ตะวันขึ้นสูงอยู่กลางท้องฟ้า ไกลออกไปร้อยลี้ไร้มวลหมู่เมฆ แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนพื้นส่องแสงระยิบระยับแสบตา
แม้ว่าพระอาทิตย์เจิดจ้าร้อนแรงจะลอยอยู่เหนือศีรษะ อากาศร้อนระอุ เมืองหลวงยังคงมีคนมาออกันอยู่อย่างเนืองแน่น
ครั้นถึงตอนกลางวัน หน้าประตูวังหลวงมีคนจำนวนมากอออยู่เต็มไปหมด ล้วนเป็ประชาชนที่มาดูเหตุการณ์ เพราะว่านี่เป็สถานที่ปะาชีวิตต่อหน้าผู้คน
สิบกว่าปีมานี้ แคว้นเป่ยเยี่ยนไม่ได้เกิดเื่ราวใหญ่โตจนต้องมีการปะาต่อหน้าทุกคน บรรดาประชาชนย่อมไม่พลาดฉากโหดร้ายนองเื ทั้งยังเป็เื่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ผู้คนมากมายพาคนในครอบครัวมากันหมด แม้ว่าจะร้อนจนเหงื่อโซมกายก็จะต้องรอดูฉากสำคัญนั้นให้ได้
การลงมือครั้งนี้ใช้องครักษ์ร้อยกว่าคนในการดำเนินการ คอยล้อมประชาชนเอาไว้อยู่ด้านนอก
ยิ่งนานเข้าคนที่มาพูดคุยกันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าว่านฟางกับหวังเทาทำผิดร้ายแรงอะไรหรือ? การปะาต่อหน้าประชาชนจะโหดร้ายเกินไปหรือไม่”
“เ้าเบาเสียงลงหน่อย หากถูกทหารหลวงได้ยินเข้า ไม่แน่ว่าเ้าเองก็จะถูกตัดหัวไปด้วย”
“คนที่ถูกตัดหัวปะาต่อหน้าผู้อื่นจะต้องทำผิดร้ายแรงจนไม่อาจอภัยได้ โทษอย่างม้าแยกร่างไปคนละทาง หรือแยกร่างออกไปเป็ส่วนๆ นั้นก็เช่นเดียวกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็กบฎก็ได้”
“แต่ว่าว่านฟาง หวังเทาเป็เพียงขุนนางตัวเล็กๆ ของกองทัพตรวจสอบอาวุธทหาร จะไปเป็กบฎได้อย่างไร?”
“ใครจะรู้เล่า? สกุลว่าน สกุลหวัง รวมถึงคนในตระกูลทั้งเก้ารุ่นรวมแล้วร้อยกว่าชีวิตต้องไม่เหลือไว้สักคน”
“หากไม่ถอนรากถอนโคนก็ยากจะหลีกเลี่ยงคนมาแก้แค้น กลายเป็เื่แย่ในภายหลัง”
“เ้าว่าทางราชสำนักจะตัดสินผิดพลาดหรือไม่? หากปะาผิดคน เช่นนั้นคนมากมายเหล่านี้ไม่ใช่ว่าตายไปอย่างไร้ความผิดหรือ?”
“หากตัดสินผิดจริง ราชสำนักจะยอมรับหรือ? อีกอย่างว่านฟางกับหวังเทารับราชการที่กองทัพตรวจสอบอาวุธทหาร กองทัพนั่นเป็ที่อย่างไรกัน? แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าพวกเขาทำเื่อะไรลงไป”
ครั้นคนได้ยินวาจาประโยคนี้แล้วหัวใจพลันเย็นเยียบ
ประชาชนร้อยกว่าคนจับกลุ่มพูดคุยกัน ราวกับคลื่นน้ำที่ซ่านกระเซ็น
มีคนพูดออกมาชัดเจนถึงเพียงนั้น หลายคนก็เข้าใจแล้วว่าว่านฟางกับหวังเทาสมควรตายอย่างไร ก่อนจะพากันหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดออกมา
มีทหารฝีมือดีมาเปิดทาง ประชาชนก็แหวกทางให้ ก่อนจะเห็นรถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนที่มา จากนั้นก็หยุดลง
บรรดาผู้คนต่างมองดูก่อนจะเห็นท่านอ๋องผู้ว่าราชการแทน
คนผู้หนึ่งเดินออกมายืนอยู่ตรงที่บังคับรถ มองลงมาจากที่สูงอย่างตรวจตรา ท่าทางน่าเกรงขามราวกับเป็เ้าเหนือหัวแห่งประชาชนทั้งปวง เป็นายใหญ่ของทุกผู้ทุกคน
บรรดาประชาชนเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ไกลๆ ท่าทางหยิ่งทะนงของคนผู้นั้นดึงดูดความสนใจของทุกคน ทำให้คนมากมายที่เห็นแล้วรู้สึกถึงอนาคตอันมั่นคงของแคว้น สายตาของคนมากมายจึงเต็มไปด้วยความร้อนแรงและนับถือ นี่คือบุรุษที่ราวผู้ที่มาจากตำหนักเทพเ้าเพื่อมาช่วยแคว้นเป่ยเยี่ยน ปกปักษ์รักษาแคว้น ทั้งยังดูแลความสงบในแคว้นอีกด้วย
ทันใดนั้น ข้างกายของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนก็มีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง เหมือนจะเป็องค์รัชทายาทที่ไม่ได้เื่ผู้นั้น
ใบหน้าสง่างามหล่อเหลาขององค์รัชทายาท ดูดีจนกระทั่งภาพวาดก็ไม่อาจบรรยายรูปร่างสง่างามของเขาออกมาได้ แต่เขากลับเป็คนไม่ได้เื่เสียนี่!
เขายืนอยู่กับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน คนหนึ่งคือดิน คนหนึ่งคือฟ้า ไม่อาจนำมาเทียบกันได้เลย
มู่หรงฉือเห็นเขาลงจากรถม้าเดินไปยังแดนปะาก็รีบตามเขาไป
ประชาชนที่มาดูในวันนี้เยอะมากจริงๆ ล้อมอยู่เสียจนไม่มีช่องให้เดิน พวกเขาเกือบจะเข้าไปไม่ได้
กลางลานปะา เพชฌฆาตถือดาบรอคอยการมาถึงของนักโทษ
มู่หรงอวี้นั่งอยู่ตรงหน้าแท่นปะา ส่วนนางนั่งรอดูเื่สนุกอยู่ด้านข้าง
เมื่อถึงตอนบ่าย นางส่งสัญญาณให้เ้ากรมราชทัณฑ์และผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ จากนั้นสองคนก็มีคำสั่งลงไปให้ไปจับนักโทษมา
ไม่นานนัก มวลชนก็เห็นนักโทษสองคนถูกทหารจับตัวพาขึ้นไปบนแท่นปะา
แสงอาทิตย์ส่องกระทบลงมายังดาบใหญ่ในมือของเพชฌฆาตจนเกิดเป็แสงสีเงินวาววับ แววตาของเพชฌฆาตดุดันน่าหวาดหวั่น
ความจริงว่านฟางได้ตายไปแล้ว แต่ก็ยังต้องทำการตัดหัวต่อหน้าทุกคน
ส่วนหวังเทาที่ยังไม่ตายก็หมดอาลัยตายอยาก ดวงตาว่างเปล่าไร้สิ่งที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่แม้สักเสี้ยว
ในฤดูร้อนอันอบอ้าว ไม่มีกระทั่งลมที่พัดผ่าน ประชาชนมากมายเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลังต่างรอคอยฉากนองเื
มู่หรงฉือกวาดตามองไปอย่างไม่ใส่ใจ เห็นเสิ่นจือเหยียนยืนผิวขาวผ่องอยู่ท่ามกลางขุนนางบุ๋นบู๊
ข้างกายของเขามีมู่หรงสือยืนอยู่
มู่หรงสือเห็นองค์รัชทายาทมองมาทางตนก็อดดีใจไม่ได้
มู่หรงฉือรีบดึงสายตากลับมาทันที จริงๆ เลยเชียว ไม่มีเื่อะไรยังจะมองทางนั้นไปทำไมกัน?
นางหันไปมองผู้พิพากษาที่อยู่ข้างกาย ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาของมู่หรงอวี้ขาวราวหิมะ เยียบเย็นไปจนถึงกระดูก
พระอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือหัว นางเองก็รู้สึกร้อน จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว : คุณชายชุดทองจะมาดูหรือไม่?
แววตาของนางกวาดมองไปในกลุ่มคนหัวดำมากมาย แต่หากเขามาดูจริง ย่อมจะต้องปลอมตัวมา
เ้ากรมราชทัณฑ์ยกมือขึ้นแล้วลดมือลงไปทางประชาชน “ว่านฟาง หวังเทาร่วมมือกันกระทำความผิด ทั้งยังเป็ความผิดที่ไม่อาจละเว้นได้ ต้องตัดหัวต่อหน้าประชาชนเก้าชั่วโคตร หวังว่าทุกคนจะไม่เอาเป็เยี่ยงอย่าง”
ทั่วทั้งบริเวณไม่มีกระทั่งเสียงนกร้อง
ขุนนางที่มาดูรอบๆ เ่าั้พากันก้มหน้าลง
หัวใจของมู่หรงฉือเต้นแรง การปะาครั้งนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับขุนนางทั้งสองฝ่ายได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เ้ากรมราชทัณฑ์หันมาส่งสัญญาณกับมู่หรงอวี้ว่าเป็เวลาเที่ยงแล้ว มู่หรงอวี้หยิบป้ายคำสั่งโยนออกไปอย่างเรียบง่ายด้วยใบหน้าเ็า
เพชฌฆาตทั้งสองรออยู่นานมากแล้ว ทั้งสองค่อยๆ ยกดาบใหญ่ขึ้นมา
แสงสีเงินราวหิมะ ประหนึ่งดาวตกที่ร่วงหล่นลงมา!
หัวสองหัวร่วงหล่นลงบนพื้น ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะล้มลงไป
บรรดาสตรีกับคนที่ขี้ขลาดจำนวนไม่น้อยต่างปิดตาไม่กล้ามองภาพอันโหดร้ายนี้
ต่อมา ก็มีทหารหยิบหัวที่มีเืไหลนองเดินลงมา จากนั้นก็นำไปเสียบที่ไม้แขวนประจาน แสดงให้ทุกคนดูเป็เวลาสามวันเพื่อสร้างความหวั่นเกรง
มู่หรงฉือคิดในใจ ภาพนี้ หัวสองหัวนี้จะกลายเป็ฝันร้ายตอนกลางวันของผู้คนมากมาย
...
หลังจากตัดหัวนักโทษต่อหน้าทุกคนแล้ว มู่หรงฉืออยากกลับไปนอนที่ตำหนักบูรพาสักหลายชั่วยาม ทว่ามีคนมาขวางรถม้าของนาง
มู่หรงสือยิ้มสดใส “เตี้ยนเซี่ย พวกเราไปเที่ยวที่แม่น้ำกันเถิดเพคะ”
ฉินรั่วกล่าว “องค์หญิง เตี้ยนเซี่ยเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ้ากลับไปพักผ่อนที่ตำหนักบูรพาเพคะ”
มู่หรงสือไม่สนใจ นางพูดออกมาอย่างแง่งอน “เตี้ยนเซี่ย ยามนี้ยังเป็เวลาบ่ายอยู่เลย ไปเที่ยวกันสักหน่อยเถิดเพคะ”
มู่หรงฉือตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมลงให้นางอีก จึงตวาดออกมาทันที “บังอาจนัก! รถม้าของเปิ่นกงเ้ายังกล้ามาขวาง?”
มู่หรงสือตกตะลึงไป เตี้ยนเซี่ยโมโหแล้ว?
“องค์หญิง เตี้ยนเซี่ยมีเื่ที่ยังต้องทำเพคะ ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับท่าน” ฉินรั่วพูดหน้านิ่ง อดรนทนไม่ไหวอยากจะสั่งสอนที่นางมาขวางเตี้ยนเซี่ยอยู่ตลอดนานแล้ว
“แต่ว่า คนเราจะต้องพักผ่อนบ้าง เตี้ยนเซี่ยคิดเสียว่าเป็การพักผ่อนก็ได้แล้วนี่นา...” มู่หรงสือพูดอุบอิบ
“ถึงเตี้ยนเซี่ยจะมีเวลาว่าง ก็ไม่มีทางไปเล่นสนุกกับองค์หญิงเพคะ” ฉินรั่วพูดเสียงเย็นข้างหูของนาง “เตี้ยนเซี่ยรู้ถึงความรู้สึกขององค์หญิง แต่องค์หญิงตัดใจเถิด กระทั่งจะพูดคุยกับท่านเตี้ยนเซี่ยก็ยังไม่อยาก รู้สึกเพียงแค่ท่านน่ารำคาญเป็อย่างมาก น่ารังเกียจยิ่ง”
“โฮ...”
จู่ๆ มู่หรงสือก็ร้องไห้ออกมา เสียงร้องไห้นั้นดังเป็พิเศษ ทั้งยังร้องได้อย่างทุกข์ใจเป็อย่างยิ่ง ดึงดูดสายตาของคนไม่น้อยให้หันมามอง
ฉินรั่วคิดไม่ถึงว่านางจะร้องไห้ออกมากลางถนน อีกทั้งยังมีหลายคนมองอยู่เช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
มู่หรงฉือในรถม้าได้ยินเสียงร้องไห้ของนางก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที
จะทิ้งนางเอาไว้กลางถนนเช่นนี้ไม่ได้ โจ่งแจ้งเกินไป
มู่หรงสือร้องไห้อย่างเ็ปแล้วพูด “พวกเ้ารังแกข้า...เตี้ยนเซี่ยรังแกข้า...”
มู่หรงอวี้เดินเข้ามาด้วยดวงตาเ็า “เ้าก่อเื่อะไรอีก? ทำมือของเตี้ยนเซี่ยถูกน้ำร้อนลวกแล้วยังจะมาตอแยเตี้ยนเซี่ยอีกหรือ? เ้าคิดว่าเตี้ยนเซี่ยว่างไปเที่ยวเล่นทั้งวันเช่นเ้าหรือ? ยังไม่กลับไปอีก?”
ได้ยินเสียงตำหนิของอาสาม นางก็รีบเช็ดน้ำตาทันทีด้วยความรวดเร็วราวพลิกหน้ามือเป็หลังมือ ฉินรั่วมองแล้วก็ถึงกับตะลึงตาค้างไป
ดูเหมือนว่าจะมีเพียงมู่หรงอวี้เท่านั้นที่จะกำราบนางได้
มู่หรงสือไม่สนใจแม้แต่จะกล่าวอำลา รีบร้อนจากไปทันที
มู่หรงอวี้เข้ามาในตัวรถ มู่หรงฉือมองเขาอย่างตกตะลึง “เปิ่นกงจะกลับตำหนักบูรพา รถคันนี้ก็ถือว่าให้เปิ่นกงยืมเถิด”
รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้า แต่ว่าถนนมีคนแน่นขนัดจึงทำให้เดินทางได้ค่อนข้างช้า
“ภาพนั้นของว่านฟาง เตี้ยนเซี่ยมีความคิดอะไรหรือไม่?” คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆ
“เปิ่นกงรู้สึกว่า...” เห็นเขาถามอย่างจริงจัง นางจึงพูดสิ่งที่สงสัยออกมา “มีความรู้สึกแปลกๆ ที่พูดไม่ออก แต่ก็จับต้องไม่ได้...”
“มิสู้ไปที่บึงเสวียนเยว่กันอีกสักครั้ง”
“หา? ไปทำอะไรหรือ?”
ความจริงแล้วนางก็รู้ ไปดูที่บึงเสวียนเยว่ไม่แน่ว่าจะได้เบาะแสอะไรมาบ้าง แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของเขาที่พูดตอนอยู่ที่บ่อน้ำร้อนก็รู้สึกต่อต้านขึ้นมาทันที
มู่หรงอวี้ทำหน้าไม่ยี่หระ “อีกประเดี๋ยวเปิ่นหวางจะไปที่บึงเสวียนเยว่ เตี้ยนเซี่ยจะไปหรือไม่ก็ตามใจ”
มู่หรงฉือกัดฟันเงียบๆ จะไปหรือไม่ไปดี?
ฉินรั่วที่ได้ยินพวกเขาคุยกันจากด้านนอกก็ขอพรต่อฟ้า : เตี้ยนเซี่ย ท่านจะต้องระวังตัวให้มากนะเพคะ
ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายมู่หรงฉือก็ตัดสินใจไปที่บึงเสวียนเยว่
พักผ่อนอยู่ที่จวนอวี้หวางครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะพาทหารชั้นยอดยี่สิบนายไปที่บึงเสวียนเยว่อย่างรวดเร็ว
บึงเสวียนเยว่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุยังคงมีไอน้ำลอยขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด ยังคงเป็เหมือนแม่น้ำของเหล่าเทพเซียน เพียงแต่อากาศร้อนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะแช่ตัวในน้ำร้อนสักเท่าไหร่
ความเงียบสงัดแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ เสียงร้องของสัตว์ดังมาจากที่ไกลๆ เสียงร้องจิ๊บๆ ของนกกระเต็นไพเราะน่าฟัง
ดอกไม้กอเล็กๆ เบ่งบานอยู่เต็มพื้นดินอันชุ่มชื้น สีแดงสดสะดุดตาพลิ้วไหวไปตามลม
มู่หรงฉือเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งขึ้นมาเล่น ก่อนที่สมองจะคิดอะไรขึ้นมาได้!
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” มู่หรงอวี้เดินเข้ามาถาม ก่อนหน้านี้เขามองไปรอบๆ แล้วไม่พบอะไร
“…” นางถลึงตาใส่เขาอย่างหมดคำพูด ก่อนจะครุ่นคิดต่อ
“หากเ้ายังไม่พูดอีก เปิ่นหวางจะอุ้มเ้าไป” เขาขู่
“อย่าซน” นางขมวดคิ้วน้อยๆ
ได้ยินสองคำนี้แล้วอารมณ์ของมู่หรงอวี้ก็ดียิ่ง มีเพียงคนที่สนิทสนมกันเท่านั้นถึงจะพูดเช่นนี้ออกมา
นี่หมายความว่า นางมองเขาเป็คนที่สนิทมากแล้วใช่หรือไม่?
มู่หรงฉือพูดเสียงเรียบ “คุณชายชุดทองจงใจวางดอกลั่วเสิน[1]หนึ่งดอกเอาไว้ในร้านหลิงหลงเซวียนเพื่อหลอกล่อให้เรามาที่นี่ ให้เข้าใจว่าเราถูกหลอก แต่ว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด บ่อเสวียนเยว่ถูกเปิดเผยแล้ว พวกเรามาแล้วครั้งหนึ่งย่อมไม่มีทางมาอีก ดังนั้นจึงเป็สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เช่นนั้นจากความคิดที่ระมัดระวังของคุณชายชุดทอง ความจริงแล้วที่นี่ก็คือสถานที่ซ่อนตัวนอกเมืองของเขา ไม่แน่ว่าที่นี่ก็มีโลกใต้ดินเหมือนกัน”
เขาลูบศีรษะของนาง “นับว่าเ้าก็ไม่ได้โง่จนเกินไป เพราะนี่ก็คือเป้าหมายที่เปิ่นหวางมาที่นี่”
นางมองเขาด้วยความตกตะลึง “ท่านคิดถึงเื่นี้ได้ก่อนแล้ว?”
มู่หรงอวี้พยักหน้า “หาไม่แล้วเปิ่นหวางจะมาที่นี่ทำไมกัน? เปิ่นหวางว่างมากรึ?”
เชิงอรรถ
[1] ดอกกระเจี๊ยบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้