“ท่านแม่ เมื่อครู่ตอนที่ท่านสนทนากับฮองเฮา ข้าไปดูหยวนผิงมาแล้วเ้าค่ะ” เซี่ยิ่หรูกล่าว
“องค์หญิงสิบเอ็ดดีขึ้นบ้างหรือยัง?” องค์หญิงสิบเอ็ดเป็คนที่นางเห็นมาจนเติบใหญ่นางจึงเป็ห่วงไม่น้อยเช่นกัน
เซี่ยิ่หรูพยักหน้า “ไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะ เมื่อวานนางยังไปเยี่ยมคุณหนูสี่กู้ด้วย” คุณหนูสี่กู้บอกกับนางว่า พี่ใหญ่ของนางหรือก็คือกู้เจิงเป็คนช่วยพระชายาตวนไว้
ฮูหยินเซี่ยถามขึ้น “แล้วนี่เ้าเป็อะไร?”
“ท่านแม่ ท่านดูกู้เจิงสิ เหมือนจะเป็สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง แต่เหตุใดถึงมีความกล้าหาญที่จะไปช่วยคนได้ขนาดนั้น?” เซี่ยิ่หรูตอบมารดา
“พระชายาตวนเป็น้องสาวของนาง นางก็ต้องไปช่วยอยู่แล้ว”
“แต่พวกนางไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ท่านแม่เองก็รู้ถึงความร้าวฉานระหว่างบุตรอนุกับบุตรภรรยาเอกเ่าั้ดี บางคนหลังแต่งออกไปก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีก”
“ข้าเดาว่าเป็เื่บังเอิญ เ้าก็ระวังนางไว้ด้วย ท่าทางอ่อนโยนมักแฝงไว้ด้วยคมเล็บเสมอ”
เซี่ยิ่หรูพิงศีรษะเล็กๆ เข้ากับไหล่มารดา หยวนผิงบอกกับนางว่าฮูหยินน้อยเสิ่นคนนั้นฆ่าคนร้ายไปสองคนถึงช่วยนางมาได้ นางกับคุณหนูสี่กู้จึงเป็เพื่อนที่ดีต่อกัน
เซี่ยิ่หรูเต็มไปด้วยความสงสัยในตัวของกู้เจิง ความกล้าหาญแบบไหนกันที่ทำให้นางต้องไปช่วยคนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง? น่าเสียดายที่นางมีพี่ชายเพียงคนเดียว หากมีพี่สาวคอยปกป้องนางแบบนี้บ้างก็คงจะดี
เมืองหลวงตั้งอยู่ห่างจากประตูทิศใต้พอสมควร
กู้เจิงยังไม่อยากรีบกลับไปที่บ้านตระกูลเสิ่น นางจึงตัดสินใจไปแวะจวนกู้ก่อน และค่อยให้รถม้าของจวนกู้ไปส่งนางที่บ้านตระกูลเสิ่นด้วยเลย
ตลอดทางกู้เจิงได้แต่ครุ่นคิดว่า ตวนอ๋องผู้นี้ดูเหมือนจะมีใจต่อนาง แต่เขากลับไม่ได้แสดงความรักต่อนาง ดังนั้นนางจึงคิดว่าบุรุษผู้นี้คงจะไม่มาพัวพันกับนางอีก แล้วเหตุใดเขาถึงต้องคิดแต่งภรรยาใหม่ให้เสิ่นเยี่ยนด้วยเล่า?
หรือว่าเสิ่นเยี่ยนจะได้รับผลกระทบอะไรหากได้แต่งงานกับคุณหนูหวัง? กู้เจิงเดาไม่ออก
“โอ้ แม่สาวน้อยคนนี้สวยมากเลยนะ” มีเด็กหนุ่มวัยคะนองเดินโซซัดโซเซเข้ามาขวางกู้เจิง กลิ่นสุราโชยออกมาจากตัวของเขา
กู้เจิงเห็นตุ่มเต็มเต็มหน้าผากของเด็กหนุ่ม นางได้แต่คิดในใจว่า ‘ให้ตายสิ สิวเยอะชะมัดเลย’
“คุณชาย หยุดโวยวายได้แล้ว พวกเรารีบกลับบ้านเถอะขอรับ” ผู้ติดตามข้างกายเด็กหนุ่มคิดจะรีบประคองเขาจากไปก่อนจะเกิดเื่ แต่เด็กหนุ่มปัดพวกเขาออก และเดินส่ายร่างไปมาตรงมาหากู้เจิง “แม่สาวน้อย กลับบ้านกับข้าเถอะ นายท่านจะรักทะนุถนอมเ้าให้มาก”
รักทะนุถนอมบ้านแกสิ กู้เจิงกลอกตาหมายจะเดินหนีจากเขา แต่กลับถูกเด็กหนุ่มคนนั้นจับที่หัวไหล่ กู้เจิงผลักอีกฝ่ายอย่างแรงด้วยความโมโห เด็กหนุ่มล้มลงไปกองกับพื้นด้วยอาการเมามาย
กู้เจิงไม่อยากสร้างปัญหา จึงยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งหนีไป รอบด้านเต็มไปด้วยบ้านเรือนหลังใหญ่ คนที่อยู่แถวนี้น่าจะเป็ขุนนางชั้นสูงแต่กลับมีคนกล้ามาลวนลามนาง นางเห็นด้านหลังไม่มีใครตามมา จึงค่อยสบายใจ
“พี่ใหญ่” เสียงของกู้เจิ้งชินดังมาจากรถม้าคันหนึ่งที่ขับผ่านมา
กู้เจิงมองไป ก็เห็นน้องรองเคลื่อนรถม้ามาจอดเทียบข้างนาง
“พี่ใหญ่”
“คุณหนูใหญ่” เสียงกู้เหยากับชุนหงดังมาจากในรถม้า เมื่อรถม้าหยุดลง ทั้งสองก็ะโลงมา
กู้เจิงมองทั้งสามคนอย่างแปลกใจ โดยเฉพาะชุนหง “ทำไมเ้าถึงอยู่กับพวกเขาด้วย?”
“บ่าวรออยู่นานไม่เห็นคุณหนูกลับมาสักที จึงไปหานายหญิงที่บ้าน นายหญิงเลยให้คุณชายรองเข้าวังไปสอบถามเ้าค่ะ ส่วนคุณหนูสี่นั้นอยากตามมาด้วยให้ได้” ชุนหงรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นคุณหนู
“ข้าไม่เป็ไร” กู้เจิงฟังแล้วหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางเข้าวังไปแค่นี้เอง เห็นกู้เหยาผอมลงเล็กน้อย แต่สภาพจิตใจดีขึ้นมาก ดูท่าน่าจะไม่เป็ไรแล้ว “น้องสี่ สุขภาพร่างกายเ้าดีขึ้นแล้วกระมัง”
“ตอนนี้ข้าไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะ”
“ยังบอกว่าไม่เป็ไรอยู่อีก เมื่อคืนวานไม่รู้ว่าใครฝันร้ายกันนะ” กู้เจิ้งชินที่อยู่ด้านข้างหยอกล้อ ก่อนมองไปทางกู้เจิง “จริงสิ พี่ใหญ่ พระสนมซูเรียกท่านเข้าวังไปด้วยเหตุใดหรือขอรับ?”
“กลับบ้านแล้วค่อยว่ากัน” กู้เจิงก้าวขึ้นรถม้า เื่นี้นางเองก็อยากปรึกษากับท่านแม่ท่านพ่อสักหน่อย
เมื่อมาถึงจวนกู้
กู้หงหย่งยังไม่กลับมาจากข้างนอก ถึงเขาจะไม่มีตำแหน่งขุนนางก็จริง แต่เขาต้องช่วยรวบรวมและเรียบเรียงงานบางอย่างในราชสำนักทุกวัน ั้แ่บุตรสาวคนที่สามกลายเป็พระชายาตวน ก็มีขุนนางมากมายมาผูกมิตร และมีงานเลี้ยงสังสรรค์เพิ่มมากขึ้น
“อะไรนะ? ตวนอ๋อง้าให้เสิ่นเยี่ยนแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลหวังงั้นหรือ?” เว่ยซื่อตบโต๊ะเสียงดัง “เ้าแน่ใจนะว่าไม่ผิดแน่?”
“ไม่ผิดเ้าค่ะ วันนี้พระสนมซูเรียกลูกเข้าวังไปก็เพื่อคุยเื่นี้ ก่อนหน้านี้ตวนอ๋องเคยคุยกับลูกหลายครั้ง ท่านพี่เองเคยบอกกับข้าว่าเขาเคยปฏิเสธตวนอ๋องไปแล้ว ลูกเองก็ปฏิเสธท่านอ๋องไปหลายครั้งแล้วเหมือนกันเ้าค่ะ” กู้เจิงเล่าเื่นี้ให้ฟังตามความจริง
“เขาจะเอาหน้าตระกูลกู้ของข้าไปไว้ที่ไหน? ลูกสาวของข้า กลับต้องลดฐานะไปเป็อนุ?” เว่ยซื่อรู้สึกราวกับได้ยินเื่ตลกขบขัน นางคิดไม่ถึงว่าตวนอ๋องจะมีความคิดเช่นนี้
“ทำไมกันนะ?” กู้เจิ้งชินเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “ผู้นำตระกูลหวังผู้นั้นเป็รองเสนาบดีกรมการคลัง แม้ว่าตระกูลหวังจะเป็ตระกูลบัณฑิตเก่าแก่ แต่ตระกูลกู้ของข้าก็เป็ป๋อเจวี๋ยอันทรงเกียรติมานับร้อยปี เมื่อเทียบกันแล้วยังดีกว่าตระกูลหวังเสียอีก”
กู้เหยาบุ้ยปาก สีหน้าไม่สบอารมณ์ เดิมทีนางชอบพี่เขยตวนอ๋องผู้นี้มาก ดีต่อพี่สาวนาง ดีต่อนาง แต่ตอนนี้นางไม่ชอบแล้ว
เว่ยซื่อคิดไปคิดมา ก็คิดหาเหตุผลไม่ได้
พอกู้หงหย่งกลับมา เห็นทั้งครอบครัวนั่งคุยกันอยู่ในห้องโถงเล็ก และบุตรสาวคนโตก็อยู่ด้วย “เจิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ด้วยหรือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมสีหน้าแต่ละคนถึงเคร่งเครียดปานนี้เล่า”
กู้เจิงทำความเคารพบิดา
“จริงสิ ได้ยินใต้เท้าหลายคนที่ออกมาจากวังบอกว่า เจิงเอ๋อร์ถูกพระสนมเรียกตัวเข้าวังไป เกิดเื่อะไรขึ้นงั้นหรือ?” กู้หงหยงนั่งลงรับน้ำชาจากสาวใช้มาจิบ
“ท่านยังมีอารมณ์มาดื่มชาอีกหรือ?” เว่ยซื่อชำเลืองมองสามี นางแค่นเสียงหยัน “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตวนอ๋องจะทำเื่เช่นนี้”
“หืม เื่อะไร?” กู้หงหย่งวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ และมองไปทางภรรยา
เว่ยซื่อเล่าเื่ราวทั้งหมดให้เขาฟัง กู้หงหย่งใ “จะเป็ไปได้ยังไง? ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงมาก่อนเลย”
“ข้าไม่เห็นด้วยที่เสิ่นเยี่ยนจะรับสตรีอื่นเข้ามา” กู้เจิงมองบิดาและนายหญิงเว่ยซื่อ “เสิ่นเยี่ยนก็รับปากข้าไว้ ถ้าเมื่อไหร่ข้าไม่ใช่สตรีเพียงคนเดียวของเขา เขาจะบอกข้าอย่างตรงไปตรงมา และให้ข้าจากไปอย่างสมเกียรติเ้าค่ะ”
“เ้าเด็กคนนี้ พูดเหลวไหลอะไรกัน? ทำไมพวกเ้าพูดถึงได้คุยเื่แบบนี้กัน?” เว่ยซื่อตำหนิกู้เจิง ก่อนมองสามีแล้วกล่าวว่า “ท่านลองไปถามตวนอ๋องเป็การส่วนตัวว่าเื่มันเป็มายังไง?”
กู้หงหยงพยักหน้า
“เ้าวางใจได้” เว่ยซื่อมองกู้เจิง “แม่จะไม่ให้ใครมาสั่นคลอนตำแหน่งนายหญิงตระกูลเสิ่นของเ้าเด็ดขาด” เจิงเอ๋อร์ทำเื่มากมายเพื่อบุตรสาวของนาง เว่ยซื่อจำได้ขึ้นใจดี ตอนนี้นางก็มองว่ากู้เจิงเป็บุตรสาวคนหนึ่งของตัวเอง
“ขอบคุณท่านแม่เ้าค่ะ” กู้เจิงลุกขึ้นคารวะ เสิ่นเยี่ยนจะไม่แต่งงานกับหญิงอื่นแน่นอน ความมั่นใจในจุดนี้นางยังมีอยู่บ้าง แต่ที่นางมาเล่าเื่นี้ก็เพราะอยากจะรู้ควมคิดของบิดากับนายหญิง นางอยากรู้ว่าพวกเขาจะเลือกใครระหว่างนางกับตวนอ๋อง แต่เมื่อได้เห็นท่าทีทุกคนนางก็รู้สึกโล่งอก
กู้เจิงเดินมาที่เรือนของหวังซู่เหนียง เมื่อหวังซู่เหนียงเห็นบุตรสาวก็ดีใจมาก
สองแม่ลูกนั่งแกะเมล็ดทานตะวันกินกันไปพูดคุยกันไป
“ชุนหงมีอนาคตสดใสแล้วสิเนี่ย ต่อไปก็ช่วยอาเจิงทำงานได้แล้ว” หวังซู่เหนียงฟังบุตรสาวเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นใน่หลายวันมานี้ เื่ที่ทำให้นางประหลาดใจมากที่สุดก็คือชุนหง นางสามารถช่วยดูแลร้านหนังสือและหอสมุดได้และ
ชุนหงหัวเราะแหะๆ อย่างเขินอาย
“ถ้าข้ารู้แต่แรกข้าคงเลือกสาวใช้เพิ่มมาอีกสักสองสามคน ไม่อย่างนั้นคนที่สามารถช่วยเ้าได้คงไม่ใช่แค่ชุนหงแล้ว” หวังซู่เหนียงกล่าวด้วยความเสียดาย
กู้เจิงอมยิ้ม เห็นซู่เหนียงกำลังแกะเอาเนื้อเมล็ดทานตะวันวางไว้ตรงหน้านาง จึงอดเอาสองมือกุมแขนซู่เหนียงด้วยความรักไม่ได้ “ซู่เหนียงดีต่อข้าจริงๆ เ้าค่ะ”
“ข้ามีเ้าเป็ลูกสาวเพียงคนเดียว ไม่ดีต่อเ้าดีแล้วจะให้ดีกับใคร?” หวังซู่เหนียงกลอกตาใส่นาง “จริงสิ ต่อไปหากเกิดอันตราย เ้าต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อน อย่าโง่เหมือนคราวก่อน ไปช่วยคุณชายรองไว้แต่ตัวเองกลับโชคร้ายเสียงเอง”
กู้เจิงพยักหน้า ที่จริงแล้วซู่เหนียงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางยังนึกว่าการขัดแย้งของท่านอ๋องทั้งสองกลายเป็เคราะห์มาตกที่นาง ส่วนเื่ที่นางฆ่าคนร้ายไปสองคน เสิ่นเยี่ยนให้ตวนอ๋องปิดบังไว้ นางรีบลบภาพเหตุการณ์ในวันนั้นออกไปจากสมอง กู้เจิงไม่อยากนึกถึงอีกแล้ว
“หวังซู่เหนียง คุณหนูใหญ่” มีสาวใช้เข้ามาแจ้งอย่างตื่นเต้น “นายหญิงจะรับฐานะคุณหนูใหญ่เป็บุตรให้อยู่ในนามของนาง อีกไม่กี่วันจะมีพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และจะบันทึกชื่อคุณหนูไว้ในลำดับวงศ์ตระกูลอย่างเป็ทางการ นับแต่นี้ไปคุณหนูใหญ่จะเป็บุตรสาวคนโตของนายหญิงในจวนของพวกเราแล้วเ้าค่ะ”
“เ้าว่าอะไรนะ?” หวังซู่เหนียงคิดว่าตนเองหูฝาดไป “เ้าพูดอีกครั้งซิ”
กู้เจิงเองก็คิดไม่ถึงว่านายหญิงเว่ยซื่อจะทำถึงขนาดนี้ ยังไม่ทันที่นางจะได้สติ ก็ถูกหวังซู่เหนียงลากไปที่เรือนหลักเพื่อขอบคุณนายหญิง