หลี่อิงฮว๋าเอ่ยผ่านหน้าต่างไปว่า “น้องสาว เมื่อคืนเ้าคงใแย่กระมัง พวกเราเคาะประตูห้องเ้าเป็ครึ่งค่อนคืนก็ยังไม่ได้ยินเ้าพูดตอบเลย”
“ข้าก็ไม่ได้ในี่ เกิดเื่ใดขึ้นหรือ” หลี่หรูอี้เพิ่งมารู้สึกเอาภายหลัง
หลี่ฝูคังเอ่ยเสียงสูง “เมื่อคืนมีขโมยขึ้นบ้าน และมันก็คือไอ้เ้าผู้ร้ายฆ่าคนชวีผิง!”
หลี่หรูอี้พูดอย่างตื่นตระหนก “ชวีผิงมาขโมยของบ้านเรา แล้วตัวมันเล่า”
หลี่อิงฮว๋าบอกว่า “ท่านลุงหวังไห่ อู่อวี๋เหนียน และอู่ต้าจับชวีผิงไปที่ว่าการอำเภอแล้ว”
หลี่หรูอี้เอ่ยด้วยความดีใจว่า “ดีแล้ว ชวีผิงมีโทษฆ่าคนซ้ำยังหลบหนี หนนี้ยังจะมาลักขโมยอีก มีโทษซ้อนโทษ พอไปที่ว่าการอำเภอแล้ว นายอำเภอต้องเอาโทษอย่างหนักหนาเป็แน่”
หลี่ิ่หานบอกว่า “หิมะหยุดตกแล้ว พวกเรากับท่านอารองปั้นตุ๊กตาหิมะรูปคนให้เ้า เ้ารีบมาดูเร็ว”
“ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้” หลี่หรูอี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เริ่มหวีผม นำเครื่องประดับเงินมาสวมเป็พิเศษและยังแต้มชาดที่ริมฝีปากด้วย ซึ่งก็เพื่อแต่งแต้มสิริมงคลในวันปีใหม่ ให้มีแต่ความโชคดีทั้งปี
“น้องสาว ให้เ้ามีความสุขในวันปีใหม่”
พี่ชายทั้งสี่คนสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมหล่อเหลาไม่เบาเลย พวกเขาพากันเข้ามาห้อมล้อมหลี่หรูอี้ที่ยืนอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
หลี่หรูอี้เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย ให้ท่านมีความสุขในวันปีใหม่เ้าค่ะ ขอให้ท่านสอบเข้าสำนักศึกษาได้ สมหวังดังใจนะเ้าคะ”
“ขอให้วิชาแพทย์และฝีมือทำอาหารของน้องสาวพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ”
“ให้น้องสาวสวยวันสวยคืน”
“ให้น้องสาวมีเงินทองไหลมาเทมา สำเร็จดังใจ”
“น้องสาว รีบมาดูตุ๊กตาหิมะนั่น เ้าชอบหรือไม่”
พี่ชายทั้งสี่อวยพรคนละประโยค ทำให้หลี่หรูอี้รู้สึกชื่นมื่นเต็มหัวใจ เมื่อมองไปยังตุ๊กตาหิมะกลางลานบ้านที่สูงถึงครึ่งจั้ง กว้างสามฉื่อ ใช้บุ้งกี๋เป็หมวก ใช้ไม้ฟืนเป็หู ตา และจมูก นับว่ามีกลิ่นอายของชนบทอย่างยิ่ง
อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ แต่ทั้งพี่ชายและอารองตื่นแต่เช้ามาปั้นตุ๊กตาหิมะเพื่อทำให้นางดีใจ ของขวัญแสนพิเศษชิ้นนี้ทำเอานางยิ้มแฉ่งเป็ดอกไม้บานทีเดียว
“พวกเราไหว้วันปีใหม่ท่านพ่อท่านแม่เรียบร้อยแล้ว เ้ารีบไปสิ”
“ยังได้เงินแต๊ะเอียด้วย”
พี่ชายทั้งสี่ดันตัวหลี่หรูอี้เข้าไปในห้องโถงกลาง ซึ่งหลี่ซาน จ้าวซื่อ และหลี่สือ รออยู่ก่อนหน้าแล้ว
วันนี้เป็วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง[1] คนทั้งครอบครัว รวมทั้งบ่าวไพร่ในเรือนล้วนสวมเสื้อผ้าใหม่
อาหารมื้อแรกในวันปีใหม่ของตระกูลหลี่ก็คือ เกี๊ยวต้ม[2]
ในโลกก่อน คนทางเหนือจะกินเกี๊ยวต้มกันในตอนกลางคืนของวันที่สามสิบเอ็ด ซึ่งเป็คืนข้ามปี แต่เมื่อหลี่หรูอี้มาอยู่ในสกุลหลี่กลับเปลี่ยนมากินเกี๊ยวต้มกันในเช้าวันปีใหม่แทน
หลี่หรูอี้เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ปีใหม่นี้บ้านเราสวมเสื้อผ้าใหม่และกินเกี๊ยว สมหวังมีสิริมงคล”
คนบ้านหลี่กำลังกินเกี๊ยวกันอยู่ ก็มีคนมาไหว้ปีใหม่ คนที่มาเป็กลุ่มแรกก็คือ สกุลสวี่ เมื่อคนบ้านสวี่มา ซานโก่วจื่อก็มาด้วย
จ้าวซื่อเอ่ยถามอย่างเป็กันเองว่า “ซานโก่วจื่อสีหน้าค่อยดีขึ้นแล้ว ดูท่าว่าคงหายป่วยแล้วกระมัง?”
หม่าซื่อพูดยิ้มๆ ว่า “เกือบจะหายดีแล้ว เมื่อคืนนางยังจะรออยู่ข้ามปี ข้ากลัวว่านางจะเหนื่อยจึงไม่เห็นด้วย วันนี้นางตื่นมาแต่เช้าก็เข้าไปห่อเกี๊ยวกับอู่โก่วจื่อในห้องครัว ไม่ได้ทำงานน้อยกว่าเดิมแต่อย่างใด”
หลี่หรูอี้เห็นว่าปาโก่วจื่อที่เอ้อร์โก่วจื่ออุ้มอยู่กับอกเอาแต่จ้องมองเกี๊ยวที่อยู่บนโต๊ะ จึงเอ่ยเสียงละมุนว่า “พวกเ้าลองมาชิมเกี๊ยวบ้านข้าหน่อยสิ” พูดจบก็ให้อู่เอ้อร์ไปเอาชามใหญ่สะอาดๆ มาชามหนึ่งแล้วคีบเกี๊ยวให้อู่โก่วจื่อหนึ่งชาม เพื่อให้นางป้อนให้ปาโก่วจื่อกิน
หม่าซื่อเห็นว่าปาโก่วจื่อกินเกี๊ยวอย่างตะกละตะกลามราวกับว่าไม่ได้กินอะไรมาแปดปีแล้ว ก็เอ็ดขึ้นมาว่า “ปาโก่วจื่อนี่ตะกละจริงๆ เกี๊ยวน้ำ[3]ที่บ้านเรากินเมื่อเช้าก็แทบไม่ต่างกับเกี๊ยวต้มของบ้านหลี่ เป็แป้งห่อไส้เอาไปต้มเหมือนกัน เกี๊ยวน้ำของเรายังต้มใส่น้ำแกงกระดูกหมูอีกด้วย”
อู่โก่วจื่อคีบเกี๊ยวต้มตัวหนึ่งใส่ปากของตนกินไปพร้อมกัน ก็พูดขึ้นว่า “ท่านแม่ เกี๊ยวต้มบ้านท่านน้าอร่อยกว่าเกี๊ยวน้ำบ้านเราอีก”
แม้ว่าความเป็อยู่ของสกุลสวี่จะดีขึ้นแล้ว แต่หม่าซื่อก็ยังคงคุ้นเคยและใช้ชีวิตแบบเดิม ไส้เกี๊ยวน้ำใส่เนื้อหมูน้อยมากและในนั้นยังผสมหนังหมูลงไปด้วย หนำซ้ำยังขี้เหนียวไม่ยอมใส่เครื่องปรุง น้ำแกงกระดูกหมูทั้งหม้อใส่กระดูกหมูหนักแค่เจ็ดตำลึง[4]ไปชิ้นเดียว ไม่มีรสชาติของเนื้อหมูเลยแม้แต่น้อย จืดชืดเสียอย่างยิ่ง ย่อมไม่อร่อยเหมือนเกี๊ยวต้มที่แผ่นเกี๊ยวบางและมีไส้เยอะๆ ของบ้านหลี่
ปาโก่วจื่อเคยกินเกี๊ยวต้มของบ้านหลี่มาก่อน จึงประทับใจไม่ลืมและคอยนึกถึงมาตลอด
ในที่สุดก็ได้สมใจเสียที
หม่าซื่อบอกว่า “ข้าได้ยินว่าคนบ้านหวังก็จะมาไหว้ปีใหม่บ้านเ้าด้วย พวกเ้ารีบกินเกี๊ยวแล้วรีบๆ เก็บให้เรียบร้อยเถิด”
สวี่เจิ้งประสานมือคำนับหลี่ซาน “เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รบกวนบ้านเ้าแล้ว ไว้มาบ้านเ้าใหม่คราหน้า”
หลังจากคนสกุลสวี่กลับไปแล้ว บ้านหลี่ก็พากันรีบกินเกี๊ยวต้ม
หลี่หรูอี้บอกกับคนในครอบครัวว่า “ต้องโทษที่ข้าตื่นสาย ปีหน้าข้าจะต้องตื่นให้เช้าๆ เ้าค่ะ”
จ้าวซื่อยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่เ้าตื่นสาย เป็พวกเขาตื่นเช้าเกินไปต่างหาก”
หลี่ซานพูดอย่างภูมิใจว่า “ใช่แล้ว ปีก่อนๆ จะเรียกว่าฉลองปีใหม่ได้อย่างไร ไหนเลยจะเหมือนกับปีนี้”
ที่ปีนี้คนในหมู่บ้านหลี่ได้ฉลองปีใหม่กันอย่างดีล้วนได้อานิสงส์จากสกุลหลี่
โบราณว่า สุขผู้เดียวมิสู้สุขด้วยกัน สกุลหลี่มั่งมีขึ้นมามิสู้คนทั้งหมู่บ้านล้วนมั่งมีไปพร้อมกัน
คนบ้านหลี่รีบกินอาหารเช้าให้เสร็จและเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย เพิ่งจะเอาผลไม้แห้ง ของว่าง ลูกกวาด และผลไม้สดจัดวางบนโต๊ะเสร็จ ก็มีคนมาไหว้ปีใหม่อีกแล้ว
หวังไห่เป็หัวหน้าครอบครัว แต่เขาไปที่ที่ว่าการอำเภอแล้ว เฟิงซื่อจึงเดินกะโผลกกะเผลกพาลูกชายจูงลูกสาวมาไหว้ปีใหม่บ้านดองของตน
ตามหลักแล้วควรเป็บ้านฝ่ายชายไปไหว้บ้านฝ่ายหญิง นี่ประไร แม้ว่าบ้านสกุลหลี่ยังไม่ทันไปหา แต่เฟิงซื่อก็หาใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดไม่
เฟิงซื่อยังไม่ทันได้นั่งลงเลย ข้างนอกก็มีคนมาไหว้ปีใหม่อีกแล้ว ครานี้เป็ครอบครัวของคนขายเนื้อแซ่จางที่ตำบลจินจี[5] กระทั่งตาเฒ่าจางก็ยังมาด้วยตนเอง
ตาเฒ่าจางสวมหมวกขนกระต่ายสีเทา สวมเสื้อตัวยาวคอตั้งผ่าหน้าสีน้ำเงินเข้ม กางเกงขายาวสีดำ สีหน้าแช่มชื่น น้ำเสียงกังวานสดใส “ตาเฒ่าเช่นข้าจะมาไหว้ปีใหม่ท่านหมอเทวดาน้อย”
หลี่หรูอี้จำตาเฒ่าตัวอ้วนตุ๊ต๊ะผู้นี้ได้ ครั้งนั้นเขาล้มหมดสติอยู่ที่พื้น มิได้สดใสกระปรี้กระเปร่าเช่นวันนี้ จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าไหว้ปีใหม่ท่านผู้เฒ่า ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง อายุยืนร้อยปีเ้าค่ะ”
คนขายเนื้อแซ่จางแนะนำหลิวซื่อภรรยาของตนกับหลี่ซานสามีภรรยา
หลิวซื่อสวมกระโปรงสีแดงสนิมที่ใหม่หกในสิบส่วน เห็นได้ชัดว่าวันนี้นางสดใสกว่าปกติ เนื่องจากต้องส่งเสียจางจินไห่บุตรชายของตนเล่าเรียนในสำนักศึกษาชิงซง คนเป็มารดาเช่นนางจึงไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาสามปีแล้ว
ครั้งนี้ตาเฒ่าจางจะมาเอ่ยเื่หมั้นหมายกับสกุลหลี่ เพื่อปิดปากหลิวซื่อลงให้สนิท จึงเรียกหลิวซื่อมาด้วย
หลิวซื่อเห็นว่าแม้แต่บ่าวของบ้านหลี่ก็ยังสวมเสื้อผ้าใหม่ จึงรู้สึกเสียดายที่ตนไม่ได้สวมชุดใหม่มา
คนสกุลหลี่ไม่รู้แต่อย่างใดว่าตาเฒ่าจางมีความคิดจะมาเชื่อมไมตรี พวกเขาจึงแค่รินน้ำชาให้คนสกุลจางเหมือนกับแเื่ทั่วไปที่มาที่บ้าน
จางอิ๋นฟางพอจะรู้ความคิดอ่านของผู้ใหญ่บ้านตนอยู่บ้าง ยามที่นางสนทนากับหลี่ฝูคังจึงอดที่จะใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอายไม่ได้ แต่หลี่ฝูคังกลับคิดอ่านเรียบง่ายหาได้คิดไปในทางนั้นไม่ จึงไม่ได้สนใจนางมากนัก
เฟิงซื่อเป็บ้านดองที่ใกล้ชิดของสกุลหลี่ย่อมต้องอยู่นานสักหน่อย นางสนทนากับจ้าวซื่อตั้งนานก็ยังไม่กลับไปเสียที
ตาเฒ่าจางเองก็ไม่ได้รีบร้อนอันใด นั่งคุยกับหลี่ซานและหลี่หรูอี้ พลางคอยปรายตาสังเกตหลี่ฝูคังไปด้วย
พวกของเฟิงซื่อทั้งสามคนยังไม่ทันกลับไป ครอบครัวของหวังเซี่ยจื้อก็มาหาอีก และหลังจากครอบครัวสกุลหวังแล้วก็ยังมีคนมาอีกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า โถงใหญ่ในบ้านหลี่ช่างครึกครื้นเสียนี่กระไร
หลิวซื่อได้ยินคนในหมู่บ้านเอ่ยถ้อยคำขอบคุณสกุลหลี่อย่างไม่มีท่าทีเสแสร้งแม้แต่น้อย เป็ความซาบซึ้งขอบคุณจากใจจริง นางจึงแอบคิดในใจว่า บารมีของสกุลหลี่ในหมู่บ้านหลี่แห่งนี้นับว่าสูงส่งไม่เบาทีเดียว
หลิวซื่อเคยดูแคลนสกุลหลี่มาก่อน แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาในวันนี้ก็รู้สึกว่าตนเป็กบก้นบ่อ โชคดีที่พ่อสามีปราดเปรื่อง มิเช่นนั้นคงทำให้เสียเื่จนบุตรสาวพลาดการแต่งงานที่ดีงามเสียแล้ว
จวนถึงเวลากลางวันก็ยังคงมีแขกมาไหว้ปีใหม่ที่บ้านหลี่อยู่ ตาเฒ่าจางก็ยังคงไม่รีบร้อน นอกจากหลี่ฝูคังแล้วครานี้เขาก็ยังสังเกตดูหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานไปพร้อมกันด้วย
ตาเฒ่าจางคิดในใจว่า หลี่ซานเป็คนซื่อตรง จ้าวซื่อเป็แม่ศรีเรือน หมอเทวดาน้อยเฉลียวฉลาดและมีจิตใจดีงาม เด็กหนุ่มทั้งสี่คนของสกุลหลี่ล้วนดีทั้งสิ้น หากหลานสาวได้แต่งกับเด็กหนุ่มคนใดสักคนล้วนเป็การแต่งงานที่ดีทั้งนั้น
หลี่หรูอี้เอ่ยปากเชิญตระกูลจางให้อยู่ทานข้าวด้วยกัน
ตาเฒ่าจางกลับไม่กล้าอยู่รบกวนตระกูลหลี่ แต่เรียกหลี่ซานไปที่ห้องข้างๆ เพื่อบอกกล่าวเจตนาที่ตนมา เื่นี้ทำให้หลี่ซานตระหนกใจนผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ยังตั้งสติไม่ได้
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง คือ วันตรุษจีน หรือวันปีใหม่ของจีน คนไทยเชื้อสายจีนเรียกว่า “วันชิวอิก”
[2] เกี๊ยวต้ม มีหน้าตาเหมือนเกี๊ยวซ่า แต่ใช้วิธีต้มให้สุกแทนการทอด ส่วนผสมหลักของไส้คือ เนื้อสัตว์สับ เช่น หมู กุ้ง ผักขึ้นฉ่าย กะหล่ำปลี ขิง ปรุงรสด้วยเกลือ ทานกับน้ำซุปหรือน้ำจิ้ม เหตุที่คนจีนนิยมทานเกี๊ยวในวันปีใหม่ เพราะเกี๊ยวมีรูปร่างเหมือนก้อนเงินโบราณของจีน ฉะนั้นเกี๊ยวจึงถือเป็อาหารมงคล อวยพรให้มีเงินมีทอง
[3] เกี๊ยวน้ำ (馄饨 หุนตุ้น) คือ เกี๊ยวน้ำแบบที่ใส่ในบะหมี่ในประเทศไทย แผ่นแป้งที่ห่อเกี๊ยวน้ำจะบางกว่าแผ่นแป้งของเกี๊ยวต้ม และไส้ของเกี๊ยวน้ำก็จะน้อยกว่าด้วย
[4] เจ็ดตำลึง หนักประมาณ 350 กรัม หรือสามขีดครึ่ง
[5] จินจี แปลว่า “ไก่ทอง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้