เหตุใดนางถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าตระกูลซูในเมืองฉินโจวมีศัตรู?
เป็เพราะนางมักเดินทางไปทำการค้าหรือไม่?
นางขบคิดอย่างรอบคอบ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
ตระกูลซูในเมืองฉินโจวเก็บตัวเงียบมานาน หลังจากซูว่านหรูได้ขึ้นเป็ฮองเฮา ซูซ่างซูซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีก็ลาออกจากตำแหน่งและเดินทางกลับบ้านเกิด จึงไม่มีใครกล่าวถึงตระกูลซูมานานกว่าสิบปีแล้ว ทุกคนรู้เพียงว่าซูซ่างซูอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดตามลำพัง อีกทั้งในเมืองฉินโจวก็ยังมีคนรู้จักซูซ่างซูน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
นั่นหมายความว่าตระกูลซูในเมืองฉินโจวไม่มีทั้งมิตรและศัตรู
แล้วใครเป็คนทำกันแน่?
ใครทำลายแผนการของนาง?
เมื่อนึกถึงเื่นี้นางยิ่งรู้สึกโกรธ
ชิงซีถามด้วยเสียงอู้อี้ว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็คนทำ?”
มู่ชิงซ่งส่ายศีรษะ “ยังไม่มีหลักฐานใดสาวไปถึงตัวผู้ลงมือได้เลยขอรับ แต่จากการวิเคราะห์ของข้า คนคนนั้นจะต้องมีทักษะกระบี่ที่ยอดเยี่ยม คนของเราตรวจสอบที่เกิดเหตุและพบปลายกระบี่หักตกอยู่”
ทักษะกระบี่ที่ยอดเยี่ยมงั้นหรือ?
ในโลกนี้ผู้ที่ใช้กระบี่ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังมีความสัมพันธ์และติดต่อกับตระกูลซูสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว!
แล้วเหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้น?
เหล่าปรมาจารย์ที่มีทักษะกระบี่ที่ยอดเยี่ยมในสำนักขงถงล้วนมีนิสัยตรงไปตรงมา พวกเขาย่อมไม่ทำเื่เช่นนี้เป็อันขาด ส่วนสำนักฮั่วซานยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะนักพรตเสียนเฟิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซู
เป็ไปได้หรือไม่ว่าผู้ลงมือมาจากสำนักชิงซาน?
จู่ๆ ชิงซีก็นึกถึงโจวยี่
ใช่แล้ว ต้องเป็โจวยี่แน่ นางยังคงมีความแค้นอยู่
ชิงซีโกรธมาก นางจะลงโทษหญิงชั่วผู้นี้อย่างไรดี?
นางถามขึ้นว่า “หากเป็เ้าจะใช้วิธีการใดสั่งสอนให้สตรีผู้หนึ่งรู้จักปฏิบัติตัวให้ดี?”
มู่ชิงซ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดชิงซีจึงถามเช่นนี้ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงกล่าวออกมาแค่ “ข้า…” แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ถามว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ชิงซีคลี่ยิ้มราวกับเป็เด็กสาวไร้เดียงสาและกล่าวว่า “ข้าแค่อยากจะสอนบทเรียนให้หญิงชั่วผู้หนึ่ง แต่ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เ้าช่วยแนะนำข้าได้หรือไม่?”
มู่ชิงซ่งกล่าวอย่างลังเลว่า “ขอข้าคิดดูก่อนนะขอรับ ข้ามองว่าถ้า้าสั่งสอนสตรี ไม่มีอะไรเ็ปมากไปกว่าการทำลายสิ่งที่มีค่าที่สุดของนาง ตัวอย่างเช่น ความงามหรือคนที่นางห่วงใยมากที่สุด”
ชิงซีส่ายศีรษะ “คนที่นางห่วงใยตายแล้ว วิธีนี้ใช้ไม่ได้ ส่วนความงามน่ะหรือ? บางทีข้าอาจหาโอกาสทำลายความงามของนางได้ แต่ข้าคิดว่าดูเหมือนนางจะไม่สนใจความงามขนาดนั้น ข้าควรทำอย่างไรดี?”
มู่ชิงซ่งถามว่า “ท่านหมายถึงใครขอรับ? ท่านรู้ตัวคนร้ายแล้วหรือ?”
ชิงซีเม้มปากและกล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าคิดว่าเป็โจวยี่ เ้าส่งคนไปตามสืบว่าเมื่อไม่นานมานี้นางอยู่ที่ใด อันที่จริงข้าได้ทำข้อตกลงกับนางแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนนางจงใจประกาศากับข้า!”
มู่ชิงซ่งลังเล “แต่ข้าจำได้ว่าท่านเคยบอกว่าคนที่โจวยี่ห่วงใยที่สุดขอให้นางสาบานว่าจะไม่แตะต้องตระกูลซู แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น?”
ชิงซีกล่าวว่า “โจวยี่ผู้นี้เข้าใจยากจริงๆ เ้าลองส่งคนไปตามสืบก่อน ข้าไม่เชื่อว่าจะจับนางไม่ได้ ถ้าเ้าจับนางได้ก็ขังนางไว้ในเรือนตะวันตกแล้วค่อยมาดูกันว่านางเป็คนลงมือหรือไม่”
ท่าทางของชิงซีดูโกรธมาก
มู่ชิงซ่งไม่เพียงรับคำ แต่ยังกล่าวปลอบโยนนางสองสามคำก่อนจากไป
ขณะที่ชิงซีกำลังจะลุกขึ้นและไปปรากฏตัวที่จวนตระกูลซูในเมืองฉินโจวเพื่อหาคำตอบ นางก็ได้ยินเสียงนกกระเรียนร้องเบาๆ
เป็ไปได้ไหมว่าเทพธิดาอวี้เหออยู่ที่นี่?
‘ข้าไม่อยากเจอนางเลย’
ชิงซีเม้มปากและเดินเข้าไปหลังม่าน ไม่นานนางก็มาปรากฏตัวที่เมืองฉินโจว
...
อวิ๋นจื่อที่อยู่ในจวนตระกูลซูได้รับข้อความจากมู่ชิงซ่งแล้ว
เมื่อนางพบว่าคนที่อยู่เื้ัคือโจวยี่ นางก็แอบยินดีเล็กน้อย
อาจเป็เพราะนางรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือคนตระกูลเย่ อย่างน้อยก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเย่เช่อ
หลังจากที่อวิ๋นจื่อตระหนักว่านางกำลังยินดี นางก็รู้สึกละอายใจ
เมื่อเทียบกับตระกูลซูแล้ว ความสัมพันธ์ของนางกับเย่เช่อนับว่ามีความสำคัญน้อยกว่ามาก แล้วเหตุใดนางถึงรู้สึกยินดีเล่า?
นางพยายามอย่างยิ่งที่จะหยุดคิดเื่ตระกูลซูและเย่เช่อ
แต่ความพยายามกลับไร้ผล อวิ๋นจื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกไป๋จื่อมาฝนหมึกเพื่อที่นางจะได้คัดอักษร
ตราบใดที่จดจ่ออยู่กับเื่ของตัวเอง นางย่อมไม่มีเวลาคิดเื่อื่น
หรือพูดอีกอย่างก็คือ นางจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน
อวิ๋นจื่อสงสัยว่าเสด็จอามีความสัมพันธ์เช่นใดกับโจวยี่?
นางเขียนคำว่า “โจว” ตัวโตๆ บนกระดาษ
โจวยี่เป็บุตรีคนเล็กของโจวเซียงซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใน่ปีสุดท้ายของรัชศกเทียนโหย่ว นางเป็ชายารองของรัชทายาท ต่อมาในรัชศกเฉิงกวงนางได้รับการแต่งตั้งเป็สนมชั้นเฟย ตอนนั้นนางตั้งตนเป็ปฏิปักษ์กับซูฮองเฮาอย่างชัดเจน แต่เนื่องจากนางไม่มีทายาท นางจึงไม่สามารถสั่นคลอนตำแหน่งของซูฮองเฮาได้ แต่ต่อมาไม่กี่ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของซูฮองเฮา นางก็กลายเป็กุ้ยเฟย
อวิ๋นจื่อนึกถึงเื่ราวในอดีต
ทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่าั้แ่เย่เซียงขึ้นครองราชย์ นางก็ไม่ได้ข่าวของตระกูลโจวเลย
ดูเหมือนว่าตระกูลโจวจะไม่ได้หนุนหลังโจวยี่ เพราะฉะนั้นเป็ไปได้หรือไม่ว่าตั๊กแตนตำข้าวกำลังจะจับจักจั่นแต่กลับมีนกขมิ้นรอฉวยโอกาสอยู่ด้านหลัง?
โจวเซียงซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจกับเสนาบดีฝ่ายขวา แต่น่าแปลกที่ฮ่องเต้แทบไม่เคยกล่าวถึงโจวเซียงเลยแม้ว่าจะทรงโปรดปรานโจวยี่มากก็ตาม
ยังมีเื่ที่นางไม่รู้อีกหรือไม่?
หรือมีบางอย่างที่นางพลาดไป?
อวิ๋นจื่อเขียนคำเดิมมาสักพักแล้ว
ไป๋จื่อรู้สึกงุนงง แต่นางก็ยืนฝนหมึกเงียบๆ โดยไม่กล่าวอะไร
ขณะนั้นหงหลิงก็เดินเข้ามา
หงหลิงรีบเดินไปข้างๆ อวิ๋นจื่อและกระซิบบางอย่างใส่หูนาง
พู่กันในมืออวิ๋นจื่อร่วงลงพื้น
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลซูแห่งเมืองฉินโจวไม่ใช่ฝีมือของโจวยี่ แต่นางไปเห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญและปิดปากเงียบไม่บอกใคร
กว่าตระกูลมู่จะรู้ข่าวก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
เพราะเมื่อคนเราตายไปย่อมฟื้นคืนชีพไม่ได้
ทุกคนล้วนเข้าใจข้อเท็จจริงอันเรียบง่ายนี้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับมันด้วยตัวเองกลับพบว่ามันช่างโหดร้ายและเ็ป
อวิ๋นจื่อรู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าครึ่งหนึ่งได้พังทลายลงมา
ความคิดของนางก็สับสนวุ่นวายตามไปด้วย
อวิ๋นจื่อสงสัยว่าหากนางยังเป็พระธิดาของฮ่องเต้ นางก็คงร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข หากเสด็จแม่ยังเป็นายแห่งวังหลัง หากนางยังอาศัยอยู่ในตำหนักเหวินฮวา หรือหากยังไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ชีวิตของนางจะวิเศษเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ชีวิตย่อมไม่เรียบง่ายเช่นนั้น
นางไม่ใช่องค์หญิงเหวินฮวาผู้เป็ที่รักของคนจำนวนมากอีกต่อไป
นางเป็คณิกานามว่าปี้เหยียน
นางเป็คุณหนูใหญ่ตระกูลซูนามว่าซูปี้หลัว
ยิ่งไปกว่านั้น เกือบทุกคนในเมืองหยงโจวรู้ว่าสาวงามอันดับหนึ่งของหอจุ้ยฮวนในปีนี้มีนามว่าปี้เหยียน เกือบทุกคนรู้ว่านางคือคนที่เข้ามาแทนที่ม่านอู่
แต่จะมีประโยชน์อันใด?
ในระยะเวลาสั้นๆ เหตุการณ์ในอดีตค่อยๆ เลือนลางและไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้