เล่มที่ 1 บทที่ 6
คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าช่วยคลายความคลางแคลงใจของผู้คน จึงส่งผลให้เกิดเสียงอุทานขึ้นรอบๆ
ปรากฏว่านี่คือชุดสุ่ยหยุนพระราชทานจากฮองเฮา ไม่แปลกใจที่คุณหนูมู่หรงกล้าใส่ชุดนี้ใน่เวลาแห่งการไว้ทุกข์ ที่แท้ก็เป็ของฮูหยินผู้ล่วงลับซึ่งเป็ของดูต่างหน้า
แม้ว่าจะเป็สิ่งของเพื่อระลึกถึงมารดาผู้จากไป แต่การสวมใส่ในวันมงคลก็นับว่าไม่เหมาะสม ทว่านี่ก็เป็ของพระราชทานจากฮองเฮาด้วยเช่นกัน ที่สำคัญมากไปกว่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเป็คนสั่งให้มู่หรงฉิงสวมใส่ ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าไม่คิดถือสาแต่อย่างใด คนอื่นๆ ย่อมพูดอะไรไม่ได้
ด้วยสาเหตุนั้นทุกคนจึงไม่มีข้อสงสัยถึงการแต่งตัวของมู่หรงฉิงอีกต่อไป ในทางกลับกันพวกเขาต่างทึ่งในฝีมือการปักผ้าสองด้านอันวิจิตรตระการตาของนาง มากไปกว่านั้นคือชื่นชมในความคิดอันเฉียบแหลมและไหวพริบของนางมากยิ่งขึ้น
ไม่นึกเลยว่านางจะสามารถทำให้ฮูหยินหลิงผู้หยิ่งผยองยอมรับได้ แม่นางมู่หรงฉิงผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
หลังจากพายุโหมกระหน่ำพัดผ่านก็ได้เวลารับประทานอาหารกลางวัน ทุกคนจึงได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปยังห้องโถงด้านหน้าซึ่งคั่นด้วยฉากกั้นแกะสลัก ก่อนจะทยอยลงนั่งเพื่อรับประทานอาหาร
“คุณหนูใหญ่”
ทันทีที่นั่งลง แม่นมฟางก็เดินไปหามู่หรงฉิงอย่างเงียบๆ ดูเหมือนกำลังรินน้ำให้เด็กสาว แต่ที่จริงแล้วได้กระซิบข้างใบหูของผู้เป็นายหญิงว่า “จื่อเอ๋อร์ถูกจัดแจงให้ไปรับใช้คุณชายจาง เวลานี้เป็เื่ยากที่จะออกมาได้”
คุณชายจางหรือ?
มู่หรงฉิงตะลึงในใจ คุณชายจาง, จางเฟิงเฉิง เป็บุตรชายคนที่สามของจางช่างชู ขุนนางประจำกรมพิธีการ เป็คุณชายเ้าเสน่ห์ ไม่รู้ขอบเขตและสารเลวคนนั้นน่ะหรือ?
จากการชำเลืองหางตาไปทางอนุหนิง นางเห็นเพียงว่าอนุหนิงกำลังยุ่งอยู่กับการเชื้อเชิญบรรดาสตรีให้นั่งลง
อนุหนิงเตรียมที่จะให้ท่านพ่อรับจื่อเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ? แต่เหตุใดถึงได้จัดแจงให้จื่อเอ๋อร์ไปรับใช้คุณชายชั่วร้ายนั่น? นางมีเป้าหมายใดกันแน่?
เดิมทีนางกำลังคิดไตร่ตรองว่าจะคลี่คลายหายนะจากการเป็บ่าวร่วมห้องนอนของท่านพ่อ แต่นางกลับไม่เคยคิดว่า ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัตินี้ ยังมีภัยพิบัติอื่นที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกระลอก
“แล้วปี้เอ๋อร์ล่ะ อยู่ที่ใด?” จื่อเอ๋อร์ถูกส่งให้ไปรับใช้คุณชายชั่วร้าย ไม่รู้ว่าปี้เอ๋อร์จะถูกส่งให้ไปรับใช้ผู้ใด?
“ปี้เอ๋อร์กำลังรับใช้คุณชายเปี่ยว”
คำพูดของแม่นมฟางทำให้มู่หรงฉิงถึงกับประหลาดใจมากยิ่งขึ้น “คือพี่ิ*ใช่หรือไม่?”
(*พี่ิ มีศักดิ์เป็ลูกพี่ลูกน้องชาย ญาติฝ่ายมารดาที่มีอายุมากกว่า)
“ต้องตอบว่าไม่ใช่” แม่นมฟางส่ายศีรษะ “แต่คือคุณชายหานเปี่ยว”
ซูมู่หาน?
ดวงตาของมู่หรงฉิงมืดลงทันควัน
ซูมู่หานเป็ลูกที่เกิดจากอนุคนที่สองของตระกูลซู ซึ่งมีศักดิ์เป็ลูกชายในอนุคนสุดท้องของลุงมู่หรงฉิง
ครอบครัวซูเป็ครอบครัวฝ่ายบิดาและมารดาของซูชิงหย่า สกุลซูมีลูกชายสามคน ซูชิงมู่เป็ลูกจากภรรยาเอกของสกุลซูซึ่งมีศักดิ์เป็พี่ชายของซูชิงหย่า และมีศักดิ์เป็ลุงแท้ๆ ของมู่หรงฉิง ซูชิงเย่เกิดจากอนุคนที่สองของสกุลซู และซูชิงฝางเกิดจากอนุคนที่สามของสกุลซู
ลุงแท้ๆ ของมู่หรงฉิงมีแต่ภรรยาเอกเท่านั้น โดยลูกที่กำเนิดจากภรรยาเอกนั้นประกอบด้วยลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคน ลูกชายคนโต, ซูมู่หล่าง ลูกชายคนที่สอง, ซูมู่ิ และลูกสาวคนสุดท้อง, ซูมู่เยว่ และคนที่แม่นมได้กล่าวถึงในเวลานี้คือคุณชายหานเปี่ยว เป็ลูกชายคนสุดท้องของลุงรองของสกุลซูซึ่งมีนามว่า ซูมู่หาน
มู่หรงฉิงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับซูมู่หาน แต่เหตุใดปี้เอ๋อร์ถึงได้ไปข้องเกี่ยวกับซูมู่หาน?
“คุณหนูใหญ่ บ่าวว่าปี้เอ๋อร์คงมีความคิดทะเยอทะยาน” แม่นมฟางเห็นอนุหนิงเดินมาด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข นางจึงรีบพูดอย่างวิตกกังวล “แล้วเวลานี้ควรจะแก้ไขอย่างไรดี?”
“แม่นมฟาง แม่นมช่วยจื่อเอ๋อร์ออกมาก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง” ทันทีที่คำพูดของมู่หรงฉิงจบลง อนุหนิงก็เดินมาถึงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า “ฮูหยินผู้เฒ่า บรรดาแเื่ได้เข้ามานั่งร่วมโต๊ะงานเลี้ยงทุกคนแล้ว”
“อืม เริ่มงานเลี้ยงเถอะ”
ด้วยถ้อยคำว่าเริ่มงานเลี้ยง ก็ได้ยินเสียงประทัดดังขึ้นทันควัน เรือนด้านหน้ามู่หรงอั้นพามู่หรงฮ่าวคอยคารวะสุราตามแต่ละโต๊ะ ในขณะที่ฝั่งของผู้หญิงนั้นมีบุตรสาวคนโตคอยทำหน้าที่แทน
แม้กล่าวกันว่าผู้หญิงไม่เหมาะกับการดื่มสุรา แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไปจองสุราสาลี่รสชาติหวานกลมกล่อม ไม่มีฤทธิ์ทำให้เมามากจากร้านอาหารั้แ่ก่อนหน้า แม้จะมีคำว่าสุราถึงกระนั้นก็เป็เครื่องดื่มสุราชนิดที่มีรสชาติหวานกลมกล่อม มีฤทธิ์ทำให้มึนเล็กน้อย ทั้งกระตุ้นให้แก้มเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ ช่วยเพิ่มเสน่ห์ของหญิงงามหลังจากดื่มสุรา ด้วยสาเหตุนี้สุราหวานจึงเป็ที่นิยมในหมู่สตรีเป็อย่างมาก
ในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า เนื่องจากนางแก่ชราแล้วจึงไม่สามารถคารวะสุราตามแต่ละโต๊ะได้ และอนุหนิงก็มีฐานะเป็เพียงอนุภรรยา ยิ่งไม่สามารถคารวะสุราตามโต๊ะต่างๆ ได้ ดังนั้นทำให้หน้าที่คารวะสุราตกไปที่มู่หรงฉิง
หลังรับจอกสุราจากแม่นมจิ่น มู่หรงฉิงได้กวาดสายตาไปทางมู่หรงยวี่ จึงเห็นั์ตาของอีกฝ่ายกำลังยิ้มเหี้ยมกระด้าง ทันใดนั้นนางรับรู้แล้วว่าการคารวะสุราในคราวนี้ เกรงว่าจะไม่ราบรื่นนัก
แม้จะรับรู้ว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยกับดัก ทว่านางจำต้องเสี่ยงด้วยการอาศัยไหวพริบและการตอบสนองอันฉับไว นับั้แ่ท่านแม่สิ้นลมหายใจ มู่หรงฉิงได้พัฒนาตัวเองจากการเป็ลูกสาวผู้อ่อนแอ คอยพึ่งแต่ผู้อื่นให้กลายเป็คนที่คาดเดาความคิดของผู้คนได้เก่งกาจเช่นในปัจจุบัน
นางถือจอกสุราพลางเดินไปคารวะทีละโต๊ะ ในจังหวะที่เดินไปถึงโต๊ะที่ห้า จู่ๆ เท้าของนางก็สะดุด สุราในมือของนางกำลังจะหกใส่สุภาพสตรีซึ่งเป็ภรรยาของขุนนางท่านหนึ่ง มู่หรงฉิงตอบสนองฉับไวด้วยการยกแขนเสื้อไปบังไว้ สุราจึงหกรดแขนเสื้อเป็สาเหตุให้แขนเสื้อเปื้อนไปด้วยสุรา
ขณะนั้น ‘บังเอิญ’ มู่หรงยวี่ก็ร้องอุทานออกมา “พี่หญิงเป็อะไรหรือ พี่หญิงหกล้มหรือไม่?”
ฮึ! ที่แท้ก็กำลังรอให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
มู่หรงฉิงถอนสายตาจากแขนเสื้อ ก่อนหันไปทางผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ซึ่งใบหน้ากลายเป็สีแดงคล้ายกับดอกพู่ระหง คิ้วของอีกฝ่ายโก่งโค้ง ดวงตาทั้งสองราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หน้าตาปรากฏอารมณ์อ่อนไหวกึ่งหวั่นกลัวราวกับรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากความ ‘ไม่ระมัดระวัง’ ของมู่หรงฉิง
คนตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็ลูกพี่ลูกน้องของมู่หรงยวี่, หนิงสุ่ยรั่ว
“พี่หญิง ล้มลงหรือไม่?”
มีพี่ชายที่มีทักษะการป้องกันตัวที่ไม่อ่อนแอ มู่หรงฉิงก็ฝึกทักษะการต่อสู้มาั้แ่เยาว์วัย นางจะหกล้มจากการถูกกลั่นแกล้งเล็กน้อยง่ายๆ ได้อย่างไร? อย่าว่าแต่การหกล้มเลย เหตุการณ์เล็กน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วอึดใจก่อนก็เล็กน้อยมากเช่นกัน แม้กระทั่งฮูหยินที่นั่งอยู่ด้านขวาก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ เมื่อได้ยินคำอุทานของมู่หรงยวี่ นางก็เงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิงอย่างสงสัย
ด้วยเสียงะโของมู่หรงยวี่เป็สาเหตุให้ผู้คนที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้เคียงเบนสายตามาทางมู่หรงฉิง มู่หรงฉิงคลี่ยิ้ม โดยใช้แขนซ้ายบดบังคราบสุราบนแขนเสื้อด้านขวาพร้อมพูดเบาๆ อย่างอ่อนโยนว่า “ก็แค่รับจอกไม่มีสุราจากแม่นม ไม่นึกเลยว่าน้องหญิงจะจริงจังเช่นนี้”
หลังจากพูดจบ ทุกคนก็ยกมือขึ้นปิดปากลอบอมยิ้มให้
“น้องหญิงไม่ต้องกังวล พี่หญิงจะไม่ดื่มมากอย่างแน่นอน”
มู่หรงยวี่ดีใจได้เพียงชั่วครู่ ด้วยเพราะเห็นร่างของมู่หรงฉิงสั่นไหว นางก็คิดว่าพี่หญิงที่มีศักดิ์เป็ลูกพี่ลูกน้องของนางทำสำเร็จลุล่วงแล้ว ด้วยความดีใจจึงโพล่งถ้อยคำนั้นออกไป
ขณะทุกคนกุมริมฝีปากพลางแอบยิ้ม มู่หรงยวี่ถึงตระหนักได้ว่าตนเองหุนหันพลันแล่นเกินไป นางทำได้เพียงเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยความงุนงงพร้อมรับสายตาไม่พอใจของฮูหยินผู้เฒ่า
อนุภรรยาไม่สามารถเดินไปที่โต๊ะหลักได้ และในครอบครัวก็มีลูกสาวเพียงสองคนคือ มู่หรงฉิงและมู่หรงยวี่ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่้าให้ผู้อื่นพูดว่านางเลือกที่รักมักที่ชัง จึงจัดแจงให้มู่หรงยวี่นั่งโต๊ะเดียวกัน แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามู่หรงยวี่คนนี้กลับทำงานไม่เป็โล้เป็พาย
หญิงชราจ้องมู่หรงยวี่เขม็งด้วยสายตาไม่พอใจ จากนั้นหันไปมองที่มู่หรงฉิงซึ่งกำลังคารวะสุราถัดจากโต๊ะที่ตนนั่งอยู่ นางลอบถอนหายใจ เฮ้อ... ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น มีแม่เป็เช่นไร ลูกสาวย่อมเป็เช่นนั้น ชิงหย่า, เ้าเด็กคนนั้นมาจากครอบครัวขุนนาง ช่างชูประจำกรมโยธาธิการย่อมรู้หนังสือและมีมารยาท ฉิงเอ๋อร์เองก็ถูกสั่งสอนมาอย่างดีแม้ชิงหย่าไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่อย่างไรเสียฉิงเอ๋อร์ก็ยังคงมีความสงบเสงี่ยมในฐานะลูกสาวของครอบครัวขุนนาง
อนุหนิงเกิดมาจากครอบครัวซึ่งทำกิจการ ไม่รู้ธรรมเนียมมารยาท แม้จะมีลูกสาว แม้จะเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอนในจวน ก็ไม่อาจเปลี่ยนท่าทีความใจแคบได้
ดูเหมือนว่า การสืบทอดตำแหน่งภรรยาเอก ยังคงต้องหาคนที่มีฐานะและวงศ์ตระกูลคล้ายกันถึงจะถูก ไม่ว่าครอบครัวของอนุหนิงจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายแค่ไหน ถึงกระนั้นนางก็ไม่อาจยอมให้จวนกวงลู่ซื่อชิงกลายเป็ตัวตลกของผู้อื่น
คิดได้ดังนั้น ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ฉายแววมุ่งมั่น
สายตาของอนุหนิงยังคงให้ความสนใจต่อฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า ดวงตาของนางถึงกับเป็ประกาย “ยายเฒ่าไม่ยอมตายๆ ไปเสียที ในเมื่อเ้าไร้ความปรานี เ้าก็อย่าโทษข้าที่โหดร้ายก็แล้วกัน” ซูชิงหย่านางคนนั้นจะดีเพียงใดแล้วอย่างไร? ท้ายที่สุดก็ถูกเ้าบังคับให้ตายไม่ใช่หรือ มู่หรงฉิงคนนี้จะดีแล้วอย่างไร วันนี้ข้าจะทำลายนางให้มอดม้วย
มู่หรงฉิงกลับมาจากการคารวะสุราและนั่งลงอย่างเป็ธรรมชาติ แต่มือกลับไม่ยอมยกตะเกียบ
“พี่หญิงเมาแล้วหรือ?” ด้วยบทเรียนเมื่อหลายอึดใจก่อน มู่หรงยวี่จึงไม่กล้าที่จะหุนหันพลันแล่นอีกต่อไป นางมองไปที่มู่หรงฉิงด้วยสีหน้าเป็ห่วงเป็ใย
สายตาของมู่หรงฉิงจ้องมองไปที่แขนเสื้อด้านขวา เห็นปลอกแขนเสื้อสีม่วงเต็มไปด้วยคราบสุรา ครู่ก่อนยามคารวะสุรา นางใช้แขนเสื้อด้านซ้ายปิดบังไว้ทำให้ไม่เป็ที่สังเกต ในเวลานี้จะต้องรับประทานอาหาร ถ้ายกมือขึ้นใช้ตะเกียบ คราบสุราเปื้อนแขนเสื้อของนางย่อมปรากฏให้เห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็แน่
“ขอบคุณน้องหญิงที่เป็ห่วงเป็ใย พี่หญิงเวียนศีรษะเล็กน้อย” พูดพลางเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินผู้เฒ่า
“ในเมื่อคุณหนูใหญ่เวียนศีรษะ ถ้าเช่นนั้นแม่นมจิ่นช่วยประคองคุณหนูใหญ่กลับไปพักผ่อนชั่วครู่ อย่าลืมทำน้ำแกงสร่างเมา” ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าประดับด้วยรอยยิ้มขณะสั่งกำชับแม่นมจิ่น
“บ่าวรับทราบ”
หลังจากแม่นมจิ่นและยวี้เอ๋อร์ช่วยกันประคองมู่หรงฉิงออกจากโต๊ะ ฮูหยินหลิงก็เปล่งเสียงเ็า “ลำบากเ้าเด็กคนนี้แล้วจริงๆ ดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องรีบเลือกแม่ให้คุณหนูสองคนแล้ว”
“รบกวนฮูหยินหลิงให้ต้องคิดมากแล้ว ล่าวเซินกำลังวางแผนเื่นี้อยู่”
ฮูหยินหลิงเป็แขกผู้มีหน้ามีตาในสังคม ย่อมได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับฮูหยินผู้เฒ่า ด้วยตำแหน่งที่นั่งอันมีเกียรติ เมื่อได้ยินฮูหยินหลิงพูดถึงเื่ดังกล่าว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหมายจะดับความฮึกเหิมของอนุหนิงไปในเวลาเดียวกัน หญิงสูงวัย้าเห็นจุดยืนของฮูหยินหลิงว่าเป็อย่างไร จึงเปล่งเสียงดังก้อง “การหาคนสืบทอดตำแหน่งภรรยาไม่อาจสะเพร่าได้ จะต้องเป็สตรีที่ออกงานได้ถึงจะถูก”
“นั่นเป็สิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว” ท่าทีของฮูหยินหลิงไม่ร้อนรน ไม่มีท่าทีเ็า แม้แต่น้ำเสียงของนางยังไม่เปลี่ยนจากเดิม
ปฏิกิริยาของฮูหยินหลิงเป็สาเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าค่อนข้างไม่มั่นใจจุดยืนของอีกฝ่ายนัก ต่างจากอนุหนิงที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ มือซ้ายของนางกำหมัดแน่นอยู่บนตัก นางกะพริบตาด้วยสีหน้าเ็า
ไม่สามารถออกงานได้ใช่หรือไม่? ข้าจะทำให้เ้าเห็นว่า หลังจากมู่หรงฉิง คนที่ออกงานได้ของเ้าตกลงมาจากที่สูง เ้าจะพูดว่าอย่างไร
มู่หรงฉิงไม่ทราบถึงความครึกครื้นในงานเลี้ยง เนื่องจากนางเพิ่งกลับไปที่เรือนพร้อมแม่นมจิ่นและยวี้เอ๋อร์
“สวมชุดที่สวมในตอนเช้าเถอะ” ยวี้เอ๋อร์ขานรับ หลังจากช่วยนายหญิงถอดชุดสุ่ยหยุน จากนั้นก็หยิบชุดที่คุณหนูเคยสวมใน่เช้า
“คุณหนู เวลานี้บ่าวก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน และไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้?”
รู้สึกไม่สบายใจหรือ? ความไม่สบายใจและความวิตกกังวลของมู่หรงฉิงไม่เคยลดลงเลย ในทางกลับกัน หลังจากเที่ยงครึ่ง หัวใจของนางก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายระคนหงุดหงิดมากขึ้น “จื่อเอ๋อร์เป็อย่างไรแล้ว? หนีออกมาได้แล้วใช่หรือไม่?”
มู่หรงฉิงเอ่ยถามแม่นมฟางด้วยเสียงนุ่มนวลขณะที่มียวี้เอ๋อร์คอยรับใช้สวมเสื้อผ้า
“สามารถหนีออกมาได้แล้ว เมื่อหลายอึดใจก่อนบ่าวจงใจเดินเลี่ยงเรือนด้านหน้า ก็เห็นจื่อเอ๋อร์กำลังเดินมายังเรือนด้านหลัง” แม่นมฟางรินน้ำชา หลังเห็นว่ามู่หรงฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงยื่นถ้วยน้ำชาให้ถึงมือ “คุณหนูใหญ่ ท่านจะทานน้ำแกงสร่างเมาหรือไม่?”
“ไม่จำเป็แล้ว” แต่เดิมก็ไม่ได้ดื่มเสียหน่อย เหตุใดต้องสร่างเมาด้วย?
หลังจากจิบสองจิบ เด็กสาวก็ยื่นถ้วยน้ำชาให้แม่นมฟาง และนั่งลงด้านหน้าโต๊ะเครื่องประทินโฉมโดยมีแม่นมจิ่นคอยเกล้าผมให้
ผมทรงขนมปังเมื่อครู่ก่อนเหมาะกับชุดสุ่ยหยุน แต่ไม่เหมาะกับชุดที่สวมใส่ในเวลานี้
“ปี้เอ๋อร์อยู่ที่ไหนหรือ?” มู่หรงฉิงมักจะรู้สึกแปลกพิกล ปี้เอ๋อร์ไปข้องเกี่ยวกับซูมู่หานั้แ่เมื่อไร? “ั้แ่ท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อ จวนของเราก็ไม่มีการติดต่อกับจวนของช่างชูอีกต่อไป ปี้เอ๋อร์รู้จักพี่ชายหานเปี่ยวได้อย่างไรกัน?”
“นี่ก็ทำให้บ่าวรู้สึกงุนงงเช่นกัน” แม่นมจิ่นมองเงาสะท้อนบนกระจก ได้เห็นมู่หรงฉิงงดงามราวกับดอกพุดบานก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “หลังจากฮูหยินแต่งงานกับนายท่าน ฮูหยินก็ตัดขาดการติดต่อกับจวนช่างชู ส่วนปี้เอ๋อร์ก็เป็บ่าวที่เลือกใช้ในภายหลัง และไม่มีการติดต่อกับจวนช่างชูโดยสิ้นเชิง”
เพียงชั่วพริบตาเดียว บรรยากาศภายในห้องก็เงียบลง
ยวี้เอ๋อร์มองสีหน้าของทั้งสามคน แต่นางกลับส่ายศีรษะด้วยสีหน้างุนงง และพูดกับมู่หรงฉิง “หลังจากเหน็ดเหนื่อยั้แ่เช้า คุณหนูแค่ทานข้าวต้มเพียงครึ่งชามเท่านั้น บ่าวจะไปหาอาหารมาให้ทาน”
ครั้นมู่หรงฉิงพยักหน้า ยวี้เอ๋อร์ก็เดินออกไปด้วยท่าทางไม่รู้ประสา
“คุณหนูใหญ่ ยวี้เอ๋อร์คนนี้ เฮ้อ...” มีบ่าวผู้ซื่อสัตย์แต่โง่งมอยู่เคียงข้าง นางไม่รู้ว่ามันเป็เื่ดีหรือไม่? แม่นมฟางถอนหายใจอย่างจนปัญญา และไม่พูดอะไรต่อไปอีก
“หลังจากเหตุการณ์คราวนี้ผ่านไปแล้ว ข้าจะคุยกับยวี้เอ๋อร์ให้อีกหน ถ้านางยังคงงี่เง่าอยู่อย่างนี้ ข้ากลัวว่านางจะทำร้ายชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า” หลังจากพูดจบ มู่หรงฉิงก็เท้าแขนกับโต๊ะพร้อมหลับตาครุ่นคิด
นางรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก ในขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นแรงมากด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้