หลังจากถังเหล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็แบกฉินเฮ่าเข้าไปในถ้ำบนเทือกเขาสัตว์อสูร เขาวางร่างไร้สติของฉินเฮ่าลงบนพื้นถ้ำ
ก่อนที่เขาจะออกไปหาวัตถุดิบมาปรุงยาถอนพิษให้กับฉินเฮ่า เขาได้วางหญ้ามายาไว้ตรงปากถ้ำเพื่อป้องกันสัตว์อสูร
โชคดีที่ถังเหล่ยสามารถหาวัตถุดิบที่้าได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากทั้งสองคนอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาสัตว์อสูรจึงไม่มีกลุ่มคนเก็บสมุนไพรล่วงล้ำเข้ามา ไม่เช่นนั้นวัตถุดิบปรุงยาคงถูกเก็บไปหมดแล้ว
“เ้าเด็กนี่ช่างโชคดีจริงๆ แต่ฝีมือการปรุงยาระดับราชันของข้าจะช่วยเ้าได้หรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน” ถังเหล่ยพึมพำกับตัวเอง
ทันทีที่ถังเหล่ยกลับมาถึงถ้ำ เขาเริ่มปรุงยาถอนพิษให้กับฉินเฮ่าทันที วัตถุดิบที่เขาเก็บมาได้กลายเป็ผงอย่างรวดเร็วด้วยทักษะการสกัดยาของเขา
จากนั้นถังเหล่ยก็หยิบแก่นอสูรระดับิญญาออกมาหนึ่งเม็ดเพื่อใช้เป็ส่วนผสมในการปรุงยา สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างจากตอนที่ปรุงยาถอนพิษให้ถังจงเวยมากนัก พิษในร่างของฉินเฮ่ารุนแรงพอสมควร
หลังจากปรุงยาเสร็จถังเหล่ยก็ยัดยาเข้าไปในปากของฉินเฮ่าทันที พร้อมกับใช้พลังปราณกระตุ้นให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถังเหล่ยจึงเดินไปที่อีกมุมหนึ่งของถ้ำและเริ่มบ่มเพาะิญญายุทธ์ัคชสาร[ไ.1] อีกครั้ง เมื่อตอนที่เขาต่อสู้กับชายชุดดำเขาััได้ว่าเขามีใกล้จะทะลวงระดับขึ้นไปอีกขั้น
ในขณะนี้ถังเหล่ยมีทั้งโอกาสและเวลาแล้ว เขาไม่สามารถปล่อยให้เวลาเสียเปล่าได้ เขาหยิบแก่นอสูรระดับิญญาออกมาและเริ่มดูดซับพลังปราณฟ้าดินที่กระจายอยู่โดยรอบเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว
“ฟู่!”
ทันทีที่ถังเหล่ยดูดซับพลังปราณเสร็จสิ้น เขาก็ทะลวงระดับเป็ผู้ชำนาญยุทธ์ขั้นสามและพลังปราณของถังเหล่ยก็กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
ความแข็งแกร่งของร่างกายมีส่วนช่วยในการทะลวงระดับให้สูงขึ้น ชาติที่แล้วเขาอยู่ในระดับราชันยุทธ์ และรู้ว่าหลังจากเพิ่มระดับไปถึงจุดๆ หนึ่งความแข็งแกร่งทางร่างกายจะกลายเป็ตัวถ่วงไม่ให้เขาสามารถเพิ่มระดับพลังยุทธ์ได้มากขึ้น
ตระกูลใหญ่ส่วนมากมักจะให้ความสำคัญกับการฝึกฝนร่างกาย และไม่อนุญาตให้บรรดาทายาทของเขาทะลวงระดับเร็วเกินไป พวกเขาจะอนุญาตให้ทะลวงระดับก็ต่อเมื่อความแข็งแกร่งทางร่างกายมีความเหมาะสมแล้วเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นตระกูลเล็กๆ ในเมืองอวิ๋นหลิวแม้จะมีอัจฉริยะบางคนที่สามารถไปถึงขอบเขตผู้ชำนาญยุทธ์ั้แ่อายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่ด้วยภูมิหลังอันต่ำต้อยและไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกายของตัวเองไปพร้อมกับพลังยุทธ์ได้ ระดับผู้ทรงยุทธ์จึงเป็ขีดจำกัดที่พวกเขาสามารถไปถึงได้
ในชาติที่แล้วถังเหล่ยก็นับได้ว่าเป็อัจฉริยะระดับสูงเช่นกัน แต่เมื่อเขาเริ่มบ่มเพาะิญญายุทธ์ัคชสารเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าหากเทียบกับตัวตนในชาติที่แล้วเขาแข็งแกร่งกว่าตัวเขาใน่เวลาเดียวกันมาก
ิญญายุทธ์เพลิงโอสถระดับปฐีของถังเหล่ยในชาติที่แล้วถือว่าเป็หนึ่งในิญญายุทธ์ที่ดีที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามิญญายุทธ์ัคชสารนี้เป็สิ่งที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้ถังเหล่ยสามารถยกระดับิญญายุทธ์ไปถึงขั้นที่สิบสองเลยทีเดียว นี่เป็สิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
เหตุนี้เขาจึง้าไปทีู่เาจู่หุนเพื่อต่อยอดิญญายุทธ์ัคชสารให้มีระดับสูงขึ้น [ไ.2]
แต่ในขณะนี้สถานการณ์ไม่ค่อยเป็ใจมากนัก การออกจากจักรวรรดิเทียนอวี่คือปัญหาใหญ่ของเขา
ทันใดนั้นเขาก็พบว่าฉินเฮ่าได้สติแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกไปว่า “ฟื้นตัวเร็วกว่าที่ข้าคาดเอาไว้เสียอีก ถือว่าเ้าร่างกายแข็งแกร่งพอสมควร!”
“ข้าคิดว่าข้าจะตายไปแล้วเสียอีก” ฉินเฮ่าถอนหายใจขณะที่กล่าวและรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง
ฉินเฮ่าเองก็ไม่รู้ว่าตนโดนลูกดอกอาบยาพิษั้แ่เมื่อใด ทันทีที่เขารู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว พิษกระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ ข้างกายเขามีเพียงถังเหล่ยและก็ไม่รู้ว่าถังเหล่ยจะสามารถหาทางถอนพิษให้กับเขาได้หรือไม่
“เ้าช่วยข้าจากชายชุดดำ ข้าจึงช่วยเ้าเป็การตอบแทน” ถังเหล่ยยักไหล่
“น่าสมเพชที่สุด ข้าออกมาจับคนร้ายแต่กลับถูกคนร้ายช่วยชีวิตไว้แทน หากไม่มีเ้าตัวข้าคงกลายเป็ผีไปแล้ว” ฉินเฮ่ากล่าวด้วยความรู้สึกผิดหวังในตัวเอง ขณะที่พยายามพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแต่ไม่สามารถทำได้
“ข้าว่าเ้าควรนอนอยู่นิ่งๆ จะดีกว่า พิษในร่างของเ้ายังไม่ได้ถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์” ถังเหล่ยกล่าวขณะจ้องมองฉินเฮ่า
“มือสังหารที่เยียนหลิงเทียนส่งมาล้วนเป็ยอดฝีมือระดับสูงทั้งสิ้น” ฉินเฮ่ากล่าวขณะที่นอนอยู่บนพื้นพร้อมแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแค้น
ถึงแม้ฉินเฮ่าจะรู้ว่าชายชุดดำที่ลอบสังหารพวกเขาได้รับคำสั่งมาจากใคร แต่เขาไม่มีหลักฐานใดๆ ต่อให้สามารถจับเป็พวกมันกลับมาก็ไม่อาจเอาผิดเยียนหลิงเทียนได้
“เ้ามั่นใจหรือว่าหน่วยผู้คุมกฎจะสามารถสู้กับเยียนหลิงเทียนได้?” ถังเหล่ยกล่าวและมองมายังฉินเฮ่าอีกครั้ง
“หน่วยผู้คุมกฎคือหน่วยที่าาอวี่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง หากมีหลักฐานชัดเจนต่อให้เป็เยียนหลิงเทียนก็ต้องถูกลงโทษ แต่น่าเสียดายพวกเราไม่มีหลักฐาน นี่คือปัญหาใหญ่ของเรา” ฉินเฮ่าถอนหายใจ
“เหตุใดทางจักรวรรดิจึงส่งหน่วยของเ้าออกมาเพียงลำพัง?” ถังเหล่ยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ภารกิจจับผู้ชำนาญยุทธ์เพียงคนเดียวไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า สิ่งที่ข้ากับเ้าเจอคือสิ่งที่เกินความคาดหมาย” ฉินเฮ่ากล่าวและก้มหน้าอีกครั้ง
ความจริงแล้วฉินเฮ่าแค่อยากเห็นว่าผู้ชำนาญยุทธ์คนใดที่สังหารเยียนหลิงซาน แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือผู้ชำนาญยุทธ์คนนั้นกลับเป็คนที่อยู่เคียงข้างเขาในเวลาเช่นนี้
ในขณะนี้ความคิดที่จะนำตัวถังเหล่ยกลับไปของฉินเฮ่าได้หายไปแล้ว เพราะแม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
ถังเหล่ยยังคงสงบนิ่ง เขารู้สึกว่าการที่เขาถูกไล่ล่าก็เป็เพราะตัวเขาในตอนนี้อ่อนแอเกินไป หากเขาแข็งแกร่งมากพอใครจะกล้าไล่ล่าเขา
……….