ในที่สุดเย่เฟิงก็ต้องแสดงทักษะลอบสังหารให้เย่เวิ่นเทียนตรวจสอบ แม้แต่เย่เวิ่นเทียนก็ไม่สามารถััได้ว่าชายหนุ่มเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ ยิ่งกว่านั้นพลังของเขาไม่คล้ายกับพลังภายใน...
“ใครเป็คนสอนแก?” ชายชราถามด้วยความสงสัย
“ยอดฝีมือลึกลับผู้หนึ่ง” เย่เฟิงนึกถึงอาจารย์ของเขาในโลกเทวะแล้วหดหู่ใจเล็กน้อย “แม้แต่วรยุทธ์ของปู่ก็ยังด้อยกว่าเธอ”
“เป็อย่างนั้นหรือ?” เย่เวิ่นเทียนขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อที่หลานชายพูด แม้วรยุทธ์ของเขาจะไม่ได้อยู่อันดับต้นๆ แต่ก็จัดว่าเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับสูงคนหนึ่ง ถึงอย่างนั้นเย่เวิ่นเทียนก็ไม่ถามต่อ “อืม ถึงยังไงแกก็เข้ามาในเส้นทางนี้แล้ว ทั้งยังปิดบังพลังของตัวเองได้ ไอ้แก่คนนี้จะไม่ยุ่งอีก แต่ยังไงก็ตามเ้าเด็กเวร แกต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครจับได้ โดยเฉพาะคนตระกูลหลง เข้าใจไหม?”
ตระกูลหลงทำไม? เย่เฟิงไม่ถามต่อเพียงพยักหน้ารับ “ได้เลย”
“นี่ จำเบอร์โทรนี้ไว้ มันเป็เบอร์เพื่อนเก่าของฉัน หลังจากนี้ถ้าแกมีปัญหาอะไรหรือ้าความช่วยเหลือก็โทรไปหาเขา” เย่เวิ่นเทียนพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือค้นเบอร์ติดต่อให้
เย่เฟิงสะดุ้ง เฮ้ย! ไอ้แก่นี่มีโทรศัพท์มือถือกับเขาด้วย?
“อะไร แปลกใจขนาดนั้นเลยเหรอไอ้เด็กเวร รีบจดเบอร์สิ เวลาของฉันมีค่ามากนะ” เย่เวิ่นเทียนตบหัวเย่เฟิงทีหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ชายหนุ่มมองหมายเลขอย่างหมดหนทาง ชื่อผู้ติดต่อคือ ‘หลินหงชวน’ เขาอดถามไม่ได้ “ปู่ หลินหงชวนนี่ใช่ตระกูลหลินที่เป็ตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเยี่ยนจิงหรือเปล่า?
“ใช่” เย่เวิ่นเทียนพยักหน้า “พวกเราตกลงกันไว้ว่า เมื่อแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยเยี่ยนได้ เขาจะยกหลานสาวให้แก”
“เดี๋ยวๆ” เย่เฟิงโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกไม่ค่อยดี ไม่ว่าใครในโลกนี้ต่างรู้สึกอย่างเดียวกันเมื่อถูกบังคับแต่งงาน
‘ฉันเป็คนมีพร์ จะยอมแพ้กับเื่แบบนี้ได้ไง’ เย่เฟิงคิดในใจ ใครจะรู้ว่าหลานสาวของหลินหงชวนสวยหรือน่าเกลียด? อ้วนหรือผอม? สูงหรือเตี้ย? นิสัยแย่ก็ไม่โอเค… แม้เคยได้ยินโอวบีพูดว่าตระกูลหลินมีสาวสวย แต่ไม่แน่ใจว่าพวกเขาพูดถึงคนคนเดียวกันหรือไม่
“ผมขอปฏิเสธ” เย่เฟิงนึกแบบนั้นแล้วก็ปฏิเสธหนักแน่น
“ไอ้เด็กเวร ไม่ยอมก็ต้องยอม” เย่เวิ่นเทียนดุก่อนผุดยิ้ม “หรือแกจะหลงรักสาวน้อยที่อยู่ข้างบ้านเสียแล้ว ฉันบอกแกตามตรงเลยนะ ไว้แกเจอตัวหลานสาวตระกูลหลินเมื่อไร ถึงตอนนั้นแกจะไม่มองผู้หญิงคนอื่นอีกเลย”
“อะไรจะขนาดนั้น แล้วเธอชื่ออะไร?” เย่เฟิงไม่อธิบายเื่ซูเมิ่งหาน แต่อยากรู้ชื่อของหญิงสาว
“หลินซือฉิง เธอเป็ที่รู้จักกันดีในมหาวิทยาลัยเยี่ยน” เย่เวิ่นเทียนพูดพร้อมตบไหล่หลานชาย “อย่าลังเล ความโชคดีระดับนี้ไม่ใช่ใครคิดจะมีก็มีได้ อย่ายุ่งเกี่ยวกับเื่ในยุทธจักรมากเกินไป มันไม่ดีต่อแก ฉันจะส่งคนคอยสอดส่องแกเอง...”
“เดี๋ยวๆ” สีหน้าของเย่เฟิงเปลี่ยนไป “เอาอย่างนี้ไหม? เราทำข้อตกลงกันดีกว่า”
เย่เฟิงไม่สามารถให้ใครสอดแนมเขาตลอดเวลาได้ แบบนั้นมันไม่มีอิสระเลย เอาเหอะ... สละบางอย่างดีกว่าเสียทุกอย่าง
“ข้อตกลงอะไร?” เย่เวิ่นเทียนขมวดคิ้ว
“ผมสัญญาว่าจะยอมรับหลินซือฉิงอะไรนั่นและสอบเข้ามหาวิทยาลัยลัยเยี่ยนด้วย” เย่เฟิงพูดช้าๆ “แต่อย่าส่งคนมาสอดแนม อีกอย่างเื่ที่เหลือของผมก็ไม่ต้องยุ่ง เป็ไง ถ้าไม่ตกลงผมยอมตายดีกว่า”
“ก็ได้ไอ้เด็กเวร แกแน่มาก” เย่เวิ่นเทียนยิ้มเ้าเล่ห์ก่อนเสริม “ในเมื่อตระกูลเราเหลือกันอยู่สองคนคือฉันกับแก เพราะฉะนั้นตาแก่คนนี้จะส่งใครไปสอดแนมแกได้ล่ะ ฮ่าๆๆ”
เย่เฟิงได้ยินดังนั้นก็สบถในใจ บัดซบ... โดนหลอก! ไอ้แก่นี่ก็แค่ผู้บัญชาการที่มีแต่เปลือก จะส่งใครมาสอดแนมเขาได้?
“เอาล่ะ ในเมื่อตกลงแล้ว แกไม่ผิดหวังแน่… ฉันคงต้องไปแล้ว” เมื่อเย่เวิ่นเทียนพูดจบก็ยิ้มเ้าเล่ห์แล้วหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายลม
เย่เฟิงสาปส่งปู่ในใจ ว่าเเล้วว่าต้องโดนหลอก ทำอย่างไรดี หรือต้องหมั้นกับหลินซือฉิงนั่น?
“ช่างเถอะ เื่แบบนี้ยังไม่ต้องคิด ต่อให้เรายอมแต่หลินซือฉิงอาจไม่ยอมก็ได้” เย่เฟิงยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าและมองตัวเอง ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนชายรูปหล่อร่ำรวย ตระกูลหลินคือตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเยี่ยนจิง หลินซือฉิงก็คงเป็ผู้หญิงหัวสูง คงไม่สนใจคนอย่างเขาหรอก
เย่เฟิงไม่คิดมากและไม่ได้ไปแผนกต้อนรับเพื่อเปิดห้อง อยู่ที่นี่คืนเดียว แค่ห้องเดียวก็พอ ประหยัดได้ก็ประหยัด เขาอาบน้ำอย่างสบายใจ จากนั้นเอนตัวนอนบนเตียง ไม่นานก็หลับไป
เมื่อไม่มีจิตหยั่งรู้แล้วไม่สะดวกจริงๆ แค่นอนหลับยังไม่วางใจ ถ้าเขามีพลังระดับสิบปีจะสามารถใช้จิตหยั่งรู้ได้ ต่อให้หลับลึกแค่ไหนก็สามารถรับรู้ลมและหญ้าโดยรอบอย่างชัดเจนความสามารถที่ต่อต้านฟ้าแบบนี้มีแค่ผู้ฝึกวิถีเซียนเท่านั้นที่ฝึกได้ ต่อให้เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์แบบเย่เวิ่นเทียนหรือตาเฒ่าหวงก็ไม่สามารถฝึกทักษะนี้ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ต้องจับไหล่ของเย่เฟิงเพื่อตรวจสอบระดับพลังของเขา ใช้จิตหยั่งรู้ตรวจสอบก็รู้อย่างง่ายดาย
............
เช้าวันต่อมา หลังจากเย่เฟิงและซูเมิ่งหานตื่นก็โบกรถแท็กซี่มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟ
“เงินสองแสนนั่นฉันจะคืนให้นายทีหลัง” ซูเมิ่งหานกัดริมฝีปากก่อนพูดขณะอยู่บนรถ
“ช่างมันเถอะ” เย่เฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่ายหัว
เวลานี้ เขารู้สถานการณ์ครอบครัวของสาวน้อยคนนี้ดี หากรอเธอคืนเงินสองแสน ไม่รู้ต้องรอนานแค่ไหน ไม่สู้ยกให้เธอไปเลยดีกว่า อย่างไรเขาก็มีแก๊งอสรพิษ์หนุนหลัง เงินสองแสนไม่นับเป็เื่ใหญ่
“ไม่ได้ ฉันไม่อยากติดหนี้นาย” ซูเมิ่งหานมองนอกหน้าต่าง ขนตายาวของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่ใบหน้านิ่งเฉย
“ถ้างั้นก็แล้วแต่” เย่เฟิงไม่พูดมาก เขาี้เีต่อล้อต่อเถียงกับเธอ
“นาย...” ซูเมิ่งหานหันกลับมาจ้องเย่เฟิงเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่กลับลังเล
“ฉันทำไมหรือ?” เย่เฟิงมองอย่างแปลกใจ
ซูเมิ่งหานอยากถามบางอย่าง แต่คำพูดกลับติดอยู่ที่ปากและพูดไม่ออก หัวใจของเธอย้ำเตือนว่าอย่าหลงกลเย่เฟิง สุดท้ายจะเป็เหมือนสาวสวยหน้าโรงพยาบาลคนนั้น
“ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” ซูเมิ่งหานส่ายหัว ตั้งใจว่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเย่เฟิงอีกต่อไป
เย่เฟิงไม่มีทักษะการอ่านความคิดจึงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มพยายามคาดเดาแล้วเอ่ย “เธอกำลังคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของเธอ เหรอ? ไม่ต้องห่วง กลับไปเมื่อไร ฉันจะตรวจสอบแหล่งที่มาของยาแล้วให้คำอธิบายกับเธอ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเื่นั้นสักหน่อย คนโง่” ซูเมิ่งหานตำหนิเย่เฟิงในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
หลังจากผ่านเื่ราวมากมาย เธอรู้สึกสับสนและไม่รู้จะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเย่เฟิงอย่างไร หญิงสาวได้แต่มองนอกหน้าต่างเงียบๆ ท่าทางภายนอกนิ่งสงบแต่ข้างในกลับไม่สามารถสงบใจได้ หลังจากไม่ได้นอนมาทั้งคืนจึงอ่อนเพลีย หลังจากขึ้นรถไฟก็พิงไหล่เย่เฟิงหลับไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้