ผ่านไปหลายวันเฉียวลู่ยังคงขึ้นเขาทุกวันและตัดต้นไม้ซ่อนเอาไว้เพื่อรอเวลาในการสร้างกระท่อมของนางใหม่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้สึกตื่นเต้นกับมันคือสมุดบันทึกเล่มนั้นของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฉียวลู่ทำงานจนลืมไปว่านางต้องสั่งของทุกวันแต่นางกลับลืมไปเสียสนิท ทำให้วันต่อมาเมื่อเฉียวลู่เปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้งข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือ สามารถสั่งได้สี่ครั้งนั่นหมายความว่าต่อให้เฉียวลู่ไม่ได้สั่งอะไรในสมุดเล่มนั้นมันก็จะสามารถทบมาอีกวันได้ นั่นเป็เื่ที่ดีเพราะจะทำให้นางไม่เสียสิทธิ์ของตน ถึงจะไม่ได้สั่งของอะไรมาก็ตาม
่นี้สิ่งที่เฉียวลู่สั่งมาทุกๆ วันคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่อ่อนโยนสำหรับเด็กทุกอย่างที่เฉียวลู่สั่งมาล้วนคำนึงถึงเด็กทั้งสองเป็อันดับแรก ตอนนี้นางพอจะเข้าใจเ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วว่ามัน้าอะไร
ดูเหมือนเ้าสมุดเล่มนี้้าให้เฉียวลู่อาศัยอยู่ที่นี่โดยที่พึ่งพาตนเองหมายถึงไม่สามารถสั่งอะไรก็ตามที่ทำให้นางรวยทางลัดโดยที่ไม่ต้องทำงานเหมือนกับว่ามันรู้ทุกอย่างที่เฉียวลู่คิด ตอนแรกที่เฉียวลู่เข้าใจในเจตนารมณ์ของมันทำเอานางหัวเสียไปหลายวัน ให้ของวิเศษมาแต่กลับมาจำกัดการใช้งานเช่นนี้มันน่าเผาทิ้งนัก ่นี้เฉียวลู่เลยไม่ได้สั่งอะไรเก็บเอาไว้สั่งของในยามฉุกเฉินแทน
ถึงของที่ใช้เนื้อหมูป่าแลกมาจะยังเหลืออยู่ไม่น้อยแต่เฉียวลู่ก็อยากทำอย่างอื่นให้ลูกชายทั้งสองของนางทานดูบ้าง วันนี้นางไม่ขึ้นเขาไปตัดต้นไม้แล้ว เพราะเฉียวลู่คิดว่าที่นางสะสมเอาไว้น่าจะพอทำบ้านหลังเล็กหนึ่งหลัง
หลายวันมานี้ถึงเฉียวลู่จะขึ้นเขาไปตัดไม้ทุกวัน แต่่บ่ายนางก็กลับลงมาเเละได้เดินสำรวจพื้นที่ในหมู่บ้านด้วย หมู่บ้านนี้อยู่กลางหุบเขามีูเาล้อมรอบหนึ่งด้านมีแม่น้ำไหลผ่านและยังมีบ่บัวขนาดใหญ่มีถนนตัดเข้าหมู่บ้านทางเดียว ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพทำนา หลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้วพวกเขาส่วนใหญ่ก็ว่างงาน มีบางครอบครัวที่ขึ้นเขาล่าสัตว์ส่วนสตรีก็เก็บของป่าแต่ไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาเพราะที่นี่บางครั้งก็มีสัตว์ร้ายออกมาเพ่นพ่านเหมือนที่เฉียวลู่เจอเ้าหมูป่าั์ในวันนั้น
วันก่อนนางเดินไปเจอสระบัวที่ยังมีน้ำอยู่ไม่มาก เฉียวลู่สังเกตเห็นว่าในน้ำมีกุ้งตัวโตอยู่ด้วย นางไม่ได้บอกใครแต่เลียบๆ เคียงๆ ถามแม่เฒ่าหลี่ได้ความว่า กุ้งไม่ค่อยเป็ที่นิยมเท่าใดนักเพราะมันเนื้อน้อยและทานยาก เมื่อได้ยินดังนั้นทำเอาเฉียวลู่ยิ้มปริ่ม นางนึกถึงหม่าล่าหม้อไฟกุ้งขึ้นมาทันที แล้วถ้าหากจับไปขายล่ะสระบัวกว้างขนาดนั้นจะมีกุ้งมากมายขนาดไหน เฉียวลู่วาดฝันไปต่างๆ นานาเพียงคนเดียว
“เด็กๆ วันนี้แม่มีเมนูอาหารที่อร่อยมากถึงมากที่สุดมาเสนอ”
อวี้หลงกับอวี้ชิงที่ตอนนี้ถูกเฉียวลู่ขุนทุกวันจนทำให้มีเนื้อหนังขึ้นมาบ้างอีกทั้งนางยังใช้ครีมอาบน้ำ และทาครีมให้เด็กทั้งสองทุกวันพวกนางสามแม่ลูกตอนนี้ขาวจนแทบเรืองแสงได้แล้ว แต่เฉียวลูไม่ได้สนใจในข้อนั้นสำหรับนางเื่ปากท้องเป็เื่ใหญ่ และเื่ของอร่อยนั้นเป็เื่ที่ใหญ่กว่า
เฉียวลู่พาเด็กๆ ถือถังไม้เดินตรงไปที่สระบัวขนาดใหญ่ที่กว้างขวางจนสุดสายตา ได้ยินจากแม่เฒ่าหลี่มาว่าหน้าแล้งจะมีชาวบ้านมาขุดรากบัวไปทำอาหารบ้างแต่ตอนนี้น้ำยังมีอยู่พวกเขาจึงยังไม่ได้สนใจมาดู นี่เป็โอกาสอันดีของเฉียวลู่แล้ว
เพราะไม่มีคนสนใจกินกุ้งในสระบัวจึงทำให้มันตัวใหญ่มากเฉียวลู่เลือกจับตัวที่ใหญ่ๆ มาหลายสิบตัวจากนั้นจึงพาเด็กทั้งสองกลับกระท่อมของตน ระหว่างทางนางได้เจอกับฉินจื่อเฉินที่กำลังแบกถึงไม้ที่มีน้ำในนั้นเพียงครึ่งเดียวเพราะมันหกจนเกือบหมดระหว่างทาง
เฉียวลู่มองฉินจื่อเฉินผ่านไปด้วยความสงสารอายุแค่นี้กลับต้องมาทำงานหนัก ไม่จะยุคนี้หรือยุคไหนการใช้แรงงานเด็กเล็กก็ไม่ควรมี แล้วตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านแม่ของเด็กคนนั้นจะยังไม่หายป่วยเพราะแบบนี้เื่ทั้งหมดในบ้านจึงเป็เขาที่ต้องรับผิดชอบแทน
เฉียวลู่กลับไปที่กระท่อมของน้อยนางโดยที่ไม่ได้พูดอะไร นางเป็คนที่มองคนค่อนข้างจะเก่ง ฉินจื่อเฉินถึงแม้จะยังเล็กแต่เขาเข้าใจเื่ของผู้ใหญ่ได้ดี และดูเหมือนว่าศักดิ์ศรีของเขาก็มีมากด้วยเช่นกัน วันนั้นถ้าหากไม่ถึงที่สุดเขาก็คงไม่ยอมมาขอความช่วยเหลือจากนางเป็แน่ นางได้แต่ถอนหายใจให้กับโชคชะตาของเด็กคนนั้นรวมทั้งของตัวนางเองด้วย
เฉียวลู่สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวไปทั้งหมดจากนั้นหันกลับมาให้ความสนใจกับกุ้งที่นางพึ่งจับมา วันนี้นางจะทำเมนูอะไรให้เ้าก้อนน้อยทั้งสองของนางกินดี เฉียวลู่หุงข้าวทิ้งเอาไว้แล้วเปิดตำราอาหารว่าด้วยเื่กุ้งทันที ไม่นานหลังจากทำความสะอาดกุ้งและแกะเปลือกเรียบร้อยแล้วนางก็ทำผัดโป๊ยเซียน ข้าวอบกุ้งด้วยหม้อดิน และทำน้ำซุปจากหัวกุ้งที่มันเยิ้มส่งกลิ่นหอม
เครื่องปรุงรสบางส่วนเฉียวลู่สั่งมาจากในสมุดบันทึกเล่มนั้นทำให้รสชาติอร่อยกว่าปกติแน่นอน นอกจากนั้นเฉียวลู่ยังทำข้าวต้มกุ้งหม้อใหญ่ กลิ่นหอมของกระเทียมเจียวโชยมาทำเอาอวี้หลงกับอวี้ชิงนั่งแทบไม่ติดเพราะความหิว จากนั้นนางจึงตักอาหารแบ่งใส่ชามยกไปที่เรือนของแม่เฒ่าหลี่
“เด็กๆ ไปส่งอาหารให้ท่านยายทวดหลี่กัน”
อวี้หลงและอวี้ชิงช่วยถือชามอย่างระมัดระวัง เฉียวลู่มองพวกเขาด้วยความเอ็นดู เมื่อมาถึงหน้าเรือนสกุลจางเฉียวลู่ก็ะโเรียกนางไม่นานแม่เฒ่าหลี่ก็เดินออกมา
“อาลู่เกิดอะไรขึ้นหรือทำไมพวกเ้าอยู่ที่นี่”
เฉียวลู่ยิ้มให้กับท่าทางที่ดูเป็ห่วงของเเม่เฒ่าหลี่อย่างจนใจ
“ใจคอท่านยายจะให้ข้าเกิดเื่ให้ได้จริงๆ ใช่หรือไม่เ้าคะ”
เฉียวลู่เอ่ยเย้าแม่เฒ่าหลี่อย่างเห็นเป็เื่ขบขัน
“เ้าเด็กคนนี้นี่”
แม่เฒ่าหลี่ค้อนให้คนที่อ่อนวัยกว่า
“ข้านำอาหารมาส่งให้ท่านเ้าค่ะ”
แม่เฒ่าหลี่มองชามที่อยู่ในมือของคนทั้งสามจากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“พวกเ้าทานกันแล้วหรือถึงได้เอามาให้ข้าทำไมไม่เก็บเอาไว้ทานพรุ่งนี้เล่า”
“ท่านรับไปเถอะเ้าค่ะ อาหารสำหรับพรุ่งนี้ยังมีเหลืออีกเยอะจนทานกันไม่ไหวแน่เ้าค่ะท่านยาย”
แม่เฒ่าหลี่ลังเลเล็กน้อยจากนั้นจึงรับอาหารที่เฉียวลู่ทำเอาไว้
“พวกเ้าเข้ามาในเรือนก่อนสิ”
“ไม่ดีกว่าเ้าค่ะท่านยายเอาไว้ครั้งหน้าเถอะวันนี้ใกล้มืดแล้วเดี๋ยวข้าต้องกลับเรือนก่อน ออพรุ่งนี้เช้าถ้าท่านว่างท่านชวนท่านอาจางกับท่านน้าหลิวไปที่เรือนข้าสักเดี๋ยวได้หรือไม่ข้ามีเื่ปรึกษาพวกท่าน”
เฉียวลู่กล่าวเป็เลศนัยให้แม่เฒ่าหลี่สงสัยแต่ไม่ได้บอกว่าจะปรึกษานางเื่อะไร หลังจากคุยกับแม่เฒ่าหลี่สักพักเฉียวลู่ก็กลับมาที่กระท่อมของนางอีกครั้ง หลังจากตักข้าวต้มกุ้งแบ่งเอาไว้ให้ลูกน้อยทั้งสองของนางแล้วเฉียวลู่ก็ยกข้าวต้มกุ้งทั้งหม้อไปที่เรือนของฉินจื่อเฉิน
นางเคาะประตูอยู่สักพักร่างเล็กของฉินจื่อเฉินก็เดินออกมาเปิดประตู เฉียวลู่ยื่นหม้อข้าวต้มกุ้งที่มีกลิ่นหอมโชยออกมาจากข้างในให้เขา เสียงท้องร้องของฉินจื่อเฉินทำให้เฉียวลู่รู้ว่าเขาจะต้องยังไม่ได้ทานอาหารเย็นแน่นอน
ฉินจื่อเฉินไม่ยอมรับหม้อข้าวต้มกุ้งจากเฉียวลู่ ทั้งๆ ที่เขาดูหิวโหยขนาดนั้น เฉียวลู่เบี่ยงตัวหลบเขาที่ยืนขวางประตูเอาไว้เดินเข้าไปในเรือนแล้ววางหม้อข้าวต้มเอาไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงเดินออกมา ก่อนกลับนางยังไม่ลืมบอกให้เขานำหม้อข้าวต้มไปคืนนางในวันพรุ่งนี้
“ข้ากลับก่อนพรุ่งนี้นำหม้อไปคืนข้าด้วยเล่า”
นางไม่รอคำตอบจากฉินจื่อเฉินก็พาอวี้หลงกับอวี้ชิงเดินออกมาจากเรือน เฉียวลู่มีความคิดว่าครั้งหน้าที่นางไปจับกุ้งนางจะพาเด็กชายไปด้วยเพราะอย่างน้อยเขาและท่านแม่ที่ป่วยก็จะได้มีอาหารกิน
ทันทีที่เฉียวลู่กลับไปฉินจื่อเฉินก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เขาร้องไห้ออกมาเบาๆ ที่หน้าประตูเรือน ผ่านไปสักพักหลังจากเช็ดน้ำตาแล้วเขาจึงปิดประตูแล้วเดินเข้าเรือนไป เสียงไอดังลอดออกมาจากในห้องที่มืดสลัว ตอนนี้เป็เวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำถึงจะยังไม่มืดมากแต่เรือนบางหลังก็จุดตะเกียงแล้ว ฉินจื่อเฉินไม่มีเงินซื้อน้ำมันตะเกียงเขาจึงใช้เทียนจุดบางครั้ง แต่หลังจากที่ท่านแม่ล้มป่วยเขาก็นำเงินทั้งหมดไปซื้อยามารักษาท่านแม่แทน ตอนนี้พวกเขาจึงไม่เหลือแม้แต่เทียนที่จะใช้จุดให้ความสว่าง อาศัย่ที่ยังไม่มืดทำกิจกรรมทุกอย่างให้เสร็จก่อนเข้านอน เสียงแหบแห้งดูอ่อนแรงถามออกมาเบาๆ
“เฉินเอ๋อใครมาหรือ”
ฉินจื่อเฉินลังเลเล็กน้อยก่อนตอบออกไป เขารู้ว่าท่านแม่ของเขาไม่เหมือนชาวบ้านคนอื่นั้แ่ที่จำความได้นางไม่เคยคบค้ากับใครเลยเอาแต่หลบอยู่แต่ในเรือน มีเพียงบ้านสกุลจางเท่านั้นที่ท่านแม่จะยอมพูดคุยด้วยนานๆ สักครั้งหนึ่ง
“พี่เฉียวลู่ขอรับ”
ฉินจื่อเฉินตอบออกไปเบาๆ
“นางมาทำไม”
ฉินอี้เหยารู้ว่าเฉียวลู่เป็ใครเพราะครั้งก่อนบุตรชายของนางได้เล่าให้นางฟังแล้วว่าเนื้อหมูป่าที่พวกนางกินกันคือของที่เฉียวลู่ให้มา ฉินอี้เหยาเคยได้ยินเื่ของเฉียวลู่มาบ้างจากแม่เฒ่าหลี่บ้านติดกันว่านางต้องพลัดพรากจากสามีทั้งบิดายังมาด่วนจากไปตอนที่นางกำลังตั้งครรภ์ ชีวิตของเฉียวลู่กับนางนั้นแทบจะเหมือนกันตรงที่ไม่มีใครให้พึ่งพิงแต่ต่างกันตรงที่เฉียวลู่ไม่มีใครคอยตามฆ่าเหมือนนางและบุตรชาย
“เช่นนั้นเ้าก็ต้องขอบคุณนางแทนแม่ด้วย”
“ขอรับ”
ฉินอี้เหยาเอ่ยเบาๆ ก่อนจะไอออกมาหอบใหญ่ นางป่วยเช่นนี้มาเป็ปีแล้ว เมื่อก่อนนั้นเพียงแค่ไอเล็กน้อยเท่านั้นจึงไม่เคยซื้อยามากิน แต่ตอนนี้อาการของนางหนักขึ้นทุกวันแรงจะเดินแทบไม่มีทั้งยังไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียงทำให้นับวันนางและบุตรชายผ่ายผอมจนแทบจะเหลือเพียงแค่หนังที่หุ้มกระดูก ฉินอี้เหยายังไม่อยากตายนางไม่อยากทิ้งบุตรชายของนางเอาไว้ลำพัง
“ท่านแม่ลองทานดูนะขอรับ”
ฉินจื่อเฉินเปิดฝาหม้อดินเผาออกกลิ่นหอมโชยออกมา เขาตักป้อนท่านแม่ก่อนจากนั้นจึงกินในส่วนที่เป็ของตนเอง หลังจากที่ข้าวต้มกุ้งถูกตักเข้าปากคำแรก ฉินจื่อเฉินแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นี่เป็อาหารที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกินมา
ฉินอี้เหยาก็ร้องไห้ออกมาเช่นกันนางสงสารบุตรชายเพียงคนเดียวของนางเหลือเกิน ตอนนี้นางไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อเขาได้ ถ้าหากนางเข้มแข็งได้สักครึ่งของเฉียวลู่ตอนนี้นางและบุตรชายของนางคงจะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ฉินอวี้เหยาได้แต่นึกสมเพชตนเองในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นนางคงไม่ต้องระหกระเหินเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นนางคงไม่ต้องแกล้งความจำเสื่อมและปล่อยให้บุตรชายเพียงคนเดียวของนางต้องลำบากเช่นนี้
