ในยามนั้นซวี่เฉินฟางนอนแผ่หลานิ่งอยู่บนเก้าอี้เอน คร้านแม้แต่จะขยับตัว เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะสองหนพร้อมเหลือบมองอินเหิง “เกรงว่าเ้าไม่ได้เสียดายเื่นี้กระมัง”
อินเหิงมองตอบเขาแล้วเอ่ย “มิเช่นนั้นข้าจะเสียดายเื่ใดได้อีกเล่า?”
เมิ่งอู่นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชายคา หรี่ตาก่อนเอ่ย “ซวี่เฉินฟาง นี่ก็คือสิ่งที่เ้าเรียกว่าเจตจำนงของ์หรือ?”
รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีผู้ใดตอบรับนาง เมิ่งอู่หันไปมอง พบว่าซวี่เฉินฟางนอนหลับอยู่บนเก้าอี้เอนแล้ว สีหน้าของเขาไม่สู้ดีอยู่บ้าง บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย เมิ่งอู่เข้าไปตรวจชีพจรให้เขา สีหน้าพลันเคร่งขรึม
เ้าคนนี้นี่ หลังล้างพิษแล้วไม่ยอมพักผ่อนให้ดี ยังวิ่งวุ่นไปรอบๆ อยู่ข้างนอกท่ามกลางแดดจัด หรือว่าล้มป่วยแล้ว?
เมิ่งอู่กล่าว “ซวี่เฉินฟาง อย่านอนที่นี่ หากจะนอนก็กลับไปนอนในห้อง”
ซวี่เฉินฟางหรี่ตาเป็เส้น ทอประกายวิบวับ กล่าวว่า “อาอู่ ข้าไม่มีแรงเดินกลับห้องแล้ว เ้าช่วยพยุงข้าเข้าไปได้หรือไม่”
กล่าวจบเขาก็หลับตา เป็ตายก็ไม่ยอมลุกขึ้นกลับห้องเด็ดขาด
อินเหิงกล่าวในจังหวะที่เหมาะสม “อาอู่ ให้ข้าจัดการเถิด”
เมิ่งอู่กำลังจะบอกว่า แม้แต่นางยังแบกซวี่เฉินฟางไม่ไหว แล้วเขาจะทำได้อย่างไร
แต่แล้วอินเหิงก็เข็นเก้าอี้เข็นเข้าไปในห้องชั่วครู่ พอกลับออกมา เขาก็ล้วงบางอย่างออกจากแขนเสื้อ แล้วโยนใส่ตัวของซวี่เฉินฟาง
ซวี่เฉินฟางแอบเอื้อมมือไปลูบอย่างไม่ใส่ใจ ััที่รับรู้เป็ของยาวๆ จึงหรี่ตาดูอีกครา ก็เห็นเป็งูสีสันสดใสตัวหนึ่ง น่ากลัวยิ่งนัก เขาดีดตัวลุกพรวดโดยไม่รู้ตัว
อินเหิงเลิกคิ้วก่อนเอ่ย “นี่ก็มีแรงแล้วไม่ใช่หรือ”
งูที่ซวี่เฉินฟางสะบัดตัวนั้นตกไปอยู่บนพื้น ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ซวี่เฉินฟางใช้ปลายเท้าเขี่ยดู พบว่านั่นเป็เพียงแถบผ้าผืนหนึ่งที่ถูกเย็บคลุมด้วยหนังงูเท่านั้น
ซวี่เฉินฟางมองอินเหิงสีหน้าบึ้งตึง “สนุกมากกระมัง?”
อินเหิงสะบัดชายเสื้อ แย้มยิ้มบางๆ “สนุกสิ”
เมิ่งอู่รีบหยิบขึ้นมาพิศดูอย่างละเอียด แล้วอดหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่ได้ “อาเหิง เ้าทำของเล่นแบบนี้ั้แ่เมื่อไร?”
อินเหิงกล่าว “ทำของเล่นให้มันน่ะ”
“มัน” ที่เขากล่าวถึง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหมายถึงแม่ไก่ป่าที่กำลังนั่งหลับอยู่กลางลานเรือน
อินเหิงหยิบงูตัวนั้นขึ้นมา แล้วโยนไปกลางลานเรือน แม่ไก่ป่าเบิกตากว้างโดยพลัน เมื่อเห็นสิ่งของสีสันสดใส ก็ใสุดขีด ะโเข้าไปจิกไม่ยั้งจนกระทั่งจิกผ้าที่อยู่ด้านในทะลักออกมาแล้ว มันก็เดินวนไปมาอย่างผ่าเผยภาคภูมิ
ซวี่เฉินฟางคร้านจะชมละครน่าเบื่อเช่นนี้ เขาทำท่าจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งราวกับไร้กระดูก เมื่อเมิ่งอู่เห็นดังนั้น ก็รีบพยุงเขาเข้าห้อง
พอดีกับที่นางเซี่ยตื่นนอนยามบ่าย เมิ่งอู่เปิดประตูห้องของนางไว้ พูดคุยกับนางพลางต้มยาอยู่ใต้ชายคา
ทว่าต้องต้มยาถึงสองชุด ชุดหนึ่งให้นางเซี่ย อีกชุดให้ซวี่เฉินฟาง
พอตกเย็น ซวี่เฉินฟางที่หลับไปอย่างอ่อนเพลียก็ตื่น เขาเดินโงนเงนไปเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายให้ดีๆ จากนั้นจึงนอนแผ่หลานิ่งอยู่บนเก้าอี้เอน ชื่นชมเมฆแดงบนนภา
เวลานั้นเมิ่งอู่กับอินเหิงอยู่ในห้องครัว นางรับผิดชอบทำอาหารเย็น ส่วนอินเหิงนั่งเติมฟืนอยู่หน้าเตาอย่างไม่เร่งไม่รีบ
ครั้นทำอาหารเสร็จ เมิ่งอู่ก็ออกมาตั้งโต๊ะอาหาร นางเซี่ยที่ลุกจากเตียงได้แล้วไม่ให้นางยกอาหารเข้ามาในห้อง แต่จะออกไปกินอาหารข้างนอกเอง ขณะซวี่เฉินฟางอ่อนเพลีย ไร้ความอยากอาหาร
ซวี่เฉินฟางนั่งลงข้างเมิ่งอู่ เอ่ยถาม “น้องสาวอู่ เ้าช่วยดมให้หน่อยสิว่าบนตัวข้ายังมีกลิ่นหนูตายอยู่หรือไม่?”
นางเซี่ยเอ่ยถามด้วยความฉงน “หนูตายอันใดกัน?”
อินเหิงขยับเมิ่งอู่เข้ามาใกล้ตนเองอย่างแเี กล่าวว่า “วันนี้เขาเจอที่ทุ่งนาขอรับ”
เมิ่งอู่มองซวี่เฉินฟางก่อนเอ่ย “เกรงว่าเ้าคงไม่ได้ขยะแขยงหนูตายจนล้มป่วยกระมัง?”
“ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า” ซวี่เฉินฟางกล่าวอย่างจริงจัง “เ้าลองดมดูซิ”
ยังไม่ทันที่เมิ่งอู่จะดมดู กลิ่นหอมจางๆ ของชะมดเชียงก็ลอยเตะจมูกขณะที่เขาขยับตัว
เมิ่งอู่อดกลอกตาไปมาไม่ได้ เอ่ยว่า “บนตัวเ้ามีแต่กลิ่นหอม เ้าหอมที่สุดในบรรดาพวกเราแล้ว!”
อาหารเย็นจบลงท่ามกลางความวุ่นวาย คาดว่าครั้งนี้ซวี่เฉินฟางน่าจะขยะแขยงจริงๆ จึงกินอาหารไปได้เพียงเล็กน้อย
นางเซี่ยกลับเข้าห้องพักผ่อนั้แ่หัวค่ำ
เมื่อในลานเรือนเหลือเพียงสามคน เมิ่งอู่จึงยกชามยาไปให้ซวี่เฉินฟางดื่ม เขากล่าวอย่างทอดอาลัย “เมื่อก่อนยามอยู่หอนางโลม ยังไม่เคยทำเื่น่าขยะแขยงถึงเพียงนี้มาก่อน”
เมิ่งอู่กล่าวอย่างไม่แยแส “ยามอยู่หอนางโลม ไม่ใช่ว่าเ้ากอดสาวงามที่ตัวหอมกรุ่นผิวอ่อนนุ่มซ้ายขวาหรือ ไฉนยังรู้สึกขยะแขยงอีกเล่า?”
ซวี่เฉินฟางตอบ “ไม่ใช่เวลานั้นหรอก” เขาเหลือบมองเมิ่งอู่ยิ้มๆ “เ้าไม่เคยได้ยินหรือว่า มารดาของข้าเป็หญิงคณิกา”
เมิ่งอู่ตะลึงงันอยู่บ้าง
นางมองหน้าของเขา ไม่พบอารมณ์ความรู้สึกใด อย่างต่ำต้อยหรืออัปยศอดสู ทำนองนั้นเลย
หากเอ่ยถึงชาติกำเนิดของเขาย่อมไม่ใช่เื่น่าภาคภูมิใจ แต่เขากลับเป็เสมือนแสงสว่างยามค่ำ นั่นไม่ได้ทำให้ชีวิตของเขามืดมนลง ตรงกันข้ามกลับกำเริบเสิบสานและเยือกเย็นทบทวี
หัวใจของคนคนหนึ่งต้องผ่านประสบการณ์ที่ถูกทุบตีนับพัน หล่อหลอมนับร้อย [1] อย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงจะเปล่งประกายรุ่งโรจน์เยี่ยงนี้
ซวี่เฉินฟางเคาะนิ้วมือกับพนักแขนเก้าอี้อย่างสบายๆ พลางกล่าวเอื่อยเฉื่อย “ข้าเติบโตในหอนางโลม ที่นั่นถือเป็บ้านของข้าครึ่งหนึ่ง”
เมิ่งอู่เอ่ยถามอย่างอธิบายไม่ถูก “เช่นนั้นเรือนสกุลซวี่ถือเป็บ้านอีกครึ่งหนึ่งของเ้ากระมัง?”
ซวี่เฉินฟางยกมุมปากก่อนเอ่ย “จนถึงยามนี้ข้ายังหาบ้านอีกครึ่งหนึ่งไม่เจอ แต่ดูคล้ายใกล้จะพบแล้ว”
สุดท้ายเมิ่งอู่ค่อยกล่าว “เ้ารีบเข้าห้องพักผ่อนเถิด ่นี้สมควรพักผ่อนให้มากๆ”
นางอาบน้ำเสร็จออกมา ซวี่เฉินฟางก็เข้าห้องไปแล้ว อินเหิงยังคงรอนางอยู่ที่ลานเรือน
เมิ่งอู่ประคบแขนให้อินเหิงเพื่อลดอาการบวมฟกช้ำ เขาช่วยเช็ดผมให้นาง นานวันเข้าก็เหมือนรู้ใจกันโดยปริยาย
จู่ๆ เมิ่งอู่ก็เอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัว “อาเหิง ขอจูบลาได้หรือไม่?”
ครู่หนึ่งอินเหิงถึงตอบรับ “ได้”
เมิ่งอู่ถอนหายใจ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงของเขา คิดในใจว่าคราวหน้าจะต้องจู่โจมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
คาดไม่ถึงว่ากลางดึกคืนนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงอสนีบาตดังกึกก้องสองครั้ง ต่างจากคืนสดใสที่ผ่านๆ มาที่ดวงจันทร์ส่องสว่าง ดวงดาวระยิบระยับ
เมิ่งอู่สะดุ้งตื่นด้วยความใ ครั้นนึกถึงแม่ไก่ป่าที่เลี้ยงไว้ในลานเรือนก็รีบออกจากห้องไปอุ้มแม่ไก่ป่าเข้าไปไว้ในครัว
อินเหิงตื่นแล้วเช่นกัน เอ่ยเรียกนางจากในห้อง เมิ่งอู่ตอบรับก่อนกล่าวว่า “เ้าอย่าเพิ่งลุก พอข้าจัดการแม่ไก่ป่าเสร็จ ก็จะกลับห้องไปนอนแล้ว”
……….
[1] อุปมาว่า ผ่านการต่อสู้และทดสอบมาอย่างโชกโชน