“การประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้มีทั้งหมดสามรอบ รอบแรกคือศึกตะลุมบอน ทุกคนที่เข้าร่วมการประลองขึ้นเวทีพร้อมกัน 300 คนสุดท้ายที่เหลือจะได้เข้ารอบต่อไป ในศึกต่อสู้ห้ามร่วมมือกัน หากคิดว่าตัวเองสู้ไม่ไหวก็ะโบอกยอมแพ้ นั่นถือว่าตกรอบ ก่อนที่ทุกท่านจะขึ้นเวทีประลองโปรดพิจารณาให้ดี ๆ หากตัวเองปฏิเสธที่จะยอมแพ้หรือไม่ะโบอกยอมแพ้ เช่นนั้นจะถูกผู้อื่นทำร้าย หรือกระทั่งถูกฆ่าตาย” ขุนนางผู้ดำเนินการกล่าวกติกาในรอบแรก
ในความเป็จริงการประลองยุทธ์เลือกคู่เสมือนงานชุมนุมอันรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกยุทธ์ทุกสายต่างเข้าร่วมเพื่อชิงอันดับที่หนึ่ง ดังนั้นการแข่งขันจึงดุเดือด
“การประลองรอบที่หนึ่งเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
เสียงของขุนนางผู้ดำเนินการดังกึกก้อง ทันใดนั้นผู้คนด้านล่างทะยานร่างขึ้นฟ้า ก่อนจะร่อนลงบนเวทีประลอง
ซึ่งผู้เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่มีประมาณ 3,000 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหัวกะทิ ทั้งยังมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ชายหนุ่มเ่าั้ที่เข้าร่วมการประลองจ้องมองเงาร่างงดงามของจ้าวซินอี๋ จิตใจของพวกเขาก็ฮึกเหิมขึ้นมา แม้ไม่สามารถพาองค์หญิงซินอี๋กลับไปได้ แต่พวกเขาจะพยายามแสดงฝีมืออย่างสุดความสามารถ
บนเวทีประลอง ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนมองผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่รอบ ๆ ด้วยสายตาระแวดระวัง กลัวว่าจะมีใครเข้าจู่โจมตัวเอง
“มองอะไรไม่ทราบ? ข้าจะจัดการพวกเ้าให้สิ้นซากซะ!” ชายร่างกำยำผู้หนึ่งกล่าวด้วยความร้อนใจ จากนั้นเข้าโจมตีคนผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ คล้ายไม่อยากรอคอย
เขาเหวี่ยงหมัดที่อัดแน่นด้วยพลังน่าทึ่งโจมตีผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ซึ่งอีกฝ่ายหลบไม่ทัน จึงถูกหมัดของชายร่างกำยำผู้นั้นซัดกระเด็นตกเวทีประลอง
การกระทำของชายร่างกำยำผู้นั้นจุดประกายเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสนาม ทุกคนจึงเริ่มโจมตีผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเอง
“3,000 กว่าคน แต่มีเพียง 300 คนที่จะได้เข้ารอบต่อไป อัตราการเข้ารอบไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ดังนั้นข้าต้องหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งคิดในใจ
คนส่วนใหญ่ต่างคิดเช่นเดียวกันนี้ แต่ว่าศึกต่อสู้วุ่นวายเกินไป จึงพลอยได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีเพียงอัจฉริยะเฉกเช่นซือคงเสวียน เว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และเหลียงปู้ผั่วที่ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุ
สายตาของซือคงเสวียนเฉียบคมดุจคมมีดที่กวาดมองรอบ ๆ ประหนึ่งาาที่เชิดมองประชาชน ในฐานะอัจฉริยะแห่งสำนักชิงอวิ๋น ซือคงเสวียนย่อมรู้สึกเหนือกว่าแต่มิได้พูดออกมา ซึ่งนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ออกจากสำนักชิงอวิ๋น แต่ผู้ฝึกยุทธ์จากอาณาจักรเล็ก ๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสนใจแม้แต่นิดเดียว เขาจึงไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มบำเพ็ญตบะ
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ซือคงเสวียนในระยะห้าเมตร ราวกับเป็เขตต้องห้ามที่ทุกคนต้องรักษาระยะห่าง
“ซือคงเสวียนสมกับเป็ศิษย์สายตรงของรองเ้าสำนักชิงอวิ๋น ศึกตะลุมบอนรอบนี้คงไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุเขา เขาอาจจะเข้ารอบต่อไปได้ง่าย ๆ” ผู้คนบนอัฒจันทร์เห็นฉากนี้ต่างก็ดูหวาดหวั่น
“พี่เว่ย เ้ากับข้าร่วมมือกันกำจัดไอ้สวะนั่นไหม?”
ขณะนั้นหวงเหยียนิและเว่ยเจิ้นเทียนยืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ทั้งสองคนต่างเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ ตามกฎแล้วต้องแข่งขันกันเอง แต่ทั้งสองคนมีศัตรูคนเดียวกัน จึงตกลงร่วมมือกันทันที
เว่ยเจิ้นเทียนหันไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือกระคนความอาฆาต “เก็บเขาเช่นนี้คงง่ายเกินไป มิสู้ปล่อยให้เขาผ่านเข้ารอบต่อไป ไว้สองรอบสุดท้ายค่อยเก็บเขาก็ไม่สาย!”
“ก็ดี!” หวงเหยียนิพยักหน้าเห็นด้วยกับเว่ยเจิ้นเทียน
ทั้งสองคนยืนอยู่ที่เดิมขณะมองผู้คนสู้กันด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ในฐานะสี่อัจฉริยะบุรุษแห่งแดนชิงอวิ๋น ย่อมไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุเว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และเหลียงปู้ผั่ว ทุกคนมีแต่หวาดกลัวสามคนนี้จนไม่กล้าลงมือโจมตี
ทางด้านเย่เฟิง เขายืนอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ชุดสีขาวโบกสะบัดแม้ไร้ลม สีหน้าของเขาเฉยชา โดยที่ไม่คิดจะเป็ฝ่ายเริ่มจู่โจมก่อน
“ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ข้าไม่รู้ว่าคนอย่างเ้าชิงอันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่งมาได้อย่างไร!”
ขณะนั้นมีเสียงเย็นเยือกดังขึ้นที่ด้านหลังของเย่เฟิง เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาหันไปมอง ก่อนจะเห็นชายร่างผอมผู้หนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ และสายตาที่มองมายังเย่เฟิงก็ประหนึ่งมองเหยื่อของตัวเอง
“เ้าคิดจะทำอะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถามชายผู้นั้นพลางเหยียดยิ้มเ็า
“แน่นอนว่ากำจัดเ้าออกไปจากเวทีประลองนี้!” ชายผู้นั้นกล่าว เขาคือศิษย์อัจฉริยะจากกองกำลังหนึ่งของอาณาจักรเว่ยที่มีนามว่าสำนักหยางอู่ ตบะของเขาบรรลุจุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 เป็ผู้โดดเด่นคนหนึ่งของสำนัก
ชายผู้นี้มีนามว่าเฉิงกัง เขาเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ก็เพื่อที่จะแสดงฝีมือของตน เมื่อเห็นเย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 และเป็อันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่ง หากเอาชนะเย่เฟิงได้ เช่นนั้นคงแสดงฝีมือของตนได้ไม่เลว
“อาณาจักรจ้าวช่างตกต่ำยิ่งนัก ไม่คิดว่าอันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่งจะเป็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ดูท่าคงถูกเฉิงกังทำร้ายย่อยยับเป็แน่”
เมื่อผู้คนเห็นสถานการณ์ทางด้านเย่เฟิงและเฉิงกังต่างก็คิดว่าเย่เฟิงจะถูกเฉิงกังอัดจนตกรอบ ถึงอย่างไรตบะของทั้งสองก็ห่างชั้นกันมาก เย่เฟิงไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของเฉิงกัง ทว่าเหล่าคนที่รู้จักเย่เฟิงกลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเขารู้ดีว่าเย่เฟิงเก่งกาจเพียงใด สามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ ขณะเดียวกันการพัฒนาของเย่เฟิงก็ก้าวะโจนน่าทึ่ง
งานชุมนุมหวงปั่งนั้นเพิ่งผ่านพ้นไปได้สามเดือน ซึ่งตอนที่เย่เฟิงเข้าร่วมเขาอยู่เพียงขั้นรวมชี่ที่ 4 จนกระทั่งบัดนี้เขาเติบโตเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ตบะของเย่เฟิงยกระดับถึงแปดขั้นในเวลาสามเดือน ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังใหญ่ ๆ เ่าั้ก็ยังไม่เติบโตเร็วเพียงนี้
“อยากกำจัดข้า เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเ้าแล้ว!” เย่เฟิงกล่าวราวกับไม่เห็นเฉิงกังอยู่ในสายตา
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นก็รับหมัดนี้ไปซะ!” เฉิงกังแสยะยิ้ม เขา้ากำจัดอันดับหนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งแห่งอาณาจักรจ้าว จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดโจมตีเย่เฟิงทันทีที่สิ้นเสียง โดนะเิพลังแห่งขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 สูงสุด ราวกับทำลายได้ทุกสิ่ง
“รนหาที่ตาย!” เย่เฟิงแค่นเสียงหัวเราะอย่างเ็า แม้เขาไม่ขยับตัว แต่ก็เหวี่ยงหมัดโจมตีเช่นกัน ก่อนรังสีหมัดทั้งสองจะเข้าปะทะกัน ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น พร้อมกับเสียงกรีดร้องของเฉิงกัง
ผู้คนพบว่าวินาทีที่รังสีหมัดของเย่เฟิงและเฉิงกังเข้าปะทะกัน ร่างเฉิงกังก็ถูกดีดออกจากเวทีประลอง กระดูกบริเวณแขนแตกหักหลายจุด ทำให้หมดสติไปในทันที
“เป็ไปได้อย่างไร?” เมื่อผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ที่คิดว่าเย่เฟิงจะเป็ฝ่ายพ่ายแพ้เห็นฉากนี้ต่างก็เบิกตากว้างด้วยความใ
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 รับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ไม่ได้ พลังของเย่เฟิงผู้นี้แกร่งแค่ไหนกันแน่นะ?” ผู้คนคิดในใจ นี่เป็ครั้งแรกที่เห็นพลังของเย่เฟิง พวกเขาจึงไม่กล้าดูถูกเย่เฟิงอีก ส่วนชาวอาณาจักรจ้าวเ่าั้ต่างรู้สึกโล่งใจ พวกเขารู้ว่าเย่เฟิงแข็งแกร่ง และด้วยตบะของเย่เฟิงในตอนนี้ก็จัดการผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 ได้อย่างไม่มีปัญหา
“ระดับคังผิงโหวย่อมไม่ธรรมดา มีเพียงตบะเท่านั้นที่เป็จุดด้อย หาไม่แล้วคงมีความหวังที่จะได้เป็ราชบุตรเขย”
บนอัฒจันทร์หลัก องค์าาจ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ เขาให้ความสำคัญกับเย่เฟิงมาก หากอาณาจักรเว่ยไม่มาสู่ขอก่อน องค์าาไม่มีทางคัดค้านจ้าวซินอี๋ที่จะอยู่ด้วยกันกับเย่เฟิง จนกระทั่งเื่ดำเนินมาถึงการประลองยุทธ์เลือกคู่ แต่ตบะของเย่เฟิงถือว่าต่ำต้อยมากในบรรดาผู้เข้าร่วมแข่งขัน แม้สู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ได้ไม่มีปัญหา แต่หากเทียบกับซือคงเสวียน เว่ยเจิ้นเทียน เหลียงปู้ผั่ว และหวงเหยียนิ เห็นชัดว่าด้อยกว่า ดังนั้นองค์าารู้ว่าแม้จ้าวซินอี๋กับเย่เฟิงจะชื่นชอบกัน แต่ก็ถูกกำหนดไม่ให้อยู่ด้วยกัน
“เสด็จพ่อไม่ต้องเป็กังวล อัจฉริยะที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้มีมากก็จริง แต่กับซือคงเสวียน เว่ยเจิ้นเทียน เหลียงปู้ผั่ว และหวงเหยียนิก็แกร่งกว่าคนทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าใครจะชิงอันดับที่หนึ่งมาได้ก็ไม่มีทางทำให้น้องหญิงเสียหน้าแน่นอน” จ้าวหยางเห็นองค์าาเป็กังวลจึงกล่าวเช่นนั้น
จ้าวซินอี๋ได้ยินคำพูดของจ้าวหยางก็เผยสีหน้าไม่พอใจ “เื่ของซินอี๋มิต้องให้เสด็จพี่มาเป็กังวล ข้าเชื่อว่าเย่เฟิงเขาจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เขาจะชิงอันดับที่หนึ่งและกลายเป็ราชบุตรเขย”
ดวงตาของจ้าวซินอี๋เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น แม้ผู้อื่นดูถูกเย่เฟิง แต่นางก็เชื่อมั่นในตัวเย่เฟิงตลอดไม่มีเปลี่ยน
“ฮ่า ๆ ๆ!”
จ้าวหยางแค่นเสียงหัวเราะอย่างเ็า “น้องหญิงคิดมากไปแล้ว ข้าไม่คิดจะทำร้ายเ้า แม้เย่เฟิงผู้นั้นอยู่เพียงขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 และมีพร์ แต่จะใช่คู่ต่อสู้ของสี่คนที่ข้าว่ามาได้อย่างไรกัน อีกอย่างเย่เฟิงผู้นี้มีนิสัยบ้าระห่ำ มีศัตรูอาฆาตมากมาย พวกเขาต่าง้าให้เย่เฟิงตาย ดังนั้นในความคิดข้า หากเย่เฟิงผู้นี้ผ่านรอบแรกได้ก็ถือว่าดวงดี เ้าคิดไว้เถิดว่า้าแต่งกับคนใดในสี่คนนั้นที่ข้าพูดมา!”
ถ้อยคำของจ้าวหยางไร้ซึ่งความเกรงใจ ทั้งยังแฝงด้วยความดูถูก
“ท่าน...” จ้าวซิงอี๋พูดไม่ออก และไม่รู้ควรตอบโต้อย่างไรดี
“เสด็จพี่พูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน การประลองยุทธ์เลือกคู่เพิ่งจะเริ่มขึ้น ท่านไม่ตัดสินใจเร็วเกินไปหน่อยหรือ!” จ้าวเยี่ยที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวเช่นนั้น แม้เขารู้ว่าเย่เฟิงไม่มีความหวังที่จะชิงอันดับที่หนึ่งของงานนี้มาได้ แต่ก็ไม่อยากให้จ้าวหยางพูดจาเหิมเกริมเช่นนี้
“เช่นนั้นพวกเราก็รอดูกันต่อไป!”
จ้าวหยางแค่นเสียงเ็า ก่อนจะไม่สนใจอีกฝ่าย เขารู้ว่าเว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และคนอื่น ๆ ต่าง้าฆ่าเย่เฟิงมาตลอด วันนี้เขาจึงอยากเห็นว่าเย่เฟิงจะมีจุดจบอย่างไร
บนเวทีประลอง เย่เฟิงยังคงยืนตระหง่าน ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว ฉากนี้อดทำให้คนอื่น ๆ แปลกใจไม่ได้
