บทที่ 36 วิชาทดแทนสิบสอง
วิชาทดแทนสิบสองชุดนี้ของลู่อวี่ดูเหมือนจะธรรมดายิ่งนัก ความจริงแล้วทุกกระบวนท่าล้วนแอบแฝงไปด้วยความเร้นลับ สลับซับซ้อนยากที่จะคาดเดาได้ เพราะเมื่อพลังยุทธ์ถึงขั้นเกิดเทพเ้าแล้ว สิ่งที่ต้องััอย่างไม่อาจเลี่ยงคือกฎแห่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์เทพเ้า
กฎแห่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์มีนับพันกฎ แต่หากสามารถรู้และเข้าใจได้สักหนึ่งประเภท ก็สามารถก้าวหน้าไปได้อีกขั้น แต่ลู่อวี่กลับรู้และเข้าใจถึงสิบห้าประเภท นอกจากกฎแห่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองของวิชาทดแทนสิบสองแล้ว ยังมีกฎแห่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์สามประการ ไฟ น้ำ และไม้ อันเป็กฎเกณฑ์พื้นฐานของสัจธรรมง่ายต่อการเข้าใจที่สุด แต่ก็ยากที่สุดที่จะเชี่ยวชาญ แม้แต่ลู่อวี่ในชาติก่อนก็เข้าใจเพียงผิวเผินเท่านั้น
ดังนั้นทันทีที่ใช้กระบวนท่า “เจิ้นฝ่า” ในเวลานี้โซ่เมฆาอัคคีจากไฟแท้หนิงคงที่เลื้อยลดคดเคี้ยวไปมาก็พลันหยุดนิ่ง ขณะเดียวกันความหนาวเหน็บที่ทำให้โลกแข็งตัวก็ะเิออกมาพร้อมกับแรงสั่นะเื ลมชั่วร้ายสีดำจำนวนมหาศาลพลันแข็งตัวทันทีที่เข้ามาใกล้ และสุดท้ายก็สลายหายไปพร้อมกับพลังสั่นะเืนั้น
“เอ๊ะ นี่มันไฟแท้หนิงคงไม่ใช่หรือ? เหตุใดพลังถึงอ่อนแอนัก? หรือว่าข้าจำผิดไป?” ชายชราชุดดำเห็นว่าลมมืดที่โชยมาจากนรกที่ตนเองปล่อยออกมานั้นถูกกำจัด และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การถูกเผา แต่จริงๆ แล้วดับสูญไปเพราะถูกแช่แข็ง
นอกเหนือจากไฟแท้หนิงคงและไฟแท้ิญญาน้ำแข็งแล้ว เขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าในความเป็จริงแล้วนั้นจะมีเปลวไฟใดที่มีพลังถึงเพียงนี้? แต่ไฟแท้ิญญาน้ำแข็งเป็สีขาวบริสุทธิ์ และไฟแท้หนิงคงเป็สีน้ำเงิน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือไฟแท้หนิงคง แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดพลังของมันถึงอ่อนแอยิ่งนัก
สำหรับไฟมหัศจรรย์ทั้งสองแล้วเขาเคยได้ยินมาจึงพอรู้ แต่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดังนั้นจึงยังไม่คุ้นชิน แต่เป็เช่นนี้ก็ดี หากจับตัวเ้าหนุ่มนี่มาแล้วบีบบังคับถามถึงที่มาที่ไปของไฟนี้ได้ ย่อมเป็เื่ดีไม่น้อย
ในเวลานี้เองชายชราในชุดสีดำก็พบว่าลมมืดที่โชยมาจากนรกของตนเองถูกโซ่เมฆาอัคคีจากไฟแท้หนิงคงของลู่อวี่สกัดกั้นไว้ แต่กลับไม่มีอาการตื่นตระหนก แล้วจึงประสานนิ้วร่ายคาถาอีกครั้ง จากนั้นกลุ่มก้อนลมสีดำมหาศาลก็มารวมตัวกันพร้อมกับเสียงดัง “วี้ดๆ” แปลกๆ และทันใดนั้นมันก็กลายร่างเป็ัลมสีดำตัวหนึ่ง มันแยกเขี้ยวพร้อมกางกรงเล็บออกมา คำรามและพุ่งเข้าใส่ เพราะคิดว่ายืดเวลาออกไปไม่ได้อีกแล้ว จึงระดมพลังยุทธ์ที่มีอยู่ทั้งหมดเรียกใช้งานธงนรกหยินเฟิงในมือ พร้อมทั้งปล่อยัลมสีดำห้าตัวพุ่งเข้าโจมตีติดต่อกัน
ลู่อวี่ยังคงสีหน้าเคร่งขรึมไว้ แต่จู่ๆ โซ่เมฆาอัคคีก็สั่นไหวและหดตัวอย่างรุนแรง เข้าโอบล้อมกายเ้าของพลังและคนอื่นๆ ไว้รอบทิศทาง ในเวลาเดียวกัน วิถีการประสานนิ้วร่ายคาถาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ฉับพลันโซ่เมฆาอัคคีที่โอบล้อมอยู่ด้านนอกอยู่ก็กระจายตัวออก และกลายร่างเป็เปลวไฟสีน้ำเงินสว่างจ้า พลังงานเยือกแข็งที่เย็นสุดขั้วพลันะเิกระจายตัวออกมาอย่างรุนแรง ทำให้ัลมสีดำทั้งหกแข็งตัวทันทีที่เข้าโจมตี แม้ว่าจะไม่มีพลังแช่แข็งทำลาย แต่ก็พอทำให้หยุดหายใจไปได้สักสาม่ลมหายใจ
แม้ว่ามันจะคงอยู่เพียงสาม่ลมหายใจ แต่วิธีการต่อสู้ของนักพรตนั้นกลับเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา หนึ่งลมหายใจก็สามารถกำหนดผลลัพธ์ได้ กระนั้นแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงสามลมหายใจ?
ไม่นานก็เห็นเพียงเปลวไฟสีน้ำเงินที่ะเิขึ้นอย่างรุนแรงและแตกกระจายออกเป็เสี่ยงๆ เมื่อครู่ มันกลับมารวมตัวกันอีกครั้งก่อนจะสลายหายไปกลายร่างเป็ลูกไฟสีน้ำเงินที่มีขนาดเท่ากำปั้น และมีเสียงะเิปะทุอยู่ภายใน จากนั้นพลังที่เหมือนสายฟ้าสีน้ำเงินน้ำแข็งจำนวนมากก็มารวมตัวกัน และเกือบจะทันทีที่มันกลายเป็ลูกไฟแสง เ้าลูกไฟแสงนี้พลันพุ่งตัวบินเข้าไปในหมอกหนาทึบด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
หากมีใครสามารถมองผ่านหมอกหนาทึบด้วยจิตััได้ ก็จะพบว่าลูกไฟแสงที่กำลังบินนั้น มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และในที่สุดก็หดตัวลงเหลือเพียงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเท่านั้น ทั้งยังโปร่งแสงจนมองทะลุผ่านได้
“น้ำแข็งตัดสายฟ้าหรือ? ไม่สิ ไม่ใช่ว่านี่คือ หนิงคงตัดสายฟ้าหรือ? สหายน้อยเข้าใจและเชี่ยวชาญเคล็ดวิชานี้ แม้แต่ข้ายังรู้สึกด้อยกว่า!” ตู้เสวียนเฉิงที่คอยดูแลอยู่ด้านข้างยากที่จะเก็บซ่อนความใ จึงร้องอุทานออกมา เขาที่มีชีวิตอยู่มานับพันปี และเป็นักพรตที่มีพลังยุทธ์สูงส่งจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการเปลี่ยนแปลงพลังเวทอย่างรวดเร็วเช่นนี้ยากเพียงใด สิ่งนี้ไม่ถือว่าเป็ความแตกต่างของพลังยุทธ์และพลังเวทแต่อย่างใด ทว่าเป็ช่องว่างของขั้นพลังยุทธ์และการควบคุมพลัง หากไม่มีความเฉลียวฉลาดและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง แม้ต้องใช้เวลามากเพียงใดก็นับว่าไร้ประโยชน์
หากพูดแล้วเื่คงจะยาว เป็เพราะความจริงแล้ว ไฟแท้หนิงคงที่หดตัวและกระจายออกไป หรือที่เรียกว่าลูกไฟแสง มันใช้เวลาหดตัวเป็ลูกไฟแสงที่มีขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่มือเพียงแค่ลมหายใจเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันที่ตู้เสวียนเฉิงจะพูดจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงะเิดังออกมาจากหมอกหนาทึบ เสียงที่รุนแรงนั้นทำเอาม่านหมอกกระจายออกไปรอบทิศทาง ค่ายกลเทพมายาก็พลันแตกพ่ายด้วยตัวของมันเอง ปรากฏให้เห็นชายชราผู้มีดวงตาเฉี่ยวคมคล้ายกับนกอินทรี คนผู้นั้นสวมชุดดำอยู่ภายในค่ายกลที่สลายหายไป
แต่เวลานี้ ใบหน้าของชายชรากลับซีดเซียว มุมปากมีเืไหล เสื้อผ้าที่สวมใส่ราวกับขอทาน หากไม่ใช่เพราะพลังยุทธ์ของเขาที่แข็งแกร่งกว่าลู่อวี่ไปถึงสองขั้น มีหรือเวลานี้จะยังมีเรี่ยวแรงหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ! แต่ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้างราวกับกำลังใที่ถูกโจมตีเมื่อครู่นี้ และจ้องมองลู่อวี่กับคนอื่นๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยความใระคนสงสัย
“ฮ่าฮ่า” ผู้เฒ่าตู้สายตาแหลมคมยิ่งนัก สายฟ้านี้เรียกว่า ‘อัสนีน้ำแข็งเจวี๋ยคง’ มีพลังมากกว่าอัสนีน้ำแข็งเจวี๋ยอย่างน้อยก็หลายเท่าตัว น่าเสียดายที่พลังยุทธ์ของตนไม่ถึง มิเช่นนั้นคงเพียงพอให้เอาชีวิตของชายชราผู้นี้ได้ครึ่งหนึ่ง” คงไม่แค่กระอักเืออกมาสองสามครั้งแน่? ใบหน้าของลู่อวี่ซีดเซียวเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกสะใจยิ่งนัก จึงยิ้มออกมาและอธิบายให้ตู้เสวียนเฉิงฟังคร่าวๆ
แต่จิตสังหารเมื่อสักครู่นี้ยังไม่ถูกระบายออกไป ชายชราชุดดำก็รู้สึกได้ถึงความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งตกอยู่ภายในใจ ยิ่งเห็นชายชราในชุดสีน้ำตาลด้านหลังนายน้อยตระกูลลู่มองมาที่เขาด้วยสายตาเ็า คิดไม่ถึงว่าเพียงพลังนี้จะทำให้ตนไม่สามารถขยับได้ นี่คือพลังยุทธ์ขั้นใดกัน? กำเนิดเทพเ้า! ต้องเป็ขั้นกำเนิดเทพเ้าแน่นอน!
ดวงตาของชายชราชุดดำเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ ทั้งรู้สึกสาปแช่งอยู่ในใจ นายน้อยของตระกูลลู่นับว่าวิกลจริตหาใครเทียบได้ แต่ยังมีจอมเทพไท่เสวียนมาคอยปกป้องอยู่ข้างกายอีก ไม่นับว่าเป็การโกงกันได้หรือ ใครมันกล้าพูดกว่านายน้อยตระกูลลู่เป็คนไร้ค่า? ใครกล้าพูดว่าตระกูลลู่ตกต่ำ? ให้ตายเถอะ เขาแสร้งเป็หมูหลอกกินเสือชัดๆ!
น่าสงสารจริงเชียว เพียงเพื่อยาอายุวัฒนะเม็ดเดียว เพียง้าเพิ่มขั้นพลังยุทธ์ และมีอายุยืนยาวยิ่งขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะเตะโดนตอใหญ่เข้าเสียแล้ว
หากรู้ก่อนหน้านี้ว่าข้างกายลู่อวี่มีจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีพลังขั้นเกิดเทพเ้าอันน่าเคารพอยู่ข้างกาย ต่อให้มอบพลังความกล้าหาญมาให้เขาเป็ร้อย ก็ไม่มีทางกล้ามาหาเื่แน่!
ตู้เสวียนเฉิงชำเลืองมองลู่อวี่ด้วยสายตาราวกับกำลังตั้งคำถาม แม้ว่าคนผู้นี้จะน่าเกลียดชัง แต่ดูออกไม่ยากว่าต้องเป็นักพรตสันโดษแน่นอน และยังเป็อาจารย์ค่ายกลกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดในบรรดานักพรตสันโดษ มิเช่นนั้น หากเป็คนที่มีที่มาที่ไป ฝีไม้ลายมือที่แสดงออกมา รับรองว่าต้องไม่ใช่มือใหม่ที่มีพลังยุทธ์ขั้นพลังจิตที่ลู่อวี่ผู้นี้จะต้านทานได้
แต่คนเช่นนี้สามารถฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ได้ในยามนี้ นับว่าต้องฝ่าฟันอุปสรรคมาอย่างยิ่งยวด เขาสามารถเข้าใจความยากลำบากและอุปสรรคที่ผู้คนเหล่านี้ต้องเผชิญมาระหว่างทางได้เป็อย่างดี หากไม่มีคนคอยชี้แนะแนวทางให้ ไม่มีเคล็ดวิชาลับหรืออาวุธวิเศษ และไม่มีทรัพยากรหรือยาอายุวัฒนะ ไม่ว่าใครก็ตามที่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีทางอ่อนแอไปกว่าพวกที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะผู้หาที่เปรียบมิได้เ่าั้
ลู่อวี่ คิดไตร่ตรองดูแล้ว เดิมทีวางแผนว่าหากในอนาคตมีเวลาจะฝึกฝนศาสตร์ฝึกตนทั้งหกประเภท และศาสตร์อื่นๆ อีกสักหน่อย ขณะที่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่นั้น ก็้าจะทำให้ได้อย่างที่ใจปรารถนา และแม้ว่าชายชราผู้นี้จะมีเจตนาชั่วร้าย แต่ก็ถือว่ามีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทั้งพลังยุทธ์ก็ไม่นับว่าอ่อนแอ หากฆ่าทิ้งก็น่าเสียดาย ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “หยุดก่อน มาดูกันอีกครั้งหนึ่ง หากนิสัยใจคอผ่าน ไม่มีการกระทำเลวร้าย ก็ให้มาทำงานชดใช้ความผิดที่ทำต่อข้าในวันนี้เป็เวลาร้อยปี!”
ตู้เสวียนเฉิงพยักหน้าและยิ้ม ทันทีที่สะบัดมือออก ชายชราชุดดำก็ลอยตัวปลิว ถูกส่งตัวไปอยู่ข้างคนอื่นๆ ราวกับเด็กทารกด้วยพลังที่มองไม่เห็น
เขาได้ยินสิ่งที่ลู่อวี่และตู้เสวียนเฉิงพูดคุยกันเมื่อสักครู่นี้ หากเป็คนอื่น เขายอมตายดีกว่ายอมจำนน แต่ในเวลานี้ ถือเป็โอกาสที่ฟ้าประทานให้ได้มาอยู่ข้างกายของคนผู้หนึ่ง ทั้งจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้า ไหนจะคนปรุงโอสถขั้นห้า การทำงานทำงานชดใช้ความผิดนี้ ไม่นับว่าอยู่ในสายตา แต่กลับรู้สึกว่ามันสั้นเกินไปที่จะให้เขาทำงานเปล่าๆ ให้เพียงร้อยปีเท่านั้น แต่คงดีกว่าการไปทำงานเปล่าๆ กับผู้อื่นตลอดชีวิต หากเป็เช่นนี้ไม่แน่ในภายภาคหน้า เขาอาจจะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งก็เป็ได้
แต่เห็นได้ชัดว่าตู้เสวียนเฉิงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดโต้กลับ หลังจากดึงตัวเขากลับมาก็ตีตราพันธนาการแล้วจึงสะบัดแขนเสื้อออกเก็บเขาเข้าไป ดวงตาของลู่อวี่พลันเบิกกว้าง รีบเอ่ยปากถามอย่างร้อนรน “นี่คือพลังวิเศษของแขนเสื้อเฉียนคุนใช่หรือไม่? มันสามารถกักขังมนุษย์ได้ด้วยหรือ?”
ตู้เสวียนเฉิงพูดด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แขนเสื้อเฉียนคุนเป็พลังวิเศษติดตัวของซางกู่จินเซียน ข้าจะใช้ได้อย่างไร นี่เป็เพียงพลังวิเศษเล็กๆ ที่เลียนแบบและสร้างขึ้นโดยคนรุ่นหลัง มันถูกเรียกว่า ‘ปลอกเฉียนคุน’ แต่ต้องมีพลังยุทธ์ขั้นเกิดเทพเ้าถึงจะฝึกฝนได้ จะมีพื้นที่อิสระเล็กๆ ภายในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้เก็บสิ่งของและดักจับศัตรูได้ แต่หาก้าดักจับศัตรู ต้องรู้จักวิธีควบคุมศัตรูให้ได้ก่อน เช่นนั้นเมื่อเทียบกับแขนเสื้อเฉียนคุนของจริงแล้ว นับว่าแตกต่างกันยิ่งนัก!”
ลู่อวี่ค่อนข้างจะผิดหวัง แต่ก็รู้ว่าเื่นี้อย่างไรก็เป็ไปไม่ได้ จึงทำเพียงกวักมือและะโเรียกคนอื่นๆ เข้ามาในกระสวยสีเงิน และเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
บนยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากจุดที่ลู่อวี่และคนอื่นๆ อยู่ประมาณหนึ่งพันลี้ได้ ตรงพื้นที่ที่แยกออกจากค่ายกลกระบี่ มีนักพรตสี่รูปที่มีรูปลักษณ์ต่างกันยืนมองอยู่อย่างเงียบเชียบ
ชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวลูบคางด้วยสีหน้ามีความสุขและพูดว่า “โชคดียิ่งนักที่ผู้รอบรู้เสวียนกู่ฉลาดและมีไหวพริบ หากเราทำอะไรบุ่มบ่ามลงไป คงจะถูกกักขังเหมือนสหายนักพรต ‘เฉินเสวียน’ แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยของตระกูลลู่ผู้นี้ จะมีจอมเทพขั้นกำเนิดเทพเ้าที่เป็ถึงยอดฝีมือคุ้มครองด้วย ไหนว่าตระกูลลู่ตกต่ำ แล้วจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าผู้นี้เป็ใครกันเล่า?” เมื่อพูดจบก็ตวัดสายตามองนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าที่อยู่ข้างกาย
ใบหน้าของนักพรตเฒ่า ‘ผู้รอบรู้เสวียนกู่’ ไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะไม่บุ่มบ่ามลงมือ และรอดพ้นจากอันตรายจากการถูกจับขัง แต่ยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาวที่เขาวางแผนไว้ก็มลายหายไปเช่นกัน
เมื่อมีจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าคุ้มครองอยู่ อย่าว่าแต่นักพรตสันโดษขั้นตงซวนอย่างพวกเขาไม่กี่คนตรงนี้ ต่อให้ขนมาเป็แปดเก้าคนก็คงถูกกำราบโดยง่าย เมื่อได้ยินคำถามจากชายวัยกลางคนในชุดขาว ก็ยิ้มเยาะและพูดว่า “นั่นคือจอมเทพไท่เสวียนตู้เสวียนเฉิง เมื่อหลายร้อยปีก่อนก็คือผู้าุโผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีพลังยุทธ์ขั้นหวนสู่สัจธรรมแล้ว แต่ได้ยินว่าเขาได้รับาเ็สาหัสในซากปรักหักพังโบราณแห่งหนึ่ง แล้วก็หายตัวไปไม่มีใครพบเห็น เป็เวลากว่าร้อยปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ที่ตระกูลลู่ และมีระดับขั้นพลังยุทธ์เพียงขั้นเกิดเทพเ้า แต่ก่อนจะมารวมตัวกันเช่นนี้ ก็มีข่าวลือมาจากเมืองเทียนตูเซียนว่า อาการาเ็ของจอมเทพไท่เสวียนเพิ่งจะหายขาด เช่นนั้นแล้วพลังยุทธ์จึงยังไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์เมื่อครู่ ส่งคนเข้าไปสู้กี่คนก็เหมือนไปตาย!”
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็เทพไท่เสวียน?” เช่นนั้นแล้วจะยังมีใครกล้าแตะต้องลู่อวี่ผู้นี้แม้แต่ปลายขนอีก แม้แต่ตระกูลลู่ก็ได้รับผลพลอยได้ไปด้วยเพราะเหตุนี้ ไหนจะผู้เฒ่าสูงสุด ‘ลู่ไท่ชัง’ ยอดฝีมือ่ต้นขั้นพลังยุทธ์เกิดเทพเ้าผู้นั้นอีก สถานะของตระกูลลู่ในเทียนตูคงผงาดสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน! เป็เช่นนี้คงจัดการได้ยากยิ่งแล้ว”