ส่วนที่นาสามสิบแปลง นอกจากจะมีเสบียงเพียงพอให้คนทั้งบ้าน อีกทั้งซู่ซิว [1] ที่หลิววั่งกุ้ยใช้ก็ใช้เพียงข้าวขาวไม่กี่ร้อยชั่งก็แลกมาได้ หรือใช้ข้าวเปลือกหนึ่งร้อยห้าสิบชั่ง เพียงแต่หมึกกับพู่กันและกระดาษอาจจะต้องใช้เงินมากหน่อย
ในความเป็จริง เงินในมือของหลิวฉีซื่อนั้นมากมี ลำพังที่นาสามสิบแปลงก็เพียงพอที่จะเลี้ยงคนในครอบครัวได้แล้ว ยังมีใยลินินอีกสิบแปลง หลังจากหักส่วยยังคงเหลือเก้าตำลึงเงิน บวกกับที่นาหาได้อีกหลายสามสี่ตำลึง ก็ทำให้นางมีเงินเก็บมากกว่าร้อยตำลึง เดิมทีตั้งใจไว้ว่าจะใช้ตอนงานแต่งของบุตรชายคนที่สี่
นางคำนวณในใจชั่วครู่ การจะหาเงินอีกสักไม่กี่ตำลึงเงินในบ้านทุกปีก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ กระนั้นจึงอธิบาย “พี่สะใภ้ใหญ่พวกเ้าตั้งครรภ์อีกแล้ว ตระกูลหลิวของเราช่างมีโชคด้านนี้เหลือเกิน”
ไม่ว่าหลิวฉีซื่อจะรู้สึกไม่ยุติธรรมเพียงใดที่ต้องแต่งกับหลิวต้าฟู่ แต่อย่างน้อยการมีลูกมีหลานมากๆ ก็นับว่ามีบุญวาสนา ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าคนโตจะมีหลานอีก นางก็ปลื้มปิติ!
“ท้องอีกแล้วหรือ?” หลิวเหรินกุ้ยประหลาดใจแล้วรีบเค้นรอยยิ้มออกมา ใบหน้าปลื้มปริ่ม ไม่รู้ว่าปลื้มปริ่มจริงหรือไม่ “แม่ แต่เดิมมีเพียงจือเอ๋อร์ที่ร่ำเรียน ตอนนี้บวกกับเป่าเอ๋อร์ ดีที่เขายังเด็ก ค่าใช้จ่ายจึงไม่สูงนัก เพียงแต่ข้าเองยังต้องวางแผนเื่สินเ้าสาวออกเรือนของจูเอ๋อร์ให้มาก”
ปีนี้หลิวจู่เอ๋อร์มีอายุสิบเอ็ดปี ถึงเวลาที่ต้องตระเตรียมของแต่งงานแล้ว
หลิวฉีซื่อพยักหน้าแล้วเอ่ย “ก็เพราะเป่าเอ๋อร์ยังเด็กนัก? เ้าสี่ปีหน้าก็ต้องเข้าสอบของอำเภอ ไม่แน่ว่าต้องใช้เงินอีกมาก ส่วนเซิ่งเอ๋อร์ก็ต้องสอบระดับประถม พี่สะใภ้ใหญ่ของเ้าต้องหยุดงานเพื่อดูแลครรภ์ ไม่แน่ว่าในบ้านอาจจะต้องได้รับการเกื้อหนุนสักหน่อย ข้าคิดว่า ควรขายข้าวสารเสบียงที่มีอยู่ออกไป ให้เซิ่งเอ๋อร์ได้เรียนอย่างสบายใจ ปีหน้าในบ้านก็เลี้ยงหมูให้มากขึ้น ถึงเวลาจะได้เพิ่มรายได้เข้ามา แบ่งให้เซิ่งเอ๋อร์กับจือเอ๋อร์ ถือว่าเป็เงินเกื้อหนุนที่บ้านเราให้กับพวกเ้า”
เมื่อหลิวเหรินกุ้ยได้ยิน ไม่เพียงแต่ไม่ใช่ธุระอะไรของครอบครัวฝั่งตนเอง แต่ยังได้ผลประโยชน์จากเื่นี้ตั้งหลายตำลึง มีหรือที่เขาจะไม่ยินยอม จึงยิ้มและเอ่ยว่ามีเหตุผล
เดิมทีหลิวซานกุ้ยตั้งใจมาเป็เพียงผู้ฟัง แต่หลิวฉีซื่ออยู่ต่อหน้าหลิวต้าฟู่แล้วทำราวกับว่าตนเองนั้นเป็คนยุติธรรม
“แม่ หมูมากมายเพียงนั้น กุ้ยฮัวเลี้ยงไม่ไหวหรอก” คิดอยู่นานสักพัก เมื่อเห็นว่าการพูดคุยครั้งนี้ทุกฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์และกำลังจะแยกย้าย หลิวซานกุ้ยก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดความคิดเห็นของตนออกมาบ้าง
คิ้วของหลิวฉีซื่อคว่ำลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไฟในดวงตาเริ่มลุกโชน นางแค่เห็นหลิวซานกุ้ยก็โมโห
“ไยจึงเลี้ยงไม่ได้? ในเมื่อไม่ได้ท้องโต แล้วก็ทำแค่งานบ้านเล็กน้อย กินก็กินรำข้าว ก็แค่เพิ่มงานเล็กน้อย”
หลิวซานกุ้ยไม่เคยต่อกรกับหลิวฉีซื่ออย่างประจันหน้ามาก่อน เคยชินกับการเชื่อฟังว่าง่าย ดังนั้นพลังต่อสู้ของเด็กย่อมด้อยกว่า
นี่ปะไร เมื่อได้ยินคำถามบีบเค้นของหลิวฉีซื่อ เขาก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ได้แต่เอ่ยว่า “แม่ นั่นไม่ใช่เื่ของการแค่เพิ่มงานเล็กน้อย กุ้ยฮัวต้องให้นมชุนเซียง ยิ่งกว่านั้น ชุนเซียงเองก็เพิ่งคลอดออกมา”
คำพูดนี้ราวกับราดน้ำมันลงบนกองไฟ หลิวฉีซื่อตบมือลงบนคั่งเต็มแรง เอ่ยด้วยความโมโห “อะไร เห็นว่าคำพูดของแม่ไม่มีความหมายแล้วหรือ? เห็นว่าแม่แก่ ใช้งานนางไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
“แม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หลิวซานกุ้ยรู้สึกกังวลในใจ เขาอยากบอกว่าภรรยาของตนนั้นขยันหมั่นเพียรอย่างมาก เพียงแต่หลิวฉีซื่อไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบาย
“ทำไมจะไม่ได้หมายความเช่นนี้ แม้จะต้องให้นมกับชุนเซียง ก็ยังมีชิวเซียงกับเต้าเซียงไม่ใช่หรือ? ชิวเซียงช่วยนางทำงาน ส่วนเต้าเซียงก็ให้ช่วยดูชุนเซียง?”
หลิวฉีซื่อไม่เปิดโอกาสให้หลิวต้าฟู่ได้พูด อีกทั้งน้ำเสียงก็แน่วแน่ เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่พอใจของหลิวซานกุ้ยจึงเอ่ยอีก “ทำไม ก็แค่ตัวล้างผลาญไม่กี่ตัว เ้าไม่พอใจหรือ นี่ช่วยให้จางกุ้ยฮัวได้ดูแลร่างกายไม่ใช่หรือ? อีกอย่างชิวเซียงผ่านตรุษจีนไปก็จะสิบขวบ เต้าเซียงแปดขวบ จะช่วยทำงานไม่ได้เลยหรือ? บ้านไหนบ้างที่ไม่ได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ ซ้ายขวามีแต่ตัวล้างผลาญ ไม่ให้พวกมันออกไปช่วยทำงานที่บ้านแล้วจะให้กินนอนไปเปล่าๆ อย่างนั้นหรือ?”
“แม่ พวกนางหาได้กินอยู่เปล่าๆ? ข้าเองก็คอยแบกรับงานหนักไม่ใช่หรือ?” ในที่สุดความคิดของหลิวซานกุ้ยก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าตนเองดูแลที่นาสามสิบแปลงทั้งปี แล้วยังต้องดูแลไร่อีกสิบแปลง ถึงอย่างไรก็เพียงพอจะเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสามคนได้ “ยิ่งไปกว่านั้น ชิวเซียงกับเต้าเซียงก็ช่วยทำงานบ้านมาตลอด”
“หืม หากไม่ใช่เ้าที่ไปสู่ขอนางตัวล้างผลาญนั่นมา จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรือ? ต้องโทษข้าสินะ ตอนนั้นในบ้านยากจน ทั้งลูกเล็กเด็กแดงเต็มบ้าน ทั้งหมดสิบกว่าชีวิต มีใครบ้างที่ไม่ต้องกิน หากไม่ใช่เพราะต้องเอาสินสอดไปให้นาง แม่เองคงไม่โกรธจนถึงวันนี้ เ้ามันคนอกตัญญู เลี้ยงมาเสียข้าวสุก”
หลิวฉีซื่อเห็นว่าหลิวซานกุ้ยโกรธขึ้นเรื่อยๆ จึงเบี่ยงเบนหัวข้อ แล้วไปเอ่ยถึงเื่สินเ้าสาวของจางกุ้ยฮัว
ในเวลานั้น ในฐานะคนร่ำรวยในหมู่บ้านสามสิบลี้ หลิวฉีซื่อสามารถเอาสินสอดออกมาได้มากกว่านี้ เพียงแต่ว่าจางกุ้ยฮัวยากจน อีกทั้งสินเ้าสาวนั้นราคาถูกกว่าซื้อเด็กรับใช้เสียอีก นางจึงอาศัยว่าบ้านจางนั้นไม่มีเสาหลักที่พึ่งพิงได้ และมีความคิดว่าสามารถรังแกได้ จึงเอาเื่สินเ้าสาวของจางกุ้ยฮัวมาอ้าง เทียบกับสะใภ้อีกสองบ้านแล้ว ตอนที่จางกุ้ยฮัวแต่งเข้ามา นับว่าต่ำต้อยเหลือเกิน อีกทั้งให้กำเนิดแต่บุตรสาว จึงยิ่งกลายเป็ที่รองรับอารมณ์ของหลิวฉีซื่อ
เมื่อพูดถึงสินเ้าสาวนี้ หลิวซานกุ้ยพ่ายแพ้ราบคาบ เขาไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรต่อ
เพียงแต่พอนึกถึงเื่ที่หลิวจื้อเซิ่งไม่ได้ร่ำเรียน จนก่อให้เกิดความลำบากแก่ครอบครัวตนเอง เขาคิดเช่นไรก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง
ไม่รอให้เขาได้โต้กลับ หลิวต้าฟู่ก็หาวขึ้น ดวงตาง่วงซึมนั้นทำให้วางมือลงตรงเสาบนคั่งแล้วเอ่ย “เอาล่ะ เวลาก็ดึกมากแล้ว พวกเ้ารีบกลับไปพักผ่อน เ้าสาม บ้านเ้าอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย รอเซิ่งเอ๋อร์กับเ้าสี่สอบเข้าชิ่วไฉได้ ถึงตอนนั้นทั้งสองคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่ต้องให้ทรัพย์สิน ยังสามารถช่วยทางบ้านประหยัดค่าส่วยที่นาได้อีกกว่าครึ่ง ในบ้านมีคนร่ำเรียนยิ่งเยอะก็ยิ่งดี บ้านเราจะได้มั่งมียิ่งขึ้น”
หลิวซานกุ้ยไม่พอใจ เพียงแต่พ่อแม่ต่างก็พูดออกมาเช่นนี้ อีกทั้งในบ้านมีเพียงเขาที่ยังอยู่ หากไม่ใช่ครอบครัวฝั่งเขาที่ต้องทำงาน แล้วจะให้อีกสองครอบครัวมาทำได้อย่างไร
หลิวเหรินกุ้ยพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก “ใช่แล้ว เ้าสาม ลำบากครอบครัวเ้าหน่อยนะ จือเอ๋อร์อีกหน่อยได้ดี จะไม่ลืมอาสามอย่างเ้าแน่นอน อีกอย่างจูเอ๋อร์ก็ถูกยายของนางตามใจจนเสียคน หากว่าให้นางกลับมาทำงาน เกรงว่าน้าชายเขาคงต้องถือมีดฆ่าหมูบุกมาถึงบ้านแน่นอน”
เขากล้าที่จะพูดแบบนี้เพราะพี่สะใภ้ทุกคนของตระกูลซุนล้วนมีบุตรชาย แต่ว่า ในบ้านบุตรชายเยอะแยะมากมาย จึงรู้สึกหวงแหนบุตรสาว ดังนั้นทุกครั้งที่จูเอ๋อร์กลับบ้าน ฝั่งตระกูลซุนจึงชอบรับตัวซุนซื่อกับลูกๆ ไปพักที่บ้าน
หลิวซานกุ้ยรู้ว่าเื่นี้ไม่ถูกต้อง แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่มากเพียงพอ จึงได้แต่แบกรับความอัดอั้นกลับห้องปีกทิศตะวันตก
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขากลับไปถึงดึกดื่น หลิวเต้าเซียงที่กำลังหลับอุตุอยู่บนคั่ง ขณะอยู่ในภวังค์แห่งความฝันก็ได้ยินเสียงคนกำลังเรียกนาง
นางพยายามเปิดตาข้างหนึ่ง เห็นว่าหลิวซานกุ้ยกําลังเขย่านางเบาๆ และเอ่ยปากเรียก
เปรี๊ยะ! ความมืดมิดมีแสงสว่างขึ้นทันใด
ปรากฏว่าจางกุ้ยฮัวจุดตะเกียงน้ำมันเพียงดวงเดียวในบ้าน พูดตามความจริง หลิวซานกุ้ยยังไม่กลับมา ใจของนางเองก็ตุ้มๆ ต่อมๆ
“นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว? พ่อของลูก เหตุใดเ้าจึงสีหน้าไม่สู้ดีเช่นนี้? พ่อ เขา…” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เกรงว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้น
หลิวเต้าเซียงเห็นชัดเจนว่าใบหน้าของหลิวซานกุ้ยไม่ได้ดูดีนัก “พ่อ เป็อะไรไป?”
หลิวชิวเซียงก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นปีนลงมาจากคั่ง ดวงตาดำขลับมองมาที่เขา
หลิวซานกุ้ยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน เมื่อเห็นว่าคนทั้งบ้านลุกขึ้นมาแล้ว หากไม่พูดก็เกรงว่าพวกเขาก็คงนอนหลับไม่สนิท เขาถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปเบียดบนคั่งของลูกสาวเพื่อขอความอบอุ่น
“พ่อเพิ่งเรียกข้ากับพี่รองไปถกกันด้วยเื่บางอย่าง เพียงแต่พี่รองไม่ยอม ต่อมาแม่จึงคิดหาหนทางอื่น ถึงทำให้พี่รองรับปาก”
แล้วเขาก็บอกเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น
หลิวเต้าเซียงโกรธมากจนรูจมูกเปล่งควันสีขาวใส ทำแบบนี้ได้อย่างไร? เห็นคนในครอบครัวนางคืุ์แป้งหรือ คิดจะนวดอย่างไรก็ได้
“พ่อ ลุงใหญ่อยากให้พี่เซิ่งได้เรียน แต่เหตุใดต้องให้ครอบครัวเราเป็คนหาเงินส่งเสียเขาเรียนด้วย?”
หลิวซานกุ้ยเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะ เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าตรงไหนที่ผิดปกติ ที่แท้คำถามอยู่ที่ตรงนี้ ตอนนั้นเขาไม่ทันคิดได้
“เื่นี้ปู่และย่าของเ้าตัดสินใจไปแล้ว แต่การเอาเงินสิบตำลึงให้กับเซิ่งเอ๋อร์นั้นเป็เื่แค่ปีนี้ ส่วนปีหน้า ย่าเ้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ? ปีหน้าต้องเลี้ยงหมูหลายตัวหน่อย เงินมาจากหมู คงเอามาเกื้อหนุนได้ และไม่ใช้เงินสิบตำลึงต่อไป เพียงแค่ปีนี้เท่านั้น”
เขาเองก็ไม่้าผลลัพธ์เช่นนั้น แต่พ่อของเขาไม่ยอมให้เขาคัดค้านเลย
หลิวเต้าเซียงโมโหและเอ่ย “พ่อ ย่าไม่ได้ไม่มีเงินสักหน่อย เหตุใดจึงไม่้าให้ครอบครัวได้กินดีอยู่ดีบ้าง? อีกอย่าง สิบตำลึงเงิน จำนวนไม่น้อย จะว่าไป หนึ่งเดือนก่อนข้ากับพี่ใหญ่ยังไม่เคยรับรู้เลยด้วยซ้ำว่ารสหวานคืออะไร ปู่กับย่าลำเอียงเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพ่อไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกท่าน”
ราวกับว่าเก็บมาได้จากที่แห่งใด เพียงแต่หลิวเต้าเซียงไม่กล้าพูดออกมา ส่วนเื่จริงเป็เช่นไร นางจะต้องตรวจสอบให้รู้ชัด
จางกุ้ยฮัวก็โกรธเช่นกัน “ก็ใช่น่ะสิ พอคิดดูอย่างละเอียด ข้าว่าพ่อของลูก แม่เ้าไม่เคยมองเ้าเป็ลูกชายมาก่อน เ้าดูสิ ทั้งปีนอกจากสั่งงานเ้าแล้วยังทำเื่อันใดอีก? เคยให้เงินเ้าสักแดงหรือไม่? แม้ครอบครัวเราจะได้มาห้าร้อยอีแปะ ก็เกิดจากการที่เราโวยวายได้มา แต่ลุงใหญ่แค่เขียนจดหมายฉบับเดียว ย่าก็ยกให้สิบตำลึงเงิน นี่เพียงพอต่อครอบครัวเรากินใช้ไปหลายปี”
“ดังนั้น ม้าไม่มีทางอ้วนหากปราศจากหญ้า พ่อ ต่อไปต้องเบิกตาให้กว้าง หากว่างจากการทำนาก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ดีกว่า หรือไหว้วานให้ป้าหลี่ซานเสิ่นไปช่วยขายให้ พ่อว่าอย่างไร?” หลิวเต้าเซียงรู้ว่าหลิวฉีซื่อไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเื่นี้ แต่ในใจของนางก็ยอมไม่ได้ หลิวฉีซื่อตั้งใจแน่ชัดว่าจะให้หลิวชิวเซียงเป็คนเลี้ยงหมูเ่าั้ในปีหน้า ส่วนตนเองต้องเลี้ยงดูน้อง
ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบน้องสาวแสนดีคนนี้ เพียงแต่โมโหที่หลิวฉีซื่อทำเหมือนครอบครัวนางเป็คนรับใช้ที่สั่งงาน
ตอนนี้หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าพ่อแม่ของตนนั้นลำเอียง แม้ว่าเขาจะไม่มีบุตรชาย แต่ก็มีบุตรสาวสามคนที่ต้องเลี้ยง
หลิวเต้าเซียงเห็นเขาก้มศีรษะนิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรในใจ จึงเดาว่าในใจเขาเองก็คงแย่พอสมควร
“ลูกรัก พ่อรู้ว่าใจของเ้ารู้สึกแย่ แต่นี่คือชีวิตคน ลุงใหญ่เ้าส่งจดหมายมาว่า หากปู่ย่าจะให้เซิ่งเอ๋อร์เรียนต่อจริง พวกเขาคงจำต้องทำแท้งลูกคนที่สาม”
-----
เชิงอรรถ
[1] ซู่ซิว 束修 คือ เนื้อหมูเค็ม ในสมัยโบราณตามประวัติศาสตร์จีน มีเอกสารจารึกของขงจื้อได้บันทึกไว้ว่า 「自行束脩以上,吾未嘗無誨焉。有自己來跟我求教而獻上束脩之禮或束脩之禮以上的,我還沒有不教他們的。」ใครนำเนื้อหมูเค็มมาฝาก ถ้าเรายังไม่ได้ชิม ก็จะยังไม่สอนวิชาความรู้ให้หรอก เมื่อมีคนมาสมัครเพื่อขอรับการศึกษาหาความรู้ แล้วมีเนื้อหมูเค็มมาเป็ของฝากด้วย มีหรือที่เราจะไม่เป็ธุระสอนให้
จึงกลายเป็ที่มาของการใช้ซู่ซิวในการคำนับอาจารย์และถือเป็ค่าเล่าเรียนในยุคนั้น ซึ่งมีการสืบสานธรรมเนียมประเพณีนี้มายังยุคปัจจุบันในพิธีคำนับอาจารย์อีกด้วย ดังรูป