เนื่องจากเคยขายได้ทั้งหมดสามตัวเซี่ยเสี่ยวหลานจึงรู้ขนาดของเสื้อนอกเป็อย่างดี
“มีสินค้าไหมจ้ะ? พี่สาวเอาหนึ่งตัว”
หญิงสาวคนนั้นคือเสี่ยวฉิน
เหล่าเฉิงใส่เสื้อนอกเข้างานไปอวดสายตาผู้คน วัยรุ่นหลายคนในสำนักงานจึงอยากซื้อบ้างปรากฏว่าเมื่อวานเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มาตั้งแผงลอย วันนี้่เช้าก็ไม่มาอยากถามคนที่อยู่ที่นี่โดยตรง ทว่าหลิวหย่งต้องคอยคุมงานตกแต่งภายในที่ร้าน ส่วนหลี่เฟิ่งเหมยออกไปขายสินค้าั้แ่เช้าไม่แม้แต่จะกลับมารับประทานมื้อกลางวันประตูห้องปิดแน่นหาคนไม่พบ ใจเสี่ยวฉินจึงแอบรู้สึกลุกลน
เธอมิได้จะช่วยเพื่อนร่วมงานของสามีซื้อแต่อยากซื้อสักตัวให้แก่น้องชายของตนเอง
น้องชายเธอเป็ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ่นี้กำลังอยู่ใน่ดูตัวเสื้อนอกนี่ทำให้ดูหล่อเหลายิ่งนัก จูฟ่างใส่แล้วน่ามอง สามีเธอสวมแล้วไม่เลวน้องชายเธอตัวไม่เตี้ยเสียด้วย เสี่ยวฉินคาดว่าผลลัพธ์เมื่อสวมบนร่างกายคงดูดีทีเดียว
“ถ้ามีสีน้ำเงินนาวีขนาดเล็ก ก็เอาให้ฉันด้วยอีกตัวนะ”
มีลูกค้ามาเยือนด้วยตัวเอง เซี่ยเสี่ยวหลานกระตือรือร้นขึ้นทันใด
“คุณพี่คือลูกค้าประจำ ดังนั้นฉันจะให้ราคาวันนั้นกับคุณ”
เสี่ยวฉินลังเล “ลดอีกไม่ได้หรือ?”
ผู้ประกอบการค้าขายหน้าเืใต้หล้าคนไหนไม่มีแววตาแหลมคมบ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการขายเสื้อผ้าเช่นนี้ หากลูกค้าแสดงออกว่าชื่นชอบอย่างรวดเร็วผู้ค้าหน้าเืจะยอมถอยหรือ? เซี่ยเสี่ยวหลานตอบกลับด้วยความจริงใจเหลือล้น “ลดไม่ได้แล้วจริงๆ จ้ะ ฉันขายให้คนอื่น 140 หยวนทุกคนเลย”
เสี่ยวฉินได้ถามจูฟ่างแล้ว จูฟ่างที่เกรงว่าหากบอกราคาที่ตนซื้อออกไปจะกระทบต่อธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานจึงยืนยันบอกว่าตนซื้อในราคา 140 หยวน
เสี่ยวฉินจ่ายเงินซื้อ 138 หยวนดูเหมือนน้อยลงเพียง 2 หยวนเท่านั้น แต่เธอรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ประโยชน์อันยิ่งใหญ่อยู่ดี
เสี่ยวฉินชำระเงิน จากนั้นถือเสื้อนอกกลับบ้านแม่ไปทันทีคนงานหญิงของโรงงานฝ้ายแห่งชาติเข้างานสามกะ เวลาเข้างานไม่ตายตัว และเวลานี้หน่วยงานทั่วไปยังไม่เลิกงาน
ธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานเริ่มคึกคักขึ้นหลังจากเวลาเลิกงาน
พนักงานขององค์การรถไฟนั้นมั่งคั่ง เหล่าพนักงานบริการบนรถไฟสูงสง่าองอาจ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดไว้ไม่ผิดเลยเสื้อนอกรูปแบบนี้ ราวกับตัดพิเศษแทนคนเหล่านี้เสียจริงๆ
ทันสมัยกว่าเครื่องแบบของพวกเขา สินค้าคุณภาพดีสวมใส่ในสถานการณ์ใดก็ไม่น่าเกลียด
คนอายุ 20-30 ปีค่อนข้างชื่นชอบหากอายุน้อยกว่านี้จะคิดว่ามันเป็ทางการเกินไปอายุมากกว่านี้จะรู้สึกว่าไม่ภูมิฐานพอ
มนุษย์ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเพื่อความก้าวหน้าเมื่อเปลี่ยนไปขายยังสถานที่ซึ่งกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อเสื้อนอกชายที่จำนวนสินค้าล้นคลังของเซี่ยเสี่ยวหลานก็จำหน่ายออกไปได้เรื่อยๆระหว่างการขายนี้ เธอััได้ถึงอิทธิพลของการปฏิรูปเศรษฐกิจแม้ซางตูจะสู้เมืองชายฝั่งทะเลไม่ได้ เพราะย่างก้าวของการปฏิรูปเศรษฐกิจช้ากว่าเล็กน้อยอย่างไรเสียก็กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี... ผู้คนกำลังเรียนรู้ที่จะใช้เงินแต่งองค์ทรงเครื่อง และกำลังต้อนรับความนำสมัยอันแปลกใหม่
ก่อนที่จะไปหยางเฉิงอีกครั้ง เซี่ยเสี่ยวหลานส่งจดหมายให้โจวเฉิงหนึ่งฉบับ
ครั้งนี้เธอตระเตรียมล่วงหน้าก่อน เนื้อวัวของซางตูมีชื่อเสียงโด่งดังเนื้อวัวหมักซีอิ๊วเก็บรักษาได้ไม่นาน หลังเซี่ยเสี่ยวหลานซื้อเนื้อวัวมาก็จัดการอบแห้งบนเตาแปรรูปเป็เนื้อวัวแห้งกลิ่นหอมหวน จากนั้นค่อยส่งไปให้โจวเฉิง
กระดาษเหนียวห่อหุ้มเนื้อวัวทีละชั้นจนหนาแน่น นำเงินที่จูฟ่างคืนจำนวน 850 หยวนยัดไว้ในจดหมาย ใส่ลงไปในพัสดุด้วย
เดาจิตเดาใจไปมา ทั้งสองกลับเกิดช่องว่างระหว่างกันและกันเซี่ยเสี่ยวหลานจึงถามไถ่เื่ราวั้แ่ต้นจนจบกับโจวเฉิงในจดหมายเสียเลย
เธอเน้นย้ำในจดหมายว่า้าความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมและเคารพกันไม่รู้ว่าโจวเฉิงจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร?
----------------------------------------
พัสดุที่เซี่ยเสี่ยวหลานส่งไปปักกิ่งยังไม่ทันออกจากเขตของซางตู ณวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง เซี่ยจื่ออวี้ก็ได้รับโทรเลขจากครอบครัวอีกแล้ว
ถามเธอว่าปิดภาคเรียนฤดูหนาวจะกลับไปหรือไม่?
เซี่ยจื่ออวี้กำโทรเลขไว้พลางหัวเราะเย้ยหยัน หมู่บ้านต้าเหอแร้นแค้นเขตอันชิ่งยากจน แม้แต่เมืองหลวงประจำมณฑลอวี้หนานอย่างซางตูจะเปรียบกับปักกิ่งได้หรือ? ไม่ใช่เื่ง่ายดายกว่าจะหนีออกจากชนบทแสนทุรกันดารได้เซี่ยจื่ออวี้ไร้ซึ่งความคะนึงหาต่อบ้านเกิด เธอคิดจากก้นบึ้งของจิตใจว่าควรอยู่ในเมืองใหญ่
สภาพหอพักของวิทยาลัยฝึกหัดครูไม่ถือว่าดีเท่าไรนักศึกษาจำนวนหนึ่งเบียดเสียดกันอยู่บนเตียงสองชั้น
แต่หอพักแบบนี้กลับเหนือกว่าบ้านเซี่ยของหมู่บ้านต้าเหอยิ่งนักต่อให้เธอได้รับการพะเน้าพะนอมากพอในตระกูลเซี่ย มีห้องเดี่ยวเป็ของตนเองทว่าสภาพแวดล้อมที่มืดมัวนั้น รวมไปถึงฝุ่นจากพื้นดินในห้อง [1] ที่กวาดชั่วกาลก็ไม่มีทางสะอาด...เดินเตร่ในลานบ้านยังต้องระวังเหยียบมูลไก่ ชนบทยากจนแบบนั้นจะกลับไปทำไม
อย่างไรเสียเธอยังต้องกลับไปสักรอบจริงๆ
ตลอดหนึ่งภาคเรียน นอกจากเงินที่นำติดตัวมามหาวิทยาลัยในตอนแรกครอบครัวก็เคยส่งเงินให้เธออีกครั้งหนึ่ง่ระหว่างภาคเรียน
เซี่ยจื่ออวี้มิได้ใช้จ่ายเงินกับตัวเองคนในครอบครัวของหวังเจี้ยนหัวมีสภาพความเป็อยู่ในไร่นาที่ลำบากยากเข็ญเธอเกื้อกูลเงินไปทั้งหมดชีวิตบิดามารดาของหวังเจี้ยนหัวจึงดำเนินอย่างสุขสบายขึ้นบ้างจากคำบอกเล่าของหวังเจี้ยนหัว บิดามารดาเขาพึงพอใจเธอเหลือเกิน เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกอิ่มเอมใจทีเดียว
แม้จะเป็ยอดคนเพียงใด ก็ย่อมถูกซื้อใจด้วยบุญคุณเล็กน้อยที่โผล่มาทันท่วงที
เธอจ่ายเงินกับครอบครัวหวังเจี้ยนหัวราวหนึ่งพันกว่าหยวนผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ได้มีค่าเพียงเท่านี้แน่นอน
หวังเจี้ยนหัวไม่มีเงินมากมายอะไรนัก ปิดภาคเรียนฤดูหนาวอยากไปไร่สักหนและเผยความตั้งใจว่าจะพาเซี่ยจื่ออวี้ไปด้วยกัน นี่เสมือนเป็การพบผู้ปกครองแล้วเซี่ยจื่ออวี้จะไม่ให้ความสำคัญได้หรือ? เธอไม่อาจไปเยี่ยมเยือนด้วยมือเปล่าได้อีกอย่างเธอและหวังเจี้ยนหัวเดินทางจากปักกิ่งไปทั้งสองคนก็้าเงินสำหรับใช้จ่ายเช่นกัน
ร้านจางจี้อาหารว่างทำเงินได้อย่างน้อยหลายร้อยหยวนต่อเดือนเดิมควรจะมอบค่าใช้จ่ายระหว่างศึกษามหาวิทยาลัยให้เธออย่างสม่ำเสมอที่ไหนได้พอเธอจากอันชิ่งมา การกระทำของบิดามารดาเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เซี่ยจื่ออวี้โยนโทรเลขทิ้ง เธอยังนึกว่าตนเองยอดเยี่ยมเพียงพอที่จะสามารถทำให้พ่อแม่เปลี่ยนความคิดได้เสียอีก
พิจารณาแล้วสุดท้ายมนุษย์ก็มีใจเห็นแก่ตัว น้องชายร่วมสายเืยังอยู่ไม่ว่าอย่างไรบิดามารดาก็ต้องเก็บเงินไว้ให้สักหน่อยอยู่ดีเงินทองที่ร้านจางจี้อาหารว่างหาได้นั้นไม่มีทางส่งให้เธอใช้ทั้งหมดเซี่ยจื่ออวี้ครุ่นคิด ตนนั้นไม่ได้โง่เขลาเสียด้วยภายภาคหน้าหากมีธุรกิจที่ทำกำไรได้อีก เธอจะอุบไว้กึ่งหนึ่งแน่นอน
เซี่ยจื่ออวี้ไม่กังวลเื่การดำรงชีพมากนักการปฏิรูปเศรษฐกิจดำเนินต่อไป ช่องทางทำกินในอนาคตของเธอก็ไม่น้อย
ตอนนี้ความคิดจิตใจของเธอถูกหวังเจี้ยนหัวยึดครองไปมากกว่าครึ่งรองลงมายังมีการเรียนและการเข้าสังคมภายในรั้วสถานศึกษา เรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่เื่สุขสบายแม้ไม่ถึงขั้นอดหลับอดนอนเหมือนสมัยมัธยมปลาย ทว่าหากคาดหวังผลสอบยอดเยี่ยมตอนปลายภาค เซี่ยจื่ออวี้จำเป็ต้องลงทุนแรงกายแรงใจจำนวนมาก...เธอ้าใส่ใจการเรียน ความรัก และมนุษยสัมพันธ์ไปพร้อมๆ กัน พอย้ายจากที่เล็กๆอย่างเขตอันชิ่งมาปักกิ่ง เซี่ยจื่ออวี้ถึงพบว่าคนฉลาดเฉลียวมีอยู่มากมายนัก
เธอสามารถสอบเรียนปริญญาตรี ผลการเรียนเรียงอยู่อันดับต้นๆของอันชิ่งเซี่ยนอีจง
แต่ในชั้นเรียนของทุกวันนี้ เธอไม่กล้าเหลาะแหละกับการเรียนแม้แต่นิดเดียวคะแนนที่ได้รับเป็เพียงกลางสายน้ำเท่านั้น
สติปัญญาของแต่ละคนมีความแตกต่างจริงๆ หรือ?
เซี่ยจื่ออวี้ไม่อยากยอมรับจุดนี้เธอคิดว่าตนเองแค่ใช้เวลากับการเรียนยังไม่เพียงพอ นั่นก็ช่วยไม่ได้เธอต้องใช้เวลาเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบกายเสมอเธอคือคนจำนวนหยิบมือในกลุ่มเด็กใหม่ที่ได้เข้าร่วมสมาคมนักศึกษาเป็อันดับแรกนามของ ‘เซี่ยจื่ออวี้’ ไม่เพียงแต่กว้างขวางในหมู่นักศึกษาใหม่อีกทั้งเป็ที่รู้จักของคณะอาจารย์เช่นกัน
----------------------------------------
ระหว่างที่เซี่ยจื่ออวี้เดินทางกลับหอนอนได้ทักทายกับเพื่อนนักเรียนผู้คุ้นเคยคนแล้วคนเล่า
เมื่อเธอกลับมาถึงก็นำเสื้อผ้าสกปรกที่เอามาจากหวังเจี้ยนหัวรวมเข้าด้วยกันกับของเธอซักผ้าในฤดูหนาวเหน็บทำให้มือเย็นเหลือเกินบนนิ้วก้อยของเซี่ยจื่ออวี้เกิดผื่นหนาวขึ้น กลางวันถูกลมหนาวจัดจนชาจึงยังทนไหวตกกลางคืนจะทั้งคันทั้งเจ็บ
“จื่ออวี้ดีต่อคนรักเธอเกินไปแล้วหรือเปล่าน่ะ?”
“ซื่อสัตย์รักมั่นเกินขอบเขต...”
“ไม่สงสารจื่ออวี้เลยหรือ? มือเป็ผื่นหนาวแล้วยังซักผ้าให้เขาอีก!”
นี่คือคำวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนร่วมหอพวกเธอล้วนรู้สึกไม่พอใจแทนเซี่ยจื่ออวี้
เซี่ยจื่ออวี่ไม่โต้แย้งกลับ สิ่งที่ทำคุ้มค่าหรือไม่มีเพียงเธอเองที่แจ่มแจ้ง เขาว่ากันว่าต้องประสบความลำบากนานัปการถึงจะกลายเป็บุคคลผู้ประสบความสำเร็จ ซักผ้าด้วยน้ำเย็นในฤดูหนาวถือว่าลำบากหรือ? หากเธอสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย ยังซุกอยู่ในสถานที่แบบหมู่บ้านต้าเหอนั่นการซักน้ำเย็นอาจเป็เสื้อผ้าสกปรกของคนทั้งบ้านด้วยซ้ำ
“ฉันแค่สงสารเจี้ยนหัว พวกเขามีวิชาเฉพาะทางเยอะมาก อดนอนเสียจนขอบตาดำคล้ำอย่างไรเสียต้องซักผ้าของตัวเองอยู่แล้ว ก็ช่วยเขาแบ่งเบางานจุกจิกหน่อยเสียเลย...ไม่มีอะไรร้ายแรงน่า ทำที่บ้านเก่าจนชินแล้ว”
เหล่าเพื่อนร่วมหอของเซี่ยจื่ออวี้เงียบงันในทันที
หวังเจี้ยนหัวมุมานะยิ่งนัก ผลการเรียนเป็หัวแถวของวิทยาลัยพวกเขาอาจารย์ในคณะก็ใส่ใจไม่น้อย
เพื่อนร่วมหออีกคนซึ่งมาจากจากชนบทได้อธิบายแทนเซี่ยจื่ออวี้ “ไม่ใช่งานบ้านที่ต้องทำประจำตอนอยู่บ้านเก่าหรอกหรือ? ่หนาวจัดในแม่น้ำกลายเป็น้ำแข็ง ยังต้องขุดออกเพื่อซักเสื้อผ้าเลยนิ้วมือสิบนิ้วแข็งอย่างกับหัวแคร์รอต จื่ออวี้กับคนรักของเธอสนับสนุนซึ่งกันและกันคราวก่อนฉันได้ยินคนพูดกันว่ามีผู้หญิงสารภาพรักกับคนรักของเธอแต่นักเรียนหวังยืนหยัดปฏิเสธแสดงจุดยืนอันชัดเจนไปแล้ว!”
เชิงอรรถ
[1]บ้านในชนบทสมัยก่อนซึ่งมีสภาพค่อนข้างยากแค้นจะไม่ปูกระเบื้องเป็พื้นดินเปล่าเปลือย
