นมาสักหน่อย
มู่หรงฉือวางถ้วยน้ำแกงทั้งหมดไว้ตรงกลาง ความหมายคือให้เขาตักเอาเอง
เสิ่นจือเหยียนก้มหน้าซดน้ำแกง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย รู้สึกว่าอาหารเย็นมื้อนี้ไร้รสชาติลงเรื่อยๆ
ความรู้สึกเสียวสันหลังเช่นนี้จะรู้สึกดีได้หรือ?
ไม่ถูกสิ เป็ความรู้สึกเหมือนถูกมีดจี้อยู่ที่อก
แววตาของมู่หรงอวี้เข้มขึ้นหลายส่วน ก่อนจะตักน้ำแกงขึ้นมาใส่ถ้วยสองช้อน แล้วยกซดด้วยท่วงท่าสง่างาม
“เสด็จพี่...เสด็จพี่...”
เสียงใสราวกระดิ่งเงินดังมาแต่ไกล คนยังไม่ถึงเสียงก็ดังแทรกอากาศมาก่อนแล้ว
คนที่เรียกมู่หรงฉือในวังเช่นนี้มีเพียงองค์หญิงจาวฮวาเท่านั้น
พริบตาก็เห็นมู่หรงฉางก็ถลกกระโปรงวิ่งถลาลมมาจนหอบหายใจไม่ทัน พวงแก้มทั้งสองข้างของนางแดงระเรื่อ ราวกับมีดอกท้อสองดอกลอยอยู่
“เสด็จพี่ ท่านอ๋อง...”
นางจ้องมู่หรงอวี้ ก่อนจะรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ดูจะเกินไปสักหน่อย จึงก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย สีแดงเรื่อที่แก้มก็ยิ่งเข้มขึ้น
มู่หรงฉือทั้งๆ ที่รู้ก็จงใจถามออกไป “น้องสาว เ้ามายามนี้มีเื่อะไรหรือ?”
ความคิดของจาวฮวา นางมีหรือจะไม่รู้?
เพราะว่าจาวฮวารู้ว่ามู่หรงอวี้ ‘มาเยี่ยม’ จึงวิ่งตามมาทันที เพียงเพื่อจะได้อยู่ใต้ชายคาเดียวกับเขา ‘อย่างเปิดเผย’
“ได้ยินว่า...เสด็จพี่ถูกลอบสังหารได้รับาเ็ หม่อมฉันจึงมาเยี่ยมเสด็จพี่เพคะ...” ในที่สุดสายตาหลงใหลของมู่หรงฉางก็ผละออกจากร่างเขา ยามนี้ลมหายใจของนางกลับมาเป็ปกติแล้ว นางแสดงท่าทางสำรวมตนขององค์หญิง ถามเสียงอ่อนโยน “เสด็จพี่ าแของท่านไม่สาหัสใช่หรือไม่”
“เปิ่นกงไม่ได้เป็อะไร” มู่หรงฉือยิ้มน้อยๆ
“หอมยิ่งนัก เสด็จพี่ หม่อมฉันยังไม่ได้ทานอาหาร ขอทานด้วยได้หรือไม่เพคะ?”
มู่หรงฉางถามอย่างเกรงใจ หากเป็แต่ก่อนนางคงนั่งลงอย่างไม่เกรงใจแล้ว
แต่เพราะตอนนี้มู่หรงอวี้อยู่ที่นี่ นางจึงต้องทำท่าทางสำรวมสูงส่งอย่างองค์หญิงผู้ใจกว้าง
ตอนที่เสิ่นจือเหยียนได้ยินนางพูดคำนี้ สายตาก็มองไปทางอวี้หวาง คาดเดาได้หลายส่วน
มู่หรงฉือพยักหน้า มู่หรงอวี้ทานต่อด้วยท่าทางงามสง่าน่าหลงใหล รอบข้างจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเขา
มู่หรงฉางนั่งลงข้างเขา ข้าหลวงรีบเอาชามตะเกียบมาให้นาง
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนสบตาอย่างเข้าใจกัน
ถึงแม้มู่หรงอวี้จะไม่ได้มองพวกเขา แต่หางตาเหลือบมองเห็นคนทั้งสองสบตากัน
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอาหารพวกนี้ไร้รสชาติสิ้นดี
สายตาของมู่หรงฉางมองไปที่ใบหน้าของท่านอ๋องราวกับมองลูกกวาดรสนม ในดวงตาคู่งามมีเขาอยู่เพียงผู้เดียว ทานอาหารไปใจก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าใด
“ท่านอ๋อง นักฆ่าที่มาลอบสังหารเสด็จพี่เป็ใครหรือเพคะ?” นางถามเสียงอ่อนเสียงหวานราวจนแทบมีน้ำตาลหยด
“องค์หญิงควรจะถามองค์รัชทายาทเอง” มู่หรงอวี้ตอบเสียงเรียบ น้ำเสียงทุ้มต่ำเหมือนปกติ
นางเหมือนจะได้ยินเสียงน่าหลงใหลนี้เป็ครั้งแรก ดวงตาที่มองเขาเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่เปล่งประกาย ทั้งยังเหมือนมีฟองอากาศผุดพรายขึ้นมาเป็สีชมพู
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมองหน้ากันอีกครั้งอย่างหมดคำพูด
ปัญหานี้ควรจะถามคนที่โดนลอบสังหารถึงจะถูกมิใช่หรือ?
“ท่านอ๋อง เหตุใดคนร้ายถึงได้ลอบสังหารเสด็จพี่เล่าเพคะ?”
มู่หรงฉางกระพริบตาใส ยิ้มหวานหยดย้อย
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนยกมุมปาก ก่อนจะพุ้ยข้าวทานเงียบๆ
มู่หรงอวี้ไม่ได้ตอบ นิ้วมือเรียวยาวยกถ้วยกระเบื้องขาวขึ้นมาดื่มน้ำแกง
“ท่านอ๋อง นักฆ่าคนนั้นลอบสังหารเสด็จพี่เพราะในวังไม่ค่อยสงบใช่หรือไม่? ตำหนักจิ่งหงของเปิ่นกงจะไม่เกิดเื่ใช่หรือไม่? จะมีนักฆ่ามาลอบสังหารเปิ่นกงหรือไม่?” ขนตางอนของมู่หรงฉางกระพริบช้าๆ งามสะกดใจคน “ฟ้ามืดแล้ว อีกเดี๋ยวท่านอ๋องไปส่งเปิ่นกงที่ตำหนักจิ่งหงได้หรือไม่เพคะ?”
“เปิ่นหวางจะให้องครักษ์อารักขาส่งองค์หญิงให้มากหน่อย” มู่หรงอวี้ไม่ได้มีท่าทีโกรธแต่อย่างใด ดวงหน้าหล่อเหลาสง่างามเหมือนกับดอกตงเหมยแย้มบานท่ามกลางหิมะ
“น้ำแกงผักขึ้นฉ่ายเป็สิ่งที่เปิ่นกงชอบมากที่สุด ท่านอ๋องทานเยอะๆ เพคะ”
นางหยิบถ้วยกระเบื้องขาวของเขา ตักน้ำแกงที่เหลือใส่ลงในถ้วย จากนั้นก็ส่งให้เขา หัวเราะเสียงใส “ท่านอ๋องทานสักหน่อยเถิดเพคะ”
มู่หรงอวี้รับถ้วยกระเบื้องสีขาวมา แต่กลับลุกขึ้นแล้วยื่นไปวางลงตรงหน้ามู่หรงฉือ พูดเสียงทุ้ม “เตี้ยนเซี่ยทานน้อย เอาของพวกนี้ไปทานให้หมดเถิด”
เสิ่นจือเหยียนยกนิ้วชี้ขึ้นลูบจมูก มู่หรงฉือพูดหน้านิ่ง “เปิ่นกงอิ่มแล้ว น้องสาว เ้าทานเถิด”
ถ้วยที่มู่หรงอวี้ทานไปแล้ว มีแต่ผีเท่านั้นล่ะที่จะทานต่อ!
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานของมู่หรงฉางในที่สุดก็มีความเปลี่ยนแปลง ริมฝีปากแดงเม้มอย่างเริ่มไม่พอใจเสียแล้ว
เขาเอาน้ำใจของนางไปให้คนอื่น!
แม้ว่า “คนอื่น” คนนั้นจะเป็พี่ชายของนางก็ไม่ได้!
แต่ว่า เห็นแก่ที่เสด็จพี่ยอมถอยให้นาง นางจะไม่คิดเล็กคิดน้อยก็แล้วกัน!
อีกอย่าง นี่เป็ถ้วยที่อวี้หวางใช้แล้ว มีน้ำลายของเขาอยู่ก็ดีไม่ใช่หรือ?
คิดถึงตรงนี้ นางก็ยกถ้วยกระเบื้องขาวขึ้นมาแล้วตักน้ำแกงขึ้นดื่มทีละคำเล็กๆ ประหนึ่งเป็ของล้ำค่าในใต้หล้า ราวกับน้ำค้างพันปีจากแดนเซียน ต้องละเลียดทานจะได้หวนคิดถึงรสชาติ ถึงจะไม่ผิดต่อรสชาติแสนอร่อยนี้
เสิ่นจือเหยียนก้มหน้าลงอย่างรับไม่ได้ ไม่อาจมองท่าทีเกินจริงของนางไหว
มู่หรงฉือกุมขมับอย่างหมดคำพูด จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกจี๊ดๆ พุ่งเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม นางเหลือบตามองไปเงียบๆ เห็นมู่หรงอวี้มองมาที่นาง สายตาแหลมคมของเขาราวกับแทงเข้ามายังสมองของตน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้