“ดูเหมือนว่าข้าจะโชคดีมาก” หลินลี่ยิ้มและเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง ก่อนจะมาหยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามของหลินเฟิง
หลินเฟิงยังคงแสดงสีหน้าเฉยชา เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของหลินลี่ โชคดีหรือ? บางทีหลังจากนี้หลินลี่อาจจะไม่คิดแบบนั้นก็ได้
แต่ดูเหมือนโชคของหลินเฟิงจะดีมาก รอบแรกหลินเชียนก็ทำให้เขาผ่านเข้ารอบ ในรอบที่สองคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหลินยู่ก็ขอยอมแพ้ หลินเฟิงยังไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงฝีมือออกมาเลย พอมาถึงรอบนี้เขาก็ได้เจอกับหลินลี่ ผู้เข้ารอบที่อ่อนแอที่สุด
“บางทีผู้าุโหกอาจจะจงใจทำแบบนี้” หลินเฟิงคิดในใจ
“เ้าโจมตีก่อนเถอะ” หลินลี่กล่าวออกมาด้วยท่าทางห้าวหาญและจิตใจที่ฮึกเหิม
“ได้” หลินเฟิงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมา
“เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวดั่งเงา คลื่น์เก้ากระแทก” จบประโยค หลินเฟิงก็พุ่งไปที่ด้านข้างของเขา แต่หลินลี่ก็ยังคงยิ้มอย่างสบายใจอยู่
ขณะที่คลื่นพลังรุนแรงถูกปล่อยออกไป ก็ส่งเสียงดังกึกก้องอย่างน่ากลัวขึ้นมา ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็ตื่นตระหนกทันที หลินลี่คิดจะต้านทานคลื่นพลังนั่น แต่ทว่าสายไปแล้ว!!!
“ตูม”
“ไสหัวไปซะ”
ร่างของหลินลี่ปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดเป็พิเศษ แค่หมัดเดียวเขาก็ไม่สามารถรับได้ นี่เขายังคิดว่าตัวเองโชคดีอยู่อีกไหม?
“ดูเหมือนว่าทุกคนจะดูหลินเฟิงผิดไป” มีเพียงแค่หลินเฟิงเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองควบคุมพลังโจมตีได้สมบูรณ์แบบมากแค่ไหน อาจจะดูเหมือนว่าคลื่น์เก้ากระแทกมันธรรมดา แต่สำหรับหลินลี่แล้วเขากลับรู้สึกว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางคลื่นมหาสมุทรอันบ้าคลั่งอย่างโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งหนทางหลบหนี ทำได้แค่รอเวลาถูกคลื่นั์กลืนกินร่างเท่านั้น
และที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าร่างกายได้รับาเ็สักนิด สามารถพูดได้ว่าหลินเฟิงควบคุมพลังได้สมบูรณ์แบบ
“ไอ้ขยะ หรือว่านี่เป็พร์?” ั์ตาของหลินลี่นั้นไม่มีความเกลียดชัง ลึกเข้าไปในดวงตาของเขานั้น กลับมีความเคารพและความกลัวยามที่มองไปยังหลินเฟิง เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายยั้งมือให้
“หลินเฟิงเป็ผู้ชนะ” ผู้าุโหกประกาศขึ้นมาด้วยท่าทางสงบนิ่ง ฝูงชนต่างพากันถอนหายใจออกมา เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถทำให้หลินลี่ ที่อยู่ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 พ่ายแพ้อย่างง่ายดายได้
ระดับการบ่มเพาะของเ้าหมอนี่ อยู่ในขอบเขตไหนกันแน่นะ?
จู่ๆ ฝูงชนก็รู้สึกว่าไอ้ขยะในสายตาของพวกเขาได้กลายเป็คนลึกลับขึ้นมา จนพวกเขาไม่สามารถเข้าใจในตัวของมันได้
“โจมตีทีเผลอ ขยะก็ยังคงเป็ขยะอยู่วันยังค่ำ ดีแต่ใช้เทคนิคสกปรกๆ พวกนั้น” หลินอู๋กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม เมื่อฝูงชนได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเหยียดหยามของหลินอู๋ ก็พากันคล้อยตามทันที
“ใช่เลย! หลินเฟิงต้องโจมตีหลินลี่ตอนทีเผลอแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะทำให้หลินลี่พ่ายแพ้อย่างง่ายดายแบบนี้ได้อย่างไร?” บางคนเมื่อได้ยินคำพูดของหลินอู๋ ผู้ที่คิดว่าตัวเองเข้าใจความจริงทุกอย่าง ก็พากันก่นด่าหลินเฟิงอยู่ในใจ
แต่หลินเฟิงก็ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร เขาเดินไปข้างๆ เวทีประลองอย่างเงียบๆ ขยะ? โจมตีทีเผลอ? แล้วคนเหล่านี้จะต้องเสียใจ
การต่อสู้ในรอบที่สี่ หลินอู๋พบหลินเหิน
เมื่อมองไปยังทั้งสองคนที่อยู่บนเวทีประลอง แววตาของหลินเฟิงก็เปล่งประกายขึ้นมา ในรอบก่อนหน้านี้หลินอู๋และหลินเหินได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่สุดท้ายแล้วเมื่อใกล้จะถึงเวลาต่อสู้ หลินเหินกลับขอยอมแพ้ แต่มารอบนี้หลินอู๋กับหลินเหินก็ได้มาพบกันอีกครั้ง หรือว่าผู้าุโหกอยากให้เป็เช่นนี้?
“ต้องสู้ไหม?” หลินอู๋ส่งสายตายั่วยุไปให้หลินเหิน เขาคิดว่าหลินเหินเป็พวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา
“ไม่ต้องหรอก” หลินเหินกล่าวขณะส่ายหัว
“ไอ้ขี้ขลาด”
“ช่างขายหน้าตระกูลหลินยิ่งนัก”
หลายๆ คนเริ่มด่าขึ้นมา ในรอบที่แล้วแม้หลินเหินจะขอยอมแพ้และผ่านเข้ารอบมาได้ พวกเขายังพอให้อภัย เพราะหลินเหินมีคุณสมบัติพอที่จะผ่านเข้ามาในรอบนี้ได้ แต่รอบนี้เป็การประลองแบบแพ้แล้วคัดออก หากหลินเหินไม่สู้และขอถอนตัวอีกครั้ง นับได้ว่าสร้างความอับอายให้กับตระกูลหลินเป็อย่างมาก
“ไอ้ขี้ขลาด ถ้าเ้าไม่สู้ก็ไสหัวลงไปซะ” หลินอู๋นึกว่าหลินเหินจะขอยอมแพ้อีกรอบ จึงพูดดูถูกออกมา
หลินเหินมองหน้าหลินอู๋นิ่งๆ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเดิน ทว่าเขาไม่ได้เดินถอยหลัง แต่กลับเดินมุ่งหน้าไปหาหลินอู๋แทน
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเ้าไม่ไสหัวไป ผลที่ตามมาเ้าต้องรับผิดชอบเอง” หลินเหินเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เ็า ขณะที่เดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นหลินเหินก็ปลดปล่อยกลิ่นอายที่บ้าคลั่งออกมาจากร่าง ใช่ บ้าคลั่ง และเป็ความบ้าคลั่งที่แข็งแกร่งอีกด้วย
“สาม” หลินเหินเริ่มนับ
ตอนนี้เองร่างของหลินอู๋ก็สั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขามองไปที่หลินเหินด้วยสายตาหวาดกลัว ราวกับว่าได้เห็นยมทูตกำลังย่างกรายมาหาตัวเอง
“ได้ยังไง? เป็ไปได้ยังไง?” หลินอู๋กล่าวขณะส่ายหัวอย่างบ้าคลั่ง “ทำไมเ้าถึงมีพลังของผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาได้ล่ะ?”
ไม่ใช่แค่เขาที่ใ ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน ขอบเขตแห่งจิติญญา พลังที่แข็งแกร่งนี้เป็ของขอบเขตแห่งจิติญญาจริงๆ ด้วย เขาจงใจซุกซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้ นี่มันเหมือนกับดาบที่อยู่ในฝัก ที่พอชักออกมาก็สร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคน
ขอบเขตแห่งจิติญญา นอกจากหลินเชียนแล้ว เด็กหนุ่มของตระกูลหลินก็คงมีแค่หลินเหินเท่านั้น เขากับหลินเชียนเป็รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลหลิน นี่เป็ยุคที่รุ่งโรจน์ของตระกูล!!!
ผู้าุโหกรู้สึกว่ามีความสุข บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสามารถในการปิดบังระดับการบ่มเพาะทักษะยุทธ์และลมปราณของหลินเหินแข็งแกร่งมาก ถ้าเขาไม่คิดที่จะเปิดเผยระดับการบ่มเพาะของตัวเองออกมา คนอื่นก็ยากที่จะรู้ว่าเขาได้ทะลวงไปถึงขอบเขตแห่งจิติญญาแล้ว
“ซ่อนได้ลึกมาก” หลินป้าต้าวและคนอื่นๆ กล่าวในใจขณะที่มองไปยังผู้าุโหก เขาวางแผนได้อย่างไร้ที่ติจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามมันยังเทียบกับแผนของพวกเขาไม่ได้
“เ้านี่รู้สถานการณ์ดีจริงๆ” หลินป้าต้าวกล่าวขณะที่มองไปยังผู้าุโหกอย่างยิ้มเยาะ เมื่องานชุมนุมในปีนี้สิ้นสุดลง เขาก็จะยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลมา ในใจของหลินป้าต้าวนั้นไม่พอใจบิดามาตั้งนานแล้ว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม ก่อนที่ท่านจะตายถึงได้ยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้กับหลินไห่ที่เป็น้องรองของเขา แต่ไม่ใช่เขา หลินป้าต้าวผู้นี้!!! ในตอนที่น้องรองยังหนุ่มๆ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นอกตระกูลหลิน ในขณะที่เขาเป็เสาหลักของตระกูล คอยทุ่มเททุกอย่างและสร้างคุณงามความดีให้กับตระกูลหลินมากมาย ทั้งๆ ที่เป็แบบนั้น แล้วทำไม…
ตำแหน่งผู้นำตระกูล เป็ปมในใจของหลินป้าต้าวมาโดยตลอด
“สอง” ทุกย่างก้าวที่หลินเหินเดินไปหาหลินอู๋ ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ลมปราณที่น่าเกรงขามนั่นได้กดดันหลินอู๋จนแทบหายใจไม่ออก น่ากลัวเกินไปแล้ว ความภาคภูมิใจของหลินอู๋ในตอนนี้ถูกทำลายจนย่อยยับ
ทุกคนล้วนคิดว่าหลินอู๋เป็ผู้ฝึกยุทธ์ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 แต่จริงๆ แล้ว เขาได้บรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เมื่อไม่นานมานี้ งานชุมนุมประจำปีในครั้งนี้ เขาคิดว่าจะสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนสักหน่อย แต่จินตนาการที่วาดหวังไว้คงไม่มีวันเป็จริง ไม่ทันที่เขาจะได้แสดงพร์ของตัวเองออกมาให้ทุกคนดู หลินเหินก็ใช้พลังอำนาจที่แข็งแกร่งมาข่มเขาเสียก่อน อย่างที่หลินเหินพูด หากตนไม่รีบลงไป เกรงว่าผลที่ตามมา เขาต้องรับผิดชอบเอง!
“เวลาที่เ้าดูถูกคนอื่น ควรไตร่ตรองความแข็งแกร่งของตัวเองให้ดี ที่ข้าไม่ยอมสู้กับเ้า ไม่ใช่ว่าข้าสู้ไม่ได้ เพียงแค่ไม่อยากลดตัวลงไปสู้กับเ้าเท่านั้นเอง” หลินเหินดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็คนละคน พลังของเขาแข็งแกร่งจนถึงขีดสุดและพร้อมที่จะบดขยี้ทุกอย่างที่ขวางหน้า “หนึ่ง”
“ข้ายอมแพ้” หลินอู๋รู้สึกได้ถึงลมปราณที่แข็งแกร่งของหลินเหินกำลังกดทับมาที่ร่างของตัวเอง เขากัดฟันพูดประโยคนั้นออกมา และหมุนตัวเดินลงจากเวทีประลองโดยไม่หันกลับมามอง
“หลินเหิน ช่างร้ายกาจยิ่งนัก” ในสายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความเทิดทูน ขอบเขตแห่งจิติญญาเป็ความใฝ่ฝันของรุ่นเยาว์ทุกคน ถ้าได้บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาก่อนอายุ 20 ปี พวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้ก้าวขึ้นไปในขอบเขตที่สูงขึ้นอย่างขอบเขตลี้ลับ หรือแม้กระทั่งขอบเขต์ในตำนาน!
“น่าสนใจ” หลินเฟิงหัวเราะออกมาเบาๆ หลินเหินได้บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาแล้ว เป็อย่างที่คิดไว้เลยว่าผู้าุโหกตั้งใจจะทำแบบนี้ รอบที่แล้วหลินเหินขอยอมแพ้หลินอู๋ และถูกอีกฝ่ายดูแคลนมากมายดังนั้นเขาจึง้าให้หลินเหินได้พบกับหลินอู๋อีกครั้ง เพื่อที่จะได้คืนความอัปยศให้กับเขา
“ไอ้ขยะ เ้ามีสิทธิ์อะไรมาหัวเราะเยาะ ไอ้ตัวอัปรีย์ของตระกูล!!!” พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเฟิง สีหน้าของหลินอู๋ก็ดูดุร้ายขึ้นมา ก่อนจะตะคอกใส่หลินเฟิงอย่างโมโห เสียงตะคอกของเขาดังก้องไปทั่วลานฝึก
เมื่อเห็นหลินอู๋ตะคอกใส่หลินเฟิง หลายๆ คนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา โดยเฉพาะหลินป้าต้าว เขารีบเหน็บแนมออกมาว่า
“หลินอู๋พ่ายแพ้ให้กับหลินเหิน เพราะว่าอีกฝ่ายเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญา แต่คาดไม่ถึงว่าขยะบางคนจะกล้าหยิ่งยโสใส่คนอื่นด้วย เป็ตัวอัปรีย์จริงๆ น่ะแหละ”
เมื่อผู้าุโเจ็ดได้ยินคำพูดของหลินป้าต้าว สีหน้าจึงดูดีเป็อย่างมากและกล่าวอย่างเ็าว่า “เ้าขยะนี่ไม่รู้จักประมาณตนเสียจริง”
หลินไห่ที่อยู่ไม่ไกลนั้น ดวงตาก็ทอประกายเย็นะเืออกมา
หลินเฟิงมึนงงไปชั่วขณะ คาดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่หลินอู๋โดนหลินเหินดูแคลน ก็มาหาเื่ตัวเองทันที นี่คิดว่าเขาสามารถรังแกกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
“มองอะไร!!! ไอ้ขยะที่ดีแต่จะพึ่งพาบิดาอย่างเ้า ยังมีหน้ามาหัวเราะคนอื่นอีกเหรอ? หรือว่าเ้าอยากสู้กับข้า?” ตอนแรกในใจของหลินอู๋เต็มไปด้วยโทสะที่หาที่ระบายไม่ได้ แต่เมื่อเห็นหลินเฟิงก็พลันนึกเื่ดีๆ ออก
“นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นตัวตลกอย่างเ้า ไม่มีปัญญาจะจัดการกับคนที่ดูถูกตัวเอง ก็มาหาเื่อาละวาดใส่คนอื่น?”
หลินเฟิงส่ายหัวและเดินตรงไปหาหลินอู๋
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเ้าไม่กลิ้งลงไปจากเวทีประลอง ผลที่ตามมาเ้าต้องรับผิดชอบเอง”
หลินเฟิงเลียนแบบคำพูดของหลินเหิงก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นทั่วทั้งลานฝึกก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงแค่เสียงฝีเท้าของหลินเฟิงที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้