ทันทีที่เปิดประตู กลิ่นหอมหวานของธัญพืชหมักก็อบอวลไปทั่วในอากาศ
หวาชิงเสวี่ยเดินตามกลิ่นไปยังห้องครัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเห็นป้าเหอกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง บนเขียงโรยด้วยแป้งสาลีสีขาวบางๆ มีหมั่นโถวขาวอวบวางเรียงรายอย่างเป็ระเบียบ
เมื่อป้าเหอเห็นนางเข้ามา ก็ยื่นมือไปหยิบหมั่นโถวส่งให้นาง “ตื่นแล้วหรือ? นี่ เอาไปกินสิ”
หมั่นโถวร้อนๆ เมื่อถือไว้ในมือก็รู้สึกเหมือนจะลวกมือเล็กน้อย หวาชิงเสวี่ยจึงเป่าลมเบาๆ แล้วพูดว่า “หอมจัง”
แถมยังขาว นุ่ม และกลมอีกต่างหาก แค่มองก็น่ากินแล้ว
หวาชิงเสวี่ยไม่เกรงใจ กัดเข้าไปคำหนึ่งทันที เนื้อนุ่มหนึบ และหลังจากเคี้ยวก็ค่อยๆ มีรสหวานของน้ำตาลมอลโทสที่ได้จากการหมักแป้ง อร่อยสุดๆ เลย!
บางทีอาจเป็เพราะท้องว่าง แค่หมั่นโถวแป้งสาลีขาวลูกแรกในตอนเช้า ก็ทำให้หวาชิงเสวี่ยรู้สึกเหมือนได้กินอาหารชั้นเลิศ
“ท่านป้า หมั่นโถวนี้อร่อยจริงๆ เ้าค่ะ” หวาชิงเสวี่ยชมจากใจจริง
ป้าเหอหัวเราะเสียงดัง “อีกเดี๋ยวยังมีซาลาเปาด้วยนะ”
พูดจบนางก็ไปเปิดเข่งไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ ไอน้ำสีขาวพวยพุ่งขึ้นมา ข้างในมีซาลาเปาขาวอวบจริงๆ ด้วย
หวาชิงเสวี่ยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง นางเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านป้า ทำเยอะขนาดนี้ ท่านจะเอาไปขายหรือเ้าคะ?”
“ใช่ ข้ามีแผงขายอาหารเช้าอยู่ที่ถนนฝูซิง หาเงินเลี้ยงชีพไปวันๆ” ป้าเหอจัดการแยกซาลาเปาและหมั่นโถวใส่ตะกร้าไม้ไผ่ที่ปูผ้าฝ้ายสะอาดเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว แล้วห่อด้วยผ้าหนาๆ ส่วน้าสุดก็ปูทับด้วยผ้านวมอีกชั้นหนึ่ง
หวาชิงเสวี่ยเห็นนางกำลังจะยกตะกร้า จึงรีบพูดว่า “ท่านป้า ข้าช่วยนะเ้าคะ”
ทั้งสองคนช่วยกันยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยซาลาเปาและหมั่นโถวออกจากห้องครัว นำไปวางไว้บนรถเข็นสองล้อในลานเรือน มีทั้งสิ้นสองตะกร้า
เวลานี้ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี ป้าเหอก็ลากรถเข็นออกไปตั้งแผงขายของแล้ว
หวาชิงเสวี่ยยืนหาวอยู่ที่หน้าประตู จากนั้นไปปิดประตูเรือน แล้วกลับเข้าห้องตัวเอง
เมื่อเห็นป้าเหอออกไปตั้งแผงขายของ ตัวนางก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดหาหนทางทำมาหากิน
ความจริงแล้วนางมีวิธีมากมายในหัว แต่ส่วนใหญ่มักติดปัญหาเื่วัตถุดิบจึงไม่สามารถทำได้...
อ้อ!
หวาชิงเสวี่ยนึกออกแล้ว!
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองเหรินชิว นางเคยคิดจะต้มชาขาย แต่เพราะว่าที่บ้านไม่มีน้ำตาลกับหม้อต้มจึงต้องล้มเลิกไป ตอนนี้นางลองทำดูได้แล้วนี่!
การต้มชานั้นง่ายและสะดวก ที่สำคัญที่สุดคือต้นทุนต่ำมาก แม้ว่าสุดท้ายจะขายไม่ออก แต่ก็ไม่ถึงกับขาดทุนมากเกินไป
ยิ่งคิด หวาชิงเสวี่ยก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น สูตรต้มชาต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัว นางตัดสินใจจะทำเครื่องดื่มชา ได้แก่ ชาเก๊กฮวยสาลี่หิมะ ชาพุทราแดงเก๋ากี้ผสมขิง ชาเขียวบ๊วย และชาฟักเขียว แค่สี่อย่างก่อน
ส่วนผสมของชาเหล่านี้หาได้ทั่วไป รสชาติก็เยี่ยมยอด
จริงๆ แล้วหวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่า ฤดูนี้ดื่มชาส้มโอผสมน้ำผึ้งถึงจะดีที่สุด แต่ว่า ส้มโอกับน้ำผึ้งถือเป็ของฟุ่มเฟือยสำหรับชาวบ้านทั่วไป ราคาค่อนข้างแพง หากนำมาทำชา ต้นทุนจะสูงเกินไป
ผู้คนสามารถจ่ายเงินหนึ่งอีแปะเพื่อดื่มชาแก้กระหายข้างทางได้ แต่สองอีแปะ สามอีแปะ อาจเริ่มไม่แน่ใจ เพราะทุกคนจะรู้สึกว่าสามอีแปะสามารถกินเกี๊ยวน้ำได้หนึ่งชามแล้ว ดื่มแต่ชาอย่างเดียวแพงเกินไป
หวาชิงเสวี่ยคิดคำนวณในใจ เก็บกวาดห้องตัวเองอีกครั้ง จดจำของใช้ในบ้านและเครื่องมือวัตถุดิบที่จำเป็สำหรับการต้มชาที่ขาดไปอย่างเงียบๆ แล้วตัดสินใจออกไปซื้อของ
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ร้านค้าสองข้างทางก็เริ่มเปิดทำการกันแล้ว
หวาชิงเสวี่ยเดินไปพลางสังเกตร้านค้าสองข้างทางว่าขายอะไรบ้าง และผู้คนที่เดินผ่านไปมาซื้ออะไรกันบ้าง
ถึงแม้ว่านางจะรู้แล้วว่าที่นี่คือแคว้นต้าฉี แต่ไม่ว่าจะเป็การแต่งกายของผู้คนบนท้องถนน หรือรูปแบบสถาปัตยกรรมเครื่องใช้และกรรมวิธีการผลิตสินค้าในครัวเรือน ต่างก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสมัยราชวงศ์ซ่งของจีนโบราณ
อย่างเช่น กรรมวิธีการผลิตน้ำตาลทราย ในสมัยราชวงศ์ซ่งมีความใกล้เคียงกับกรรมวิธีการผลิตน้ำตาลในยุคปัจจุบันมาก น้ำตาลที่ทำจากอ้อยซี เนื่องจากมีสีที่ไม่ได้ขาวบริสุทธิ์และมีสีขุ่นผสมอยู่ จึงมีราคาไม่แพง ส่วนน้ำตาลที่ทำจากอ้อยตู้ [1] นั้น สีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ จึงมีราคาแพงที่สุด
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็โลกอีกใบที่แยกออกไปจากประวัติศาสตร์ตามที่นางเคยเรียนมา เหมือนกับว่าเป็ราชวงศ์ซ่งในยุคโบราณของโลกอีกใบหนึ่ง
ราชวงศ์ซ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะถือเป็ยุคที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองที่สุด เทคโนโลยีพัฒนามากที่สุด วัฒนธรรมรุ่งเรืองที่สุด ศิลปะล้ำลึกที่สุด และประชาชนโดยเฉลี่ยมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดเมื่อเทียบกับราชวงศ์อื่นๆ ในยุคโบราณ
ที่สำคัญที่สุดคือ ยุคราชวงศ์นี้มีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ออกมามากที่สุด ดังนั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับหวาชิงเสวี่ยที่จะตั้งรกรากที่นี่
หวาชิงเสวี่ยเลือกซื้อของบนถนนไปเรื่อยๆ
ดอกเก๊กฮวยแห้ง ขิงสด และเม็ดเก๋ากี้ สิ่งเหล่านี้หาได้ทั่วไป ตามร้านขายยาก็มีวางขาย หวาชิงเสวี่ยเพิ่งเริ่มทำ จึงซื้อมาไม่มาก ซื้อเพียงอย่างละนิดละหน่อย นับว่าไม่ได้เสียเงินไปมากมายนัก
เพียงแต่ตอนที่ซื้อบ๊วยนั้นกลับเจอปัญหา
รสชาติของชาเขียวบ๊วยจะอร่อยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวบ๊วยเชื่อม จะต้องเลือกบ๊วยเชื่อมที่มีความเค็มและความเปรี้ยวที่พอเหมาะ ชาที่ชงออกมาถึงจะได้รสชาติที่เข้มข้น
แต่หวาชิงเสวี่ยเดินหาอยู่นานก็ไม่เจอบ๊วยเชื่อมที่ถูกใจ หรืออาจจะกล่าวได้ว่า บ๊วยเชื่อมของยุคนี้ ทั้งวิธีการดองและรสชาติ ล้วนแตกต่างจากที่นางรู้จัก
ชาเขียวบ๊วยคงทำไม่ได้แล้วล่ะ
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางกำลังคิดว่ายังมีชาอื่นมาทดแทนได้หรือไม่ ตอนนั้นสายตาเหลือบไปเห็นแผงขายข้าวสารและธัญพืชข้างหน้า พวกเขากำลังขนข้าวโพดจำนวนมากออกมา!
ข้าวโพดหรือ?!
ข้าวโพดจริงๆ ด้วย?!
หวาชิงเสวี่ยมองตาค้าง!
ไม่ใช่ว่าข้าวโพดเพิ่งจะมามีในสมัยราชวงศ์ิหรือ? ...อ้อ! ลืมไปอีกแล้ว ที่นี่ไม่ได้อยู่ในประวัติศาสตร์ที่นางรู้จัก!
หวาชิงเสวี่ยเดินเข้าไปถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น สิ่งที่นางอยากรู้ก็คือ ข้าวโพดนี้ปลูกในท้องถิ่น หรือว่านำเข้ามาจากที่อื่น?
เวลานี้มีคนเลือกซื้อของไม่มากนัก เสี่ยวเอ้อในร้านจึงสนทนากับนางอย่างเพลิดเพลิน
ที่แท้ข้าวโพดของที่นี่ไม่ได้เรียกว่าข้าวโพด แต่เรียกว่าข้าวหยก [2] เป็สินค้าที่พ่อค้านำกลับมาจากต่างแดนเพื่อถวายแด่ฮ่องเต้ พระองค์ทอดพระเนตรแล้วทรงพอพระทัย จึงมีรับสั่งให้กรมพระคลังฝ่ายเกษตรนำพืชชนิดนี้เผยแพร่ออกไปให้รู้จักโดยทั่วกัน
แต่ดูเหมือนว่าการเผยแพร่นี้เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่กี่ปี คนที่ปลูกยังมีไม่มากนัก ผู้คนกำลังทำความคุ้นเคยกับพืชชนิดใหม่นี้ ถึงแม้จะรู้ว่านำข้าวโพดสดไปนึ่งแล้วจะมีรสหวานและนุ่ม แต่ข้าวโพดแห้งนั้นไม่ค่อยเป็ที่นิยมนัก เพราะเมื่อนำมาบดเป็แป้งแล้วจะมีเนื้อััที่หยาบเกินไป
หวาชิงเสวี่ยถามราคา พบว่าราคาถูกมาก จึงซื้อมาสองสามฝักอย่างมีความสุข
หวาชิงเสวี่ยที่ซื้อของเสร็จแล้วกลับมาที่พักด้วยความพึงพอใจ เวลาเกือบเที่ยงแล้ว และนางก็หิวโซจนท้องร้อง แต่ที่บ้านไม่มีอะไรกิน นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นั้นมัวแต่ซื้อวัตถุดิบสำหรับต้มชา จนลืมซื้อข้าวสารอาหารแห้งที่ต้องใช้ในบ้าน
เฮ้อ...ยุ่งยากจริงเชียว...
เมื่อเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง ก็เหลือบไปเห็นป้าเหอลากรถเข็นกลับมา
หวาชิงเสวี่ยดวงตาเป็ประกาย เดินเข้าไปถาม “ท่านป้า ยังเหลือซาลาเปาหรือหมั่นโถวบ้างหรือไม่เ้าคะ? ขายให้ข้าได้หรือไม่?”
ป้าเหอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ยังไม่ได้กินข้าวหรือ?”
หวาชิงเสวี่ยยิ้มอย่างเขินอาย “เ้าค่ะ ยังไม่ได้ทำเลย”
ป้าเหอหันหลังไปหยิบหมั่นโถวสองสามลูกจากตะกร้าส่งให้หวาชิงเสวี่ย “ซาลาเปาขายหมดแล้ว เหลือแค่นี้ เ้าเอาไปกินเถอะ”
หวาชิงเสวี่ยรีบหยิบเงินออกมา แต่ป้าเหอไม่รับไว้ ทั้งสองคนยื้อยุดกันไปมา สุดท้ายป้าเหอจึงยอมรับเงินอย่างเสียไม่ได้
ป้าเหอเข้าไปในบ้านเพื่อเก็บตะกร้าไม้ไผ่และอุปกรณ์อื่นๆ หวาชิงเสวี่ยกินซาลาเปาพลางเดินตามป้าเหอไปเหมือนลูกเจี๊ยบ ถามว่า “ท่านป้าเ้าคะ ข้าว่าจะไปตั้งแผงขายชา ท่านมีคำแนะนำอะไรบ้างหรือไม่เ้าคะ?”
ป้าเหอหันกลับมามองนาง ทำสีหน้าลังเลเล็กน้อย “เ้าเป็เด็กสาวตัวเล็กๆ ไปตั้งแผงขายของ...เกรงว่าจะถูกเอาเปรียบนะ”
โดยเฉพาะหวาชิงเสวี่ยที่ดูอ่อนแอบอบบาง หากเจอพวกอันธพาลหรือโจรขึ้นมา จะทำอย่างไร?
หวาชิงเสวี่ยเบิกตากว้างแล้วเอ่ยถาม “จะมีอันตรายหรือเ้าคะ? แต่เมื่อครู่ตอนที่ข้าไปเดินซื้อของ เห็นว่าแถวนั้นก็สงบดีนะเ้าคะ...”
ป้าเหอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกนางว่า “เอาอย่างนี้ เ้าไปลองดูที่ถนนตงเจิ้ง ที่นั่นทางการได้กำหนดพื้นที่สำหรับตั้งแผงขายของเอาไว้แล้ว แค่จ่ายเงินก็ไม่มีใครมาแย่งที่ได้ แถมยังมีเ้าหน้าที่คอยตรวจตราเป็ระยะๆ ปลอดภัยดี”
หวาชิงเสวี่ยถาม “ต้องจ่ายเท่าใดหรือเ้าคะ?”
“ข้าจำได้ว่า...ราวๆ ห้าสิบอีแปะต่อเดือนกระมัง” ป้าเหอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกำชับอย่างจริงจัง “การจ่ายเงินเป็เื่เล็ก ความปลอดภัยสำคัญที่สุด เ้าเป็เด็กสาวตัวเล็กๆ ไม่เหมือนพวกเราที่เป็ป้าแก่ๆ ระวังตัวไว้ก่อนจะดีกว่า”
หวาชิงเสวี่ยพยักหน้าหงึกๆ
ป้าเหอเตือนนางอีกว่า “แต่ถ้าจะไปเช่าที่ ต้องไปดำเนินเื่ที่ศาลาว่าการก่อน คงต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือน ถ้าเ้าอยากเช่าจริงๆ ก็ต้องรีบไป”
ยุ่งยากถึงเพียงนี้...
หวาชิงเสวี่ยจดจำไว้ในใจ และขอบคุณป้าเหออีกครั้ง แล้วถือหมั่นโถวที่เหลือกลับเข้าห้องไป
ตกบ่าย หวาชิงเสวี่ยถือบัตรประจำตัวกับก้อนเงินออกจากบ้าน
นางไม่ได้ไปศาลาว่าการ แต่ไปที่จวนแม่ทัพ
จริงๆ แล้ว นางเป็สตรีตัวคนเดียว ไปศาลาว่าการก็รู้สึกยังหวาดกลัวอยู่บ้าง อาจเป็เพราะเงามืดตอนที่เจอทหารเหลียวครั้งก่อนยังฝังใจ...
ในเมื่อเ้าเคราเฟิ้มบอกว่ามีเื่อะไรก็ให้ไปหาพ่อบ้านที่จวนแม่ทัพได้ มีเส้นสายแบบนี้ก็ต้องใช้ให้เป็ประโยชน์
หวาชิงเสวี่ยเดินตามเส้นทางที่ทหารนายนั้นบอกไว้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็พบจวนแม่ทัพจริงๆ
กำแพงสูงหลังคากระเบื้องสีเขียวคราม ประตูไม้ทาสีแดงสด ้ามีป้าย ‘จวนแม่ทัพใหญ่’ แขวนไว้อย่างสง่างาม และสองฝั่งของประตู มีสิงโตใหญ่ที่ดูน่าเกรงขามสองตัวตั้งตระหง่านอยู่
หวาชิงเสวี่ยยังไม่ทันได้ตื่นเต้น ยามเฝ้าประตูก็สะบัดมือไล่นางอย่างรังเกียจ ‘ไปทางประตูข้าง’
ประตูข้างไหน?
หวาชิงเสวี่ยงุนงงไปเล็กน้อย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า คล้ายจะเป็แบบนี้ ในสมัยโบราณบ้านขุนนางผู้สูงศักดิ์มักจะไม่ค่อยใช้ประตูหน้า การเข้าออกจะใช้ประตูอื่น
แต่...ประตูข้างของจวนแม่ทัพใหญ่อยู่ที่ใด?
หวาชิงเสวี่ยมองยามสองคนที่เฝ้าประตูด้วยความผิดหวัง จากแววตาดูแคลนและเหยียดหยามในสายตาของพวกเขา ดูเหมือนนางจะไม่สามารถหวังให้ใครพาไปได้ เช่นนั้นก็ต้องหาเอง...
หวาชิงเสวี่ยค่อยๆ เดินไปตามกำแพงด้านนอกของจวนแม่ทัพ เดินอยู่นานก็พบประตูข้างในที่สุด!
ถึงจะเรียกว่าประตูข้าง แต่จริงๆ แล้วก็ใหญ่กว่าประตูบ้านคนธรรมดามาก
หวาชิงเสวี่ยเดินเข้าไปเคาะประตู ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูออกมา เป็บ่าวหนุ่มคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะงีบหลับไปเมื่อครู่ ตอนนี้จึงใช้มือข้างหนึ่งค้ำประตูไว้ครึ่งบาน และยังคงหาวอยู่
หวาชิงเสวี่ยรีบพูดว่า “สวัสดีเ้าค่ะ ไม่ทราบว่าพ่อบ้านจ้าวอยู่หรือไม่เ้าคะ?”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วย่นแล้วมองนางั้แ่หัวจรดเท้า ถามว่า “เ้ามาหาพ่อบ้านจ้าวมีธุระอะไร? เป็ญาติหรือ?”
หวาชิงเสวี่ยตอบอย่างระมัดระวัง “ไม่ใช่ญาติของพ่อบ้านจ้าวเ้าค่ะ ข้าแค่มีเื่อยากขอให้พ่อบ้านจ้าวช่วย...”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะด้วยความหงุดหงิด “พ่อบ้านจ้าวเป็คนที่เ้าอยากเจอก็เจอได้เช่นนั้นหรือ?! ไป ไป! ไปให้พ้น! ทำมาแอบอ้างความสัมพันธ์มั่วซั่ว ไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย!”
พูดจบก็ปิดประตูใส่ดัง ‘ปัง!’
—————————————————————————————————
[1]อ้อยซี(西蔗)และอ้อยตู้(杜蔗)ใบบันทึกของจีนโบราณมีการกล่าวถึงอ้อยอยู่สี่ชนิด คือ อ้อยตู้ อ้อยซี อ้อยเล่อ และอ้อยหง ทั้งยังมีบันทึกถึงการนำอ้อยทั้งสี่ชนิดนี้มาแปรรูปเพื่อบริโภคในลักษณะต่างๆ โดยอ้อยหนึ่งในสองชนิดที่เอ่ยถึงคือ อ้อยตู้และอ้อยซีนั้น ถูกบันทึกไว้ว่าคนสมัยโบราณนำมันมาผลิตเป็น้ำตาล โดยน้ำตาลที่ผลิตจากอ้อยซีจะมีสีขุ่นจึงมีราคาถูก ส่วนน้ำตาลที่ผลิตจากอ้อยตู้นั้นมีสีขาวบริสุทธิ์จึงมีราคาแพง
[2]ข้าวหยก(玉麦)ในเอกสารของราชวงศ์ิ บันทึกว่าเป็คำที่ใช้เรียกข้าวโพด(玉米)ในยุคนั้น เนื่องจากข้าวโพดเป็พืชที่นำเข้ามาจากตะวันตก