ใกล้ถึงเวลาที่จะลงรถแล้ว คังเหว่ยบอกว่าควรมีคนมารับที่สถานีด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นไป๋เจินจูผู้ผิวดำคล้ำรออยู่บนชานชาลา เธอตัดผมจนสั้นกุดสวมชุดออกกำลังกาย ถ้าไม่รู้จักกันคงนึกว่าเธอเป็ผู้ชาย
ทำไมหญิงสาววัยรุ่นถึงใช้ชีวิตของตนเองตามบุญตามกรรมถึงขนาดนี้?
คังเหว่ยดูไม่ออกว่าชายชาตรีคนนี้คือ ‘พี่ไป๋’ ที่เซี่ยเสี่ยวหลานพูดถึง ยังคงชะเง้อหาอยู่ที่เดิม
“พี่สะใภ้ คนคนนั้นที่พี่บอกเล่า?”
ไป๋เจินจูฉีกยิ้มให้เขา “เสี่ยวหลานนี่น้องชายเธอหรือ?”
น้องชายอะไรกัน คังเหว่ยแก่กว่าเซี่ยเสี่ยวหลานถึงสองปีด้วยซ้ำเซี่ยเสี่ยวหลานแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน “คังเหว่ยนี่ก็คือพี่ไป๋ที่ฉันพูดถึง”
ขออภัยที่คังเหว่ยสายตาไม่ดี แต่เขาดูไม่ออกว่าพี่ไป๋นั้นขาวตรงไหน อีกทั้งที่หยางเฉิงแสงแดดช่างร้อนแรงเหลือเกินโดยทั่วไปแล้วเหล่าสตรีของหยางเฉิงจึงไม่ขาวผ่องเท่าสาวทางเหนือ ยิ่งไป๋เจินจูยืนอยู่ข้างเซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งตัดกันเหมือนถ่านก้อนหนึ่ง
ทว่าก้อนถ่านเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หลังรู้ว่าสามารถพูดจาตามสบายกับคังเหว่ยได้ไป๋เจินจูจึงคลายความประหม่าลงทันที
เมื่อก่อนเธอช่างโง่งมเสียจริง ขายผลไม้อะไรกันไม่ระวังกระแทกทีชนทีก็เสียหายไปหมด ทั้งยังต้องกังวลว่าหากขายไม่ออกแล้วจะเน่าเสียสู้ขายเสื้อผ้าได้ที่ไหนกัน? กางเกงแต่ละโหลบรรจุในถุงกระสอบไป๋เจินจูหิ้วไปโยนไว้ตรงไหนก็ย่อมได้!
เธอเองก็ไม่ได้ไร้เรี่ยวแรง รวมทั้งไม่มองว่าตนเองคือผู้หญิงด้วย เธอมีพละกำลังเหนือกว่าคนทั่วไปเหมาะสมกับเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงยิ่งนัก
“คนซื้อเยอะเหลือเกิน ฉันยุ่งกับการรับเงินทุกวัน!”
ไม่ใช่แค่วุ่นอยู่กับการรับเงิน แม้แต่เื่กินนอนเธอยังต้องแข่งกับเวลาอีกด้วยเดินทางไปมาระหว่างในและนอกหยางเฉิง เธอเกรงว่าการสระผมยาวจะทำให้เสียเวลาจึงตัดสั้นเป็ทรงบุรุษเสียเลย การแต่งกายก็ค่อนข้างเหมือนผู้ชายเช่นกันนี่มันช่วยไม่ได้ วัฒนธรรมของทางเผิงเฉิงคือเมื่อพบหน้าทำธุระจะยื่นบุหรี่ก่อนเป็อันดับแรกคนอื่นเห็นผู้หญิงอย่างไป๋เจินจูทำแบบนี้ย่อมคิดว่าแปลกประหลาดเสียจริง ทว่าหลังจากตัดผมและเปลี่ยนการแต่งกายก็ไม่มีใครใช้สายตาพิลึกพิลั่นมองเธออีก
คังเหว่ยมองเธอซ้ำไปซ้ำมา ไป๋เจินจูผู้นี้สุดยอดทีเดียว ผู้หญิงกล้าสู้กล้าเสี่ยงเช่นเธอนี้มีไม่มากจริงๆ
กล้าหาญยิ่งนักที่สามารถเดินทางไปเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงคนเดียว!
เซี่ยเสี่ยวหลานฟังไป๋เจินจูบอกเล่าอย่างตื่นเต้นตลอดทาง เธอเองก็รู้สึกยินดีเหมือนกัน
ก็เธอร่วมหุ้นลงในธุรกิจของไป๋เจินจูด้วยนี่นา
แม้ไม่อาศัยขายกางเกงตะวันตกที่หยางเฉิงหาเงินแต่ถ้าไป๋เจินจูตั้งหลักปักฐานที่นั่นได้เร็วเท่าไรความตั้งใจขั้นต่อไปของเซี่ยเสี่ยวหลานก็ยิ่งดำเนินการได้เร็วยิ่งขึ้น
พอไป๋เจินจูปรากฏตัวที่สถานีรถไฟ พวกเฉาลิ่วจื่อจึงคาดเดาว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะมาหากจับจ้องไป๋เจินจูไว้ก็จะได้พบเซี่ยเสี่ยวหลาน และก็เป็เช่นนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานมาจริงๆทว่าข้างกายกลับพาไอ้หนุ่มหน้าขาวมาด้วย!
“ไม่เหมือนกับคนครั้งก่อนเท่าไร?”
“จริงด้วยสิ...”
อยู่ดีๆเฉาลิ่วจื่อก็รู้สึกว่าพี่ใหญ่ต้องยอมรับในความทรงเสน่ห์ของเซี่ยเสี่ยวหลานเสียแล้ว
เมื่อคนของพวกเขาติดตามไป ก็พบว่าพวกเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสามคนได้ออกจากสถานีก้าวขึ้นรถยนต์คันหนึ่ง รถนั่นเหยียบคันเร่งขับออกไปทันที
เมื่อรายงานให้เคออีสฺยงรับรู้ ทว่าเคออีสฺยงก็ไม่ได้แยแสอะไร
“เฝ้าดูตลาดเสื้อผ้าก็พอแล้ว ฉันว่าเธอไม่ละทิ้งธุรกิจนี้ง่ายๆ หรอก”
เคออีสฺยงยิ้มแย้มด้วยดวงตาโค้ง เขาแค่อยากผูกมิตรเท่านั้นไม่ใช่ความ้าที่มากเกินไปสินะ?
คังเหว่ยบอกว่าคนที่มารับชื่อพี่พานซานเซี่ยเสี่ยวหลานจึงเรียกตามโดยไม่ถามให้มากความ ทว่าพอไป๋เจินจูขึ้นรถก็กระวนกระวายขึ้นมาทันทีเธอรู้สึกว่าพานซานอันตรายยิ่งนัก นี่คงเป็การหยั่งรู้ของผู้มีทักษะการต่อสู้
เซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาสะสวย พานซานกลับไม่ได้จ้องมองมากนักทว่าสนใจในตัวไป๋เจินจูเป็อย่างยิ่ง
“เคยฝึกหรือ?”
ไป๋เจินจูตอบอืมออกไปคำเดียว พานซานก็ตั้งใจขับรถต่อไปไม่เอื้อนเอ่ยอะไรอีก
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าพานซานคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่เหมือนคังเหว่ยจะเชื่อใจเขามากบนใบหน้าของพานซานมีรอยแผลจากคมมีด บากคิ้วข้างขวาของเขาเป็สองส่วนในแนวตั้งแผลนี้ยาวจากหน้าผากจนถึงเปลือกตาถ้าต่ำกว่านี้อีกนิดเดียวเขาก็เก็บตาขวาไว้ไม่ได้แล้ว
ทว่าอย่างน้อยเคออีสฺยงเป็ถึงอันธพาลท้องถิ่นพานซานคนเดียวจะสามารถจัดการได้หรือ?
แต่สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานคิดอาจไม่เป็แบบนั้น
พานซานขับโปโลเนซ [1] สภาพค่อนข้างใหม่เอี่ยมรูปร่างกำยำไม่เหมาะกับอัดอยู่ในที่นั่งของคนขับเอาเสียเลย ท่าทางช่างเหมือนโจรขโมยรถเล็กมาขับเหลือเกิน
เขาได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคิดจะไปเหมาสินค้าตอนบ่าย จึงตัดสินใจพาทั้งสามคนไปรับประทานอาหารก่อน
คนคนนี้รับประทานว่องไวมาก ข้าวหนึ่งชามพุ้ยเพียงสองสามคำก็เกลี้ยงแล้ว จากนั้นก็ยกน้ำแกงซดลงปากไปเช่นกันสำหรับพานซาน ความเคยชินซึ่งถูกบ่มเพาะมายาวนานคือไม่ว่ารับประทานอะไรก็ทานเพื่ออิ่มท้องเท่านั้นไม่ใช่การลิ้มรสชาติของอาหาร
จุดนี้แตกต่างจากโจวเฉิงนัก
โจวเฉิงให้ความสำคัญกับอาหารเลิศรส สามารถบรรยายปลาชิงขนาด 18 ชั่งขณะรับประทานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จากทัศนคติของคนคนหนึ่งต่อปัจจัยดำรงชีวิตพื้นฐานก็พอคาดการณ์พื้นเพและการศึกษาของเขาได้ ชาติตระกูลของโจวเฉิงไม่ธรรมดาเป็แน่ครอบครัวที่ทุกวันนี้ยังมีอารมณ์คำนึงถึงอาหารเลิศรส... ต้องไม่เคยหิวโซมาก่อนจริงๆ
ส่วนคังเหว่ยกับพานซาน พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกับอีกฝ่ายมากนัก ทว่าคังเหว่ยน่าจะเชื่อใจพานซานมากทีเดียว
หัวเดียวกระเทียมลีบสามารถจัดการเคออีสฺยงได้หรือ?
หรือว่าเขาเป็พี่ใหญ่ในวงการผู้สันโดษ?
เมื่อพานซานออกไปสูบบุหรี่หน้าประตูร้าน เซี่ยเสี่ยวหลานได้ถามไป๋เจินจู “เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนคนนี้ไหม?”
ไป๋เจินจูส่ายศีรษะ “ไม่เคยแต่เขาเป็คนมือเปื้อนเื”
‘มือเปื้อนเื’ ก็คือคร่าชีวิตคนนั่นเอง
โจวเฉิงไม่มีทางเรียกอาชญากรมาช่วยเหลือ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดในใจพานซานอาจเป็พวกทหารปลดประจำการ
สิ่งที่ไป๋เจินจูไม่บอกก็คือความหวาดหวั่นครั่นคร้ามที่เธอมีต่อพานซานเหนือกว่าเคออีสฺยงเสียอีกชีวิตคนที่เสียให้เขาคนนี้ต้องไม่ใช่แค่หนึ่งคนแน่นอน กลิ่นอายที่แสนร้ายกาจแผ่กระจายไปทั่วร่างคนฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างเธอรับรู้ได้ไวเลยทีเดียว
เธอกลัวจะทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานกลัว จึงรีบเปลี่ยนเื่สนทนา
“กว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันทำเงินไป 5000 กว่าหยวน เดี๋ยวฉันจะแบ่งเงินให้เธอนะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานใไม่น้อย “ฉันจำได้ว่าพี่ขายกางเกงตะวันตกราคาถูกที่เน้นปริมาณกางเกงหนึ่งตัวกำไรมากสุดก็สองสามหยวน ทำไมถึงได้เงินเยอะแยะขนาดนี้กัน?”
ไป๋เจินจูยิ้มแย้มทั้งดวงหน้า “กางเกงหนึ่งตัวทำกำไรไม่มากก็จริงดังนั้นฉันจึงต้องไปตลาดสินค้าเล็กที่สะพานเผิงเฉิงเหรินหมินทุกวันเวลาค้าขายไม่ดีก็ขายได้ไม่กี่สิบตัว เวลาขายดีก็ได้ร้อยกว่าตัวเสี่ยวหลานเธอพูดถูกเผงเลย ตอนนี้เผิงเฉิงยังรุ่งเรืองสู้หยางเฉิงไม่ได้แต่ที่นั่นหาเงินได้ง่ายดายเหลือเกิน!”
ปัจจุบันถ้าเลือกธุรกิจถูกต้อง อีกทั้งไม่กลัวความลำบากเงินย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ไป๋เจินจูเล่าอย่างสบายใจ ที่ตลาดสินค้าเล็กรวบรวมร้านค้าไว้เป็จำนวนมากเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งแผงลอยยังต้องโดนคนรายงานเื่ ‘ค้ากำไรเกินควร’ ไป๋เจินจูขายกางเกงราบรื่นเสมอไปที่ไหนกัน? บางครั้งการแย่งชิงธุรกิจในตลาดก็ต้องใช้กำลังไป๋เจินจูสามารถเอาชนะไปได้หลายคน จึงไม่มีใครมาแตะแผงของเธออีก
แค่การต่อสู้ทะเลาะวิวาท สำหรับไป๋เจินจูมิใช่เื่พิเศษเธอเองก็ไร้ปัญหาเื่การโดนตอแยจากชายอื่นอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยเหตุนี้เธอจึงคร้านจะกล่าวถึง
“สะพานเหรินหมิน?!”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกคุ้นเคยทีเดียว
ตลาดสินค้าเล็กสะพานเหรินหมินของเผิงเฉิงโด่งดังมากเหล่าเถ้าแก่มากมายในอนาคตพากันเสี่ยงโชคสร้างตัวที่เผิงเฉิงล้วนตั้งร้านค้าในตลาดสินค้าเล็กสะพานเหรินหมินจนได้ทองถังแรกไปถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานจำไม่ผิด ตลาดสินค้าเล็กของสะพานเหรินหมินเป็ที่นิยมไปจนถึงกลางยุค 90 ภายในเวลาอันยาวนานเป็ระยะเวลาหนึ่ง ที่นั่นไม่เพียงแต่เป็สถานที่ที่นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนเผิงเฉิงต้องเดินเที่ยวอีกทั้งเป็เส้นทางหลักในการหมุนเวียนสินค้าของกิจการมากมายในเขตจูซานเจี่ยวและเขตเยว่ตง
แน่นอน ตอนนี้ยังอยู่ต้นปี 84 ตลาดสินค้าเล็กอาจเพิ่งเฟื่องฟูได้ไม่นานนัก
“พี่ไป๋ พี่ทำร้านถาวรสักแห่งจะดีกว่านะ”
ไป๋เจินจูเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ทุกครั้งที่ฉันไปช้าก็จะไม่มีที่ตั้งแผงหากมีร้านถาวรสักแห่งคงสะดวกขึ้นมาก”
ไป๋เจินจูหมายถึงที่ตั้งแผงเป็หลักแหล่งแต่เซี่ยเสี่ยวหลานหมายถึงหน้าร้าน ทั้งสองคนคือไก่สนทนากับเป็ด [2] ทว่ายังคุยกันอย่างออกรส ลุล่วงสู่ความสามัคคีอันแสนพิศวง
คังเหว่ยและพานซานคุยกันที่หน้าประตูนานสองนานพอเข้ามาก็ได้ยินเื่แผงสินค้าพอดิบพอดี คังเหว่ยจึงเกิดความสนใจขึ้นมาทันที “พี่สะใภ้ พี่ว่าเงินในมือฉันทำอะไรได้บ้างเล่า?”
เชิงอรรถ
[1]波罗乃兹 รถโปโลเนซ คือ รถยนต์รุ่นโปโลเนซ จากบริษัทรถ FSO ของประเทศโปแลนด์
[2]鸡同鸭讲 ไก่สนทนากับเป็ด หมายถึง สนทนากันโดยที่ไม่เข้าใจอีกฝ่าย
