มู่จื่อหลิงกำมือของหลงเซี่ยวอวี่ไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่านาง้าระบายความโกรธด้วยวิธีนี้
เกลียดยิ่งนัก! ชายผู้นี้จูบหนักมากจนนางพูดไม่ชัด สามารถนึกภาพออกได้เลยว่าริมฝีปากของนางในยามนี้จะแดงและบวมมากเพียงใด
นางจะออกไปพบปะผู้คนได้อย่างไร? จะพูดได้อย่างไร? มู่จื่อหลิงรู้สึกขุ่นเคืองมากจนอยากจะปิดหน้า น่าอายนัก! มันช่างอับอายขายหน้า!
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะพูดไม่ชัด แต่หลงเซี่ยวอวี่ก็ยังเข้าใจ
ยามมองไปที่ผู้หญิงตัวเล็กผู้นี้ที่ใบหน้ามีเพียงความขมขื่นและความเกลียดชัง ราวกับจะรู้ว่าในยามนี้นางกำลังคิดอะไรอยู่ หลงเซี่ยวอวี่จึงพยายามกลั้นรอยยิ้มที่มีแต่จะกว้างขึ้นของตนเอาไว้
เขาเหลือบมองดูร่างที่สง่างามของมู่จื่อหลิง กวาดขึ้นลง ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ “ดูสิ เ้าเปียกหมดแล้ว ย่อมต้องเปลี่ยนชุดของเ้าออกก่อน”
มู่จื่อหลิงจับจ้องตามสายตาของเขา ก่อนจะค่อยๆ ก้มศีรษะลงอย่างช้าๆ เพื่อดูชุดบนร่างกายที่นางคิดว่ามันสามารถปกปิดร่างกายได้ดีมาโดยตลอด
เมื่อมู่จื่อหลิงเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ชุด’ บนร่างกายของนาง นางเกือบจะพุ่งกระแทกกำแพงด้วยความอับอาย
ชุดนี้ยังสามารถนับเป็ชุดได้อีกหรือไม่? มันเป็ทิวทัศน์อันแสนงดงาม [1] อย่างแท้จริง ไม่ต่างจากการไม่ใส่สิ่งใดแม้แต่น้อย!
มู่จื่อหลิงรู้สึกได้ทันทีว่าหลงเซี่ยวอวี่เห็นเรือนร่างของนางชัดเจนจนหมดแล้ว
ในเวลาเดียวกัน คำพูดยอมรับมันอย่างเป็ธรรมชาติของหลงเซี่ยวอวี่ก็แผ่ซ่านเข้ามาในหูของนาง...
ย่อมต้องเปลี่ยนชุดของเ้าออกก่อน!
ประโยคนี้ไม่ต่างจากะเิ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงะเิโครมครามออกจากใจของมู่จื่อหลิง มันทำให้นางกระสับกระส่าย
มู่จื่อหลิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง มือของหลงเซี่ยวอวี่ถูกปลดปล่อยจากการเกาะกุมของนาง จากนั้นหลงเซี่ยวอวี่จึงปลดปมชุดบนร่างของนางออก
ในยามที่หลงเซี่ยวอวี่กำลังจะคลายปมที่สอง มู่จื่อหลิงก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางปัดมือใหญ่ของหลงเซี่ยวอวี่ออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกของตนเองด้วยท่าทางป้องกันโดยไม่รู้ตัว “ท่านออกไปนะ ใครให้ท่านมาเปลี่ยนชุดให้ข้ากัน”
แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ในยามนี้เท้าของนางดูเหมือนจะยังอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรงอยู่ นางยังต้องพึ่งพาการประคองของหลงเซี่ยวอวี่ถึงจะสามารถยืนได้อย่างมั่นคง
เปลี่ยนชุด? เขา...เปลี่ยนชุดให้นาง? ช่างตลกเสียจริง!
เมื่อรับรู้ได้ว่ายามนี้นางมีแรงมากพอที่จะสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงแล้ว มู่จื่อหลิงจึงผลักหลงเซี่ยวอวี่ออกไป ผละตัวออกจากอ้อมกอดของเขา เม้มริมฝีปาก แสร้งทำเป็สงบ ก่อนพูดอย่างโกรธเคือง “ไม่จำเป็ ท่านออกไป ข้าเปลี่ยนชุดเองได้”
เห็นได้ชัดว่านี่คือห้องบรรทมของใครบางคน แต่นางกลับพูดได้อย่างเต็มปาก นางสามารถขับไล่เขาให้ออกไปได้ด้วยความมั่นใจ
กล้าใช้น้ำเสียงและท่าทีนี้พูดกับฉีอ๋อง ถึงกับกล้าขับไล่เขาออกไปอย่างอุกอาจ ช่างเปิดหูเปิดตาเสียจริง คงมีเพียงมู่จื่อหลิงที่สามารถทำเช่นนี้ได้
เป็เพียงมู่จื่อหลิงที่ไม่รู้
ไม่รู้ว่ามันเริ่มเมื่อใด ที่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาใกล้กันมากขึ้นอย่างไม่ทันได้รู้ตัว
ใกล้มาก...นางมักจะแสดงอารมณ์ต่อหน้าเขาโดยไม่ปิดบังและไม่เกรงกลัว
ทุกครั้งที่เขาเอาแต่ใจ ทุกครั้งที่เขาให้ท้ายนาง ทุกครั้งที่เขาตามใจนาง มันกวนใจนางตลอดเวลา
ใจที่เต้นไม่เป็จังหวะ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วนางจะตั้งใจยั่วยุเขา โต้เถียงเขา โกรธเขาจนเป็เื่เป็ราว ตะคอกทั้งยังจ้องเขม็งใส่เขา...
ยามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เกือบตลอดเวลานางมักจะทำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดในใต้หล้านี้กล้าทำกับเขา แต่เพียงเพราะไม่ว่านางปฏิบัติต่อเขาหรือเขาปฏิบัติต่อนางอย่างไร...ทั้งหมดล้วนเป็สิ่งที่สมเหตุสมผลไม่อาจสงสัยได้
หลงเซี่ยวอวี่ไม่สนใจท่าทางที่กล้าหาญของหญิงตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่เขาจะออกไปหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าไม่
มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่กระตุกเล็กน้อย เขาสวมชุดอย่างใจเย็น ก่อนเดินเข้ามาหามู่จื่อหลิง จับจ้องใบหน้าของนางด้วยดวงตาที่ราวกับมีดอยู่ภายใน วางมือบนไหล่เพรียวบางของนาง
“ช่างเป็ผู้หญิงที่ดื้อรั้นโง่เง่าเสียนี่กระไร นอกจากเรือนร่างของเปิ่นหวาง จำไว้ว่าเ้าไม่เคยเห็นเรือนร่างของผู้ใดอีก ในภายภาคหน้าเ้าจะเห็นได้เพียงร่างของเปิ่นหวางผู้เดียวเท่านั้น” ลมหายใจของหลงเซี่ยวอวี่พ่นลงบนใบหน้าของมู่จื่อหลิงโดยตรง
เสียงของเขาแหบต่ำ น่าฟังมาก แต่ดูเหมือนว่าจะมีคำเตือนที่หนักแน่น ทำให้หัวใจของมู่จื่อหลิงเต้นไม่เป็จังหวะด้วยความหวาดกลัว
ในตอนท้าย เขาจับคางเรียวของนาง ยกขึ้นอย่างนุ่มนวล ก่อนจะก้มลงมาแตะปากสีแดงของนางเบาๆ “เด็กดี รีบเปลี่ยนชุดเร็ว เปิ่นหวางจะไม่มอง”
หลังจากพูดจบ เขาก็ปล่อยตัวนาง ยกชุดคลุมขึ้น หันหลังให้มู่จื่อหลิง นั่งลงข้างบ่อน้ำอย่าง ‘สุภาพบุรุษ’ วางขาเรียวของเขาลงบนบ่อน้ำพุร้อนที่มีหมอกหนา
เมื่อเห็นหลงเซี่ยวอวี่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างาม มู่จื่อหลิงจึงยืนนิ่งด้วยความสับสนครู่หนึ่ง เมื่อมองจนมั่นใจว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่หันกลับมา นางจึงรีบเปลี่ยนชุด
โดยที่นางไม่รู้ว่าทุกการเคลื่อนไหวของนางสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนบนผิวน้ำที่ใสไร้คลื่น
จากนั้น สายตาของ ‘สุภาพบุรุษผู้ซื่อสัตย์’ ของฉีอ๋องย่อมจับจ้องอยู่กับภาพบนผิวน้ำ มองดูร่างงามที่ปรากฏอยู่ในน้ำด้วยประกายชั่วร้าย ราวกับว่าเขากำลังชื่นชมงานศิลปะที่มีแรงดึงดูดมหาศาล จดจ่ออย่างตั้งใจเพื่อไม่ให้พลาดสักรายละเอียด
ั์ตาของเขาดูส่องประกายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลับดูไม่มีความลามกเลย ตรงกันข้ามกลับให้ความรู้สึกเหมาะสม
หลังจากที่มู่จื่อหลิงเปลี่ยนชุด นางเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในยามนี้ใกล้จะเข้ายามเหม่า [2] แล้ว ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสลัว
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้นางต้องเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหวินอิ้น มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ใบหน้าเล็กๆ ของมู่จื่อหลิงบูดบึ้ง เดินไปด้านข้างหลงเซี่ยวอวี่ด้วยอารมณ์โกรธเคือง จ้องมองลงไปยังเขาอย่างทรงพลัง วางมือข้างหนึ่งบนสะโพกของตน อีกข้างชี้ไปที่ริมฝีปากบวมชา พร้อมกล่าวหาเขา “นี่คือผลงานของท่าน ท่านดู วันนี้ข้าต้องเข้าวัง เป็เช่นนี้ข้าจะไปได้อย่างไร?”
อันที่จริง จุดประสงค์หลักของนางไม่ใช่การกล่าวหาหลงเซี่ยวอวี่ที่ทำให้นางเป็เช่นนี้ แต่เป็เพราะในยามนี้นางยังไม่ได้คิดหาวิธีรับมือฮ่องเต้เลย
หลงเซี่ยวอวี่ส่งคนไปขัดขวางคำสั่งของไทเฮา ซึ่งมันเป็เื่ดี แต่มันกลับดึงดูดฮ่องเต้ที่ยากจะจัดการมาหานาง มันไม่ยุติธรรมเลย วันนี้ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ต้องพาหลงเซี่ยวอวี่เข้าวังไปพร้อมกับนางให้ได้
แม้จะไม่รู้ว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นเรียกตัวนางไปเพราะเห็นแก่องค์หญิงอันหย่าหรือไม่ แต่เพื่อความปลอดภัย นางต้องให้ฉีอ๋องผู้นี้ไปกับนาง
มีเขาอยู่ อย่างน้อย...นางก็สบายใจ
ไม่รู้เพราะเหตุใด มู่จื่อหลิงรู้สึกว่าหากมีหลงเซี่ยวอวี่อยู่ด้วย แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากเพียงใด ก็จะสามารถเอาชนะมันได้ในที่สุด
ใบหน้าที่สงบและอ่อนโยนภายใต้หมอกหนาของหลงเซี่ยวอวี่ ในยามนี้เป็สีแดงระเรื่อราวคนที่กำลังมึนเมา ผสมผสานจนเกิดเป็ภาพงดงามจนน่าทึ่ง
ยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่จื่อหลิงที่กำลังยืนเท้าสะโพกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ในตอนแรกหลงเซี่ยวอวี่ใเล็กน้อย จากนั้น มุมปากของเขาก็ค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มเ้าชู้ชวนหลงใหล
รอยยิ้มนี้ แม้แต่ลมหายใจรอบตัวเขาก็ยังอ่อนโยนเป็พิเศษ
ดูเหมือนว่าเขาจะมองแผนการน้อยๆ ภายในใจของมู่จื่อหลิงออกแล้ว แต่หลงเซี่ยวอวี่กลับยื่นมือออกมา แสร้งถามอย่างเป็ทุกข์ “เช่นนั้นควรทำอย่างไร? หรือเปิ่นหวางควรให้เ้าได้กัดกลับ?”
“ท่าน...” มู่จื่อหลิงโกรธมาก นางเกือบจะพ่ายแพ้ให้กับดวงตาไร้ยางอายของคนผู้นี้แล้ว
นางบอกว่าต้องเข้าวัง ต้องเข้าวังนะ! ชายผู้นี้ยังทำตัวราวกับไม่มีเื่ใดเกิดขึ้นได้อย่างไร เปลี่ยนเื่อย่างไร้ยางอาย
“ท่านให้คนขัดขวางรับสั่งของไทเฮา แต่กลับมีพระราชโองการของเสด็จพ่อของท่าน...เรียกตัวข้าเข้าวัง” มู่จื่อหลิงกระทืบเท้าอย่างแรง เอ่ยเน้นย้ำอีกครั้ง
นางยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด หลงเซี่ยวอวี่จึงไม่คิดถึงผลที่ตามมา
แต่เมื่อดูจากท่าทางสงบของเขา ดูเหมือนว่าเขาวางกลยุทธ์ไว้ก่อนแล้ว ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หัวของมู่จื่อหลิงเริ่มสับสนจากการคิดเกี่ยวกับเื่นี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ยังหาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้เลย
หลงเซี่ยวอวี่ยิ้มออกมาอย่างสุดกลั้น เหยียดแขนเรียวของตนออกมาดึงมู่จื่อหลิงให้นั่งลง เขาจับนางมาพิงแนบบนตักของตน
ท่าทางที่สนิทสนมเช่นนี้ ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางกำลังจะต่อต้าน
“เด็กดี อย่าขยับ ไม่เช่นนั้นเปิ่นหวางจะไม่พาเ้าเข้าวัง” หลงเซี่ยวอวี่พูดออกมาช้าๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงสงบลงทันที แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ชายที่น่ารังเกียจผู้นี้รู้ดีว่านางหมายถึงอะไร เขาจงใจเล่นสนุกกับนางอีก
หลงเซี่ยวอวี่เหยียดนิ้วเรียวยาวออกมาสางผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยของมู่จื่อหลิงให้เรียบตรง ใช้กำลังภายในทำให้ผมของนางแห้ง
ความอบอุ่นและนุ่มนวลบนศีรษะของนาง ทำให้หัวใจของมู่จื่อหลิงอบอุ่นขึ้นในทันที นั่งอยู่บนตักของเขาอย่างเงียบๆ มีความคิดมากมายในหัวของนาง
ทำอย่างไรดี...ดูเหมือนนางจะยิ่งจมลึกลงไปเรื่อยๆ แล้ว
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ทิวทัศน์อันแสนงดงาม (风光无限) เป็สำนวน มีความหมายว่า ภาพที่เห็นเบื้องหน้างดงามจนทำให้เกิดความหลงใหล ส่วนมากจะใช้ในการพรรณนาถึงความงามของคน
[2] ยามเหม่า (卯时) คำบอก่เวลา เป็่ 05:00 – 06:59 น.