แม้ไม่รู้ว่าบิดามารดาของนางไปพูดกับท่านปู่ท่านย่าอย่างไร แต่เฉียวเยว่กับฉีอันก็ถูกส่งออกจากจวนแต่เช้าตรู่
ตอนออกมาเฉียวเยว่ยังนึกว่าอีกไม่กี่วันก็คงจะได้กลับบ้าน แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะต้องอยู่ยาวจนถึง่การสอบเคอจวี่ฤดูสารท
ระหว่างนั้นมีกลับมาบ้านอยู่สองสามหน แต่มารดากลัวว่าพวกเขาจะรบกวนสมาธิการอ่านหนังสือของบิดา จึงให้คนส่งพวกเขากลับมา
เสียงจักจั่นหน้าร้อนร้องดังระงม เฉียวเยว่สวมอาภรณ์สีชมพูน่ารักน่าเอ็นดูเป็พิเศษ นางชี้มือชี้ไม้ออกคำสั่ง "ฉีอัน เ้ามาทางนี้ อ้าๆ ใช่ ใช่ มาทางข้านี่"
อวี้อ๋องมาเยือนจวนสกุลฉี ยังไม่ทันเข้ามาก็ได้ยินเสียงใสแจ๋วของสาวน้อยดังมาแต่ไกล
อาจารย์ฉีไม่ตกประหม่าแม้แต่น้อย กลับพูดว่า "เฉียวเยว่เป็เด็กค่อนข้างร่าเริงสดใส"
อวี้อ๋องอมยิ้ม "กล่าวถูกต้อง"
เพียงแต่เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในลานสวนก็ต้องใขวัญหนีดีฝ่อ ฉีอันปีนอยู่บนต้นไม้ ส่วนเฉียวเยว่ก็โบกไม้โบกมือสั่งการอยู่ข้างล่าง
พอเห็นอาจารย์ฉีเข้ามา ฉีอันยังโบกมือให้บนต้นไม้
อาจารย์ฉีพยายามสงบอารมณ์ก่อนถามขึ้น "เ้าขึ้นไปได้อย่างไร?"
น้ำเสียงพร่าสั่นอยู่บ้าง
"ก็ปีนสิขอรับ มิเช่นนั้นจะขึ้นมาได้อย่างไร" ฉีอันข้องใจ
คำถามนี้ค่อนข้างประหลาด
"ท่านตา ท่านดูข้า ข้าเก่งหรือไม่" เขาดูจริงจังมาก
เ้าเด็กร้ายกาจ! แม้ในใจจะกลัวว่าหลานจะตกลงมา แต่อาจารย์ฉีก็ไม่กล้าแสดงท่าทีตื่นตระหนก ด้วยเกรงว่าจะทำให้เด็กใ จึงกล่าวเพียงว่า "เหตุใดเ้าต้องปีนต้นไม้?"
"พวกเราเตะถุงถั่วไปติดบนต้นไม้ขอรับ" ฉีอันตอบ
เขาค่อยๆ ปีนมาด้านหน้า เมื่อเห็นกิ่งไม้สั่นไหว อาจารย์ฉีก็กำมือ แต่ยังคงเอ่ยอย่างหนักแน่น "ไม่เป็ไร อย่ากลัว ขยับมาด้านหน้าอีกหน่อย ปัดมันตกลงมาก่อน เ้าค่อยถอยหลัง"
"ขอรับ"
เขาขยับมาด้านหน้าแล้วตีให้ถุงถั่วตกลงไป หลังจากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วถอยกลับไปด้านหลังอย่างระมัดระวัง
"ฉีอัน เ้าเก่งที่สุด" เฉียวเยว่ชมเปาะ
ฉีอันฉีกยิ้มกว้าง "แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็เก่งที่สุดอยู่แล้ว"
ในที่สุดก็ปีนมาถึงตำแหน่งที่มั่นคง จากนั้นก็ค่อยๆ ไถลตัวลงมา เฉียวเยว่เดินเข้าไป "ระวังหน่อย"
ฉีอันตอบอื้มอย่างหนักแน่น เมื่อเห็นเขาลงจากต้นไม้ได้แล้ว อาจารย์ฉีก็ลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยถาม "กลัวหรือไม่?"
ฉีอันยืดอก "ไม่กลัวขอรับ ข้าเป็ลูกผู้ชาย"
อยู่ที่นี่มาครึ่งปี ฉีอันมีความกล้าหาญขึ้นมาก ทั้งรู้ความและสดใสร่าเริงขึ้นกว่าเดิม
หากถามว่าสิ่งใดคือคุณสมบัติที่ทำให้เขาดูดีขึ้น นั่นก็คือความองอาจราวกับชายชาตรี
แท้จริงแล้วทั้งเฉียวเยว่และฉีอันต่างไม่รู้ว่าตอนนั้นที่ท่านโหวผู้เฒ่ารับปากให้พวกเขามาอยู่ที่นี่ชั่วคราว นอกจากเพราะไม่อยากให้เด็กรับรู้เื่ราวความวุ่นวายในจวน ยังมีเหตุผลอื่น ก็คือปรารถนาให้เด็กสองคนได้ศึกษามากขึ้น
การสอบครานี้ของพวกหรงเยว่สามพี่น้องทำให้ท่านโหวต้องใคร่ครวญอย่างละเอียด หากอยากให้เด็กมีอนาคตที่ดี ก็ต้องเข้ากั๋วจื่อเจียนกับสำนักศึกษาสตรีให้ได้
การกอดบาทพุทธะเมื่อจวนตัวไหนเลยจะสู้ศึกษาให้มากั้แ่ยังเยาว์ได้
ความรู้ความสามารถของอาจารย์ฉีเป็ที่ประจักษ์ไม่ต้องสงสัย
อีกอย่างท่านโหวก็ชื่นชมอุปนิสัยของฉีจือโจวอย่างมาก ถึงแม้จะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่อาจได้มาเป็บุตรเขย แต่ก็เชื่อมั่นว่าจะต้องเป็ต้นแบบที่ดีให้หลานๆ ได้เรียนรู้
ทรงภูมิ เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้ มีความสามารถ และมีความรับผิดชอบ
จุดนี้คนมากมายไม่สามารถทำได้
และความเป็จริงก็เป็ไปตามที่ท่านโหวผู้เฒ่าคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า เด็กทั้งสองคนเริ่มมีประกายสง่างามผุดออกมาจากก้นบึ้ง
ดังเช่นฉีอันที่นับวันก็ยิ่งคล้ายท่านลุงของเขาเข้าไปทุกที
แน่นอนว่าเฉียวเยว่ก็ไม่น้อยหน้า นางมีความคิดเป็ของตนเอง เฉลียวฉลาด และคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
จุดนี้แม้แต่อวี้อ๋องซึ่งมาเยี่ยมเยือนพวกเขาเป็ครั้งคราวยังรู้สึกได้
เขามองเฉียวเยว่ั้แ่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยขึ้นว่า "ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ"
"ทำไมล่ะ?" เฉียวเยว่ถาม
"ชุดสกปรกแล้ว" อวี้อ๋องยิ้มอ่อนจาง
สองพี่น้องเล่นด้วยกันอยู่ในสวน ยากที่เสื้อผ้าจะไม่ยับยุ่ง
เฉียวเยว่หัวเราะฮี่ๆ แต่ไม่ขยับ "ไม่เห็นสกปรกเลย ไม่เป็ไรหรอก ท่านพี่จ้านมาได้อย่างไร?"
หรงจ้านเลิกคิ้ว "ที่แท้ข้ามาไม่ได้"
เฉียวเยว่ทำหน้าจริงจัง "ท่านย่อมมาได้อยู่แล้ว แต่พอเห็นท่านก็รู้สึกเหมือนว่าตนเองจะอ้วนขึ้นอีกแล้ว ่นี้ข้ากำลังพยายามลดอยู่"
เด็กน้อยอายุหกขวบก็รู้จักรักสวยรักงามเหมือนกันนะ
ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกว่าหกขวบยังเด็กมาก ทว่าั้แ่ปลายปีที่ผ่านมา ฉีอันก็รู้ความมากขึ้น และั้แ่มาอยู่ที่นี่เขาก็เปลี่ยนแปลงมากขึ้นแทบจะทุกวัน แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใดเลย
ดังนั้นก้าวแรกคือนางจะต้องเป็โฉมสะคราญเรือนร่างผอมเพรียวให้ได้ก่อน
"การลดความอ้วนใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างเ้าพึงกระทำเสียที่ไหน รอไว้สูงเท่าเอวของข้าค่อยคิดก็ยังไม่สาย ตอนนี้มีเนื้อมีหนังถึงจะน่ารัก" อวี้อ๋องกล่าวเช่นนี้
แต่คำพูดของเขาไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้เด็กน้อยเชื่อได้ เฉียวเยว่พูดอย่างเชื่อมั่น "ไร้สาระ ใครว่าการลดความอ้วนมิใช่สิ่งที่เด็กพึงกระทำ? ในความเห็นของข้า ไม่ว่าจะมีเนื้อมีหนังหรือไม่หญิงงามก็คือหญิงงาม ลดความอ้วนเป็เพียงการเติมบุปผาบนดิ้นแพร [1] เท่านั้น"
การศึกษาของเฉียวเยว่ก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย
อาจารย์ฉีค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า "คนเราผอมหน่อยดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนล้วนเป็เช่นนี้"
"ท่านเห็นหรือไม่ ทุกสิ่งที่ท่านตาของข้าพูดล้วนเป็ความจริง" เฉียวเยว่กล่าวทันที
หรงจ้านเลิกคิ้วทอยิ้ม เขายังคงยืนตัวตรงตามความเคยชิน "แล้วข้าพูดไม่ถูกหรือ?" มีกลิ่นอายคุกคามกำจายออกมาจางๆ
เฉียวเยว่เป็คนรู้กาลเทศะ แต่นางหาใช่สตรีอ่อนโยนน่ารัก!
"เช่นนั้นท่านพูดมา เหตุใดท่านถึงผอมเช่นนี้ เมื่ออ้วนแล้วดูดีกว่า ไยท่านไม่ทำให้ดูเป็ตัวอย่างก่อนเล่า? ตนเองสะโอดสะองหล่อเหลา แต่กลับคิดจะบำรุงข้าให้กลายเป็น้องสาวตัวจ้ำม่ำ ท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว"
จู่ๆ เฉียวเยว่พลันนึกบางอย่างขึ้นได้นางเข้าไปสะกิดขาของเขา "ข้ายังมีเื่ที่ไม่ได้สะสางกับท่าน ท่านบอกข้ามา เพราะเหตุใดทุกครั้งต้องซื้อของอร่อยมาให้ข้ามากมายขนาดนั้น เมื่อสองสามวันก่อนข้าออกไปข้างนอกกับท่านลุง ผู้อื่นล้วนลือว่าข้าสามารถกินูเาได้ทั้งลูก ฝีมือท่านใช่หรือไม่?"
หรงจ้านตีหน้าซื่อ เอ่ยเสียงเบา "ข้าเพียงซื้อขนมเท่านั้น เื่อื่นๆ ไม่เคยเอ่ยวาจาแม้แต่ประโยคเดียว"
เฉียวเยว่หัวเราะหึๆ ใบหน้ายิ้มเยาะ
อาจารย์ฉีเห็นนางทำท่าทางเช่นนี้ ก็ย่อตัวลงมาเอ่ยวาจาสั่งสอน "ตาเคยสอนเ้ามิใช่หรือ ไม่ว่าจะรู้สึกดีใจหรือโกรธเคืองก็อย่าแสดงออกให้ผู้อื่นเห็น ต้องซ่อนเร้นสี่อารมณ์ไว้ให้ดี"
เฉียวเยว่ตอบทันควัน "ข้าเข้าใจ"
"พวกท่านเอ่ยต่อหน้าข้าอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ไม่มีปัญหาจริงหรือ?" หรงจ้านเอ่ยขึ้นช้าๆ
เฉียวยืดพุงน้อยๆ พูดอย่างจริงจัง "นั่นก็เพราะท่านตาของข้าไม่เห็นว่าท่านเป็คนนอก มิเช่นนั้นไม่มีทางเป็เช่นนี้เด็ดขาด"
หรงจ้านย่อมเข้าใจเหตุผล เขาอมยิ้ม "เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณผู้าุโฉีหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ต้องสิ ท่านตาข้าสอนวิถีการดำเนินชีวิตให้ท่านนะ"
หรงจ้านถอนหายใจ "ข้าก็อยากสอนวิถีการดำเนินชีวิตให้เ้าเหมือนกัน"
เฉียวเยว่แลบลิ้น
"จะว่าไป เ้าก็อยู่กับท่านตามาเกือบครึ่งปีแล้วกระมัง"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ที่ไหนกัน ครึ่งปีพอดีต่างหาก อืม... อาจจะครึ่งปีกว่าแล้ว"
"อยู่กับท่านตามีความสุขเหมือนอยู่ในแดนเซียน เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก" นางยิ้มอย่างเริงร่า
หรงจ้านล้วงผ้าออกมาเริ่มเช็ดมือให้นาง สีหน้าเผยรอยยิ้มมากกว่าเดิม "จะว่าไป ก็มีเื่ที่น่าสนใจอยู่เื่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าสำหรับเฉียวเยว่แล้วจะนับว่าน่าสนใจหรือไม่"
เห็นเขาเริ่มเช็ดมือน้อยอวบขาวของตนเอง เฉียวเยว่ก็เอ่ยขึ้นทันที "เช่นนั้นก็เล่ามาสิเ้าคะ"
"แต่ข้าคิดว่าเขาน่าจะหลอกเ้า เฉียวเฉียว อย่าไปใกล้เขามากจะดีกว่า" ฉีอันไม่มีความประทับใจต่ออวี้อ๋องผู้นี้มากนัก หากไม่ใช่เพราะเขา ตอนนั้นเฉียวเยว่จะถูกมารดาตำหนิจนร้องไห้น่าสงสารเยี่ยงนั้นได้อย่างไร
แต่เหตุผลนี้ก็เพียงพอให้ฉีอันไม่ชอบอวี้อ๋องแล้ว ไม่ชอบมาโดยตลอด แม้ว่าอีกฝ่ายจะมาเป็แขกบ่อยครั้ง เขาก็มักเฉยเมย ซ้ำยังดึงเฉียวเยว่ออกมาอีกด้วย
เอ่ยถึงเื่นี้ อวี้อ๋องก็รู้สึกได้ แต่เขามักไม่ถือสาหาความกับเด็กน้อย แม้ว่าเด็กคนนี้จะดูไร้เหตุผลมากก็ตาม
เขากระแอมกระไอเอ่ยว่า "เมื่อเ้าไม่อยากรู้ ก็ช่างเถอะ"
อาจารย์ฉีดูท่าทีของอวี้อ๋อง ก็ยิ้มน้อยๆ "ไยต้องคิดมากเพียงนั้น ไปเถอะ เข้าไปดื่มน้ำชาในบ้าน"
ดวงตาดำขลับของเฉียวเยว่จ้องหรงจ้านเขม็ง เห็นเขาไม่มีทีท่าจะพูดอะไรจริงๆ ก็ถูมือด้วยความสงสัยใคร่รู้อย่างมาก
นางเป็เด็กที่มีความอยากรู้อยากเห็นค่อนข้างสูง เื่ที่เกี่ยวข้องกับตนเองก็ยิ่งอยากรู้มาก
"ท่านพี่จ้าน"
"มีอันใด?" หรงจ้านยิ้มยั่วเย้า
"เมื่อครู่ท่านยังพูดไม่จบเลย" เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง
ผู้อื่นอยากรู้!
"อ้อ เื่นั้นหรือ" หรงจ้านเอ่ยเสียงเบา แต่กลับทำเป็ไม่นำพา "ข้าไม่อยากพูดแล้ว"
เฉียวเยว่สูดหายใจลึก ทุกครั้งที่คุยกับเขานางต้องบอกตนเองตลอดเวลาให้สงบสติอารมณ์ มิเช่นนั้นคงได้อกแตกตาย
"แต่ข้าอยากรู้นี่นา ท่านพูดเปิดหัวข้อมา ไยไม่พูดต่อเล่า? เช่นนี้ไม่มีคุณธรรมอย่างยิ่ง" นางแสร้งกระเง้ากระงอด
"ก็แค่มีข่าวลือภายนอกว่าการสอบเคอจวี่ครานี้ข้าเป็ผู้ออกข้อสอบ" อาจารย์ฉีกล่าวอย่างเยือกเย็น
เฉียวเยว่ตกตะลึง หลังจากนั้นก็ดึงผมเปียของตนเอง "เื่นี้แม้แต่ข้าอยู่ที่นี่ก็ยังไม่รู้เลยนะเ้าคะ"
อาจารย์ฉีทอยิ้ม "อืม ถูกแล้ว ข้ากลัวว่าเ้าจะรู้ เลยรอให้เ้าหลับก่อนค่อยออกข้อสอบตอนกลางดึก"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา "เช่นนั้นท่านตาก็พรางตัวตอนกลางวันออกหาเหยื่อยามราตรีสิเ้าคะ"
แท้จริงแล้วไม่ว่าหรงจ้านหรืออาจารย์ฉีจะพูดหรือไม่ ข้างนอกก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปแล้ว ว่าซูซานหลางรู้ข้อสอบครานี้ พวกเขาสองสามีภรรยาส่งฝาแฝดสองพี่น้องมาก็เพื่อการสอบครานี้โดยเฉพาะ พูดให้ฟังน่าเกลียดหน่อยก็คือเพื่อให้เด็กๆ มาลอบขโมยดูข้อสอบ แต่เื่นี้ไม่จำเป็ต้องบอกให้พวกเขารู้
ทว่าถึงพวกเขาไม่พูด เฉียวเยว่ไหนเลยจะไม่เข้าใจ นางหัวเราะเยาะ "มีคนพูดถึงบิดาข้าในทางไม่ดีใช่หรือไม่? หน็อยแน่ ข้าจะทุบเขาให้พิการดูแลตนเองไม่ได้เลยคอยดู"
ต้องบอกว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้มีความคิดอ่านไม่เบา เพียงครู่เดียวก็นึกออกแล้ว
อาจารย์ฉียิ้มอ่อนจาง "กับคนที่ไร้ความสามารถต้องพึ่งวิธีสกปรกใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเ่าั้ พวกเราเพียงยิ้มและสงวนวาจาก็พอ ยิ่งเดินสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็การเหยียดหยันพวกเขาเท่านั้น"
เฉียวเยว่ถกแขนเสื้อ "พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้าน วันมะรืนจะไปสนามสอบเป็เพื่อนบิดา ใครกล้าพูดสักประโยค ข้าจะลงมือทันที ข้าหาใช่คนประเภทคุยกับใครด้วยเหตุผลอยู่แล้ว แต่ชอบคุยด้วยกำปั้นมากกว่า"
"เ้าแตงน้อย ไม่สู้ให้ข้าพาเ้าไปดีกว่า?"
หรงจ้านทำตัวราวกับคนร้ายลักพาตัวเด็ก
"ไม่ ข้าจะไปเอง ท่านไม่ไหวหรอก ดูอ่อนปวกเปียกเกินไป" เฉียวเยว่ตอบอย่างฉาดฉาน
"อ้อ... อ่อนปวกเปียกรึ" หรงจ้านเอ่ยอย่างมีเลศนัย
...
[1] เติมบุปผาบนดิ้นแพร หมายถึงการเสริมแต่งสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ยิ่งดีขึ้นไปอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้