ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบดุจน้ำนิ่ง ปลายฤดูใบไม้ผลิย่างฤดูร้อนทว่าอากาศก็ยังคงหนาวเย็นอยู่บ้าง
ป๋ายหลี่ม่อและหนานกงม่อกำลังนั่งอยู่ในสวนหย่อมด้วยกันแต่ทั้งสองคนกลับนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จาอยู่อย่างนั้น
พวกเขาเงียบมาเป็เวลานานแล้วทั้งหมดนี้เป็เพียงเพราะเื่ที่เกิดขึ้นที่ชิงชวนหยวนเมื่อวานนี้
พวกเขาได้วิเคราะห์ถึงเหตุผลของสาเหตุที่ฮวาเชียนเย่สุดท้ายแล้วตัดสินใจที่จะไม่ลงมือและพวกเขาเองก็รู้ว่าเื่นี้จะไม่จบลงอย่างง่ายดายแน่นอน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะเป็เมื่อไหร่และที่ใด
“ความจริงแล้วสาวน้อยของสกุลเซียวผู้นั้น พวกเราควรจะทิ้งระยะห่างกับนางจึงจะเหมาะสม” ป๋ายหลี่ม่อยังถือว่ามีสติอยู่ เมื่อวานก็เป็เพราะว่าเซียวซู่ซู่เขาจึงตัดสินใจไปล่องเรือในที่แห่งนั้น
หนานกงม่อพยักหน้า “ข้าเห็นด้วยแม้ว่านางจะมีความสามารถโดดเด่นและรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดาทว่านางกลับแฝงไปด้วยคมหนาม อีกทั้งยังนำความอันตรายมาสู่ชีวิตของพวกเราด้วย”
จริงที่ว่าหากเป็เพียงการชื่นชมธรรมดาๆแล้ว พวกเขาก็สามารถรามือไปได้
เพราะถึงอย่างไรเสีย ตอนนี้เซียวซู่ซู่ก็ได้รับการอนุมัติจากฮ่องเต้หญิงให้นางได้แต่งงานอย่างอิสระโดยที่ราชสำนักจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าต่อให้พวกเขาแย่งเซียวซู่ซู่มาได้เื่นี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับแคว้นป่ายฮวาอยู่ดี
“ต่อจากนี้ พวกเราเพียงตรวจสอบเื่ของมหาปุโรหิตก็พอ” ผ่านไปเนิ่นนาน ป๋ายหลี่ม่อก็เหมือนจะตัดสินใจได้แล้วเขาเอ่ยเน้นย้ำออกมาทุกคำ น้ำเสียงแม้จะแฝงด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างแต่มันก็ยังคงเต็มไปด้วยความหนักแน่น
การที่ป๋ายหลี่ม่อได้กลายเป็เป็ทายาทสืบทอดแคว้นอ้าวอวิ๋นแน่นอนว่าเขาต้องมีจุดเด่นของตัวเองเช่นกัน
เื่ของเซียวซู่ซู่ เขาจัดการได้ไม่ดีนักแต่ว่าตอนนี้สามารถปล่อยมือได้อย่างทันเวลาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่จะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
อีกทั้งหากอ้าวอวิ๋นมีเขารับ่ต่อแล้วจะต้องเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับคำพูดของป๋ายหลี่ม่อนั้นหนานกงม่อเองก็เห็นด้วย เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อกังขา
แน่นอนว่าเขาก็เข้าใจถึงหลักการและเหตุผลของการกระทำเช่นนี้
“เช่นนั้น ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปพวกเราต้องรีบทำการตรวจสอบว่าใครจะมาเป็ผู้รับตำแหน่งมหาปุโรหิตในครั้งนี้” ป๋ายหลี่ม่อเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้สีหน้าเขาได้กลับไปราบเรียบและเฉยชาเช่นเดิมแล้ว
พวกเขายังไม่สามารถจากที่นี่ไปได้ ต่อให้รู้ว่าฮวาเชียนเย่จะไม่ยอมอยู่เฉยเป็แน่
และต่อให้พวกเขารู้ว่าการอยู่ต่อนั้นถือเป็อันตรายอย่างมากก็ตาม
แต่ว่าขอเพียงสวี่เว่ยหรานไม่ยอมรามือพวกเขาก็ไม่มีทางรามือได้
ไม่มีทางถอยอีกแล้ว
ความสัมพันธ์ของทั้งสามแคว้นซับซ้อนยิ่งนักหากขยับเพียงนิดเดียวก็อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายได้
“ได้ เมื่อผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ข้าจะไปที่วังหลวงสักรอบหนึ่ง” หนานกงม่อเอ่ยตอบรับอย่างรวดเร็ว
เื่ราวเริ่มจะอยู่เหนือการควบคุมแล้ว
ต้องรู้กันว่าสกุลเซียวได้สูญเสียอำนาจไปแล้วเพราะฉะนั้นยิ่งไม่มีเหตุผลที่ต้องไปข้องเกี่ยวอีก อีกทั้งเื่มหาปุโรหิตก็ต้องไม่เกี่ยวข้องกับสกุลเซียวอย่างแน่นอน
ตำแหน่งมหาปุโรหิตแม้จะไม่มีการแบ่งแยกระหว่างหญิงชายแต่กลับจำเป็ต้องมีฝีมือและวรยุทธ์ที่เก่งกาจเป็อย่างมาก
สกุลเซียวไม่มีคนเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น ก้าวต่อไปของพวกเขาก็ต้องเริ่มทำการคัดเหล่าขุนนางชั้นสูงของแคว้นป่ายฮวาออกทีละคนยอมสังหารผิดเป็พันคนยังดีกว่าปล่อยให้คนน่าสงสัยหลุดรอดไป
ที่จวนรับรองอีกแห่งหนึ่ง
สวี่เว่ยหรานและเฮ้ออี้เทียนเองก็กำลังอยู่ในสวนหย่อมเช่นกัน
ไม่มีแสงจากเทียนหรือโคมแม้แต่น้อย มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้น
“เื่ของเมื่อวานยังคงไม่ผ่านพ้นไป” มือหนึ่งของสวี่เว่ยหรานถือจอกที่มีสุราอยู่ครึ่งหนึ่งพลางแกว่งไปมาเบาๆแสงจันทร์สาดส่องมาทำให้มองเห็นสีของดวงตาเขาได้ไม่ชัดเจนนัก สวี่เว่ยหรานสวมชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกที่สุขุมและอ่อนโยน
ใบหน้าที่หล่อเหลาไร้ที่ติของเขากำลังประดับด้วยรอยยิ้มท่าทางไม่ใส่ใจสิ่งใดแม้แต่น้อย
เฮ้ออี้เทียนเองก็หยิบจอกเหล้าขึ้นมาก่อนจะแหงนหน้าดื่มมันจนหมดทว่าสีหน้าของเขากลับเคร่งเครียดเป็อย่างมาก
“หลังจากประสบกับเหตุการณ์เมื่อวาน พวกเราก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานนักและเชื่อว่าป๋ายหลี่ม่อเองก็กำลังรีบดำเนินการอย่างแน่นอน ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรจะนั่งรออยู่ตรงนี้เฉยๆโดยไม่ทำอะไร”
สวี่เว่ยหรานทำเพียงแค่ยิ้มออกมาจางๆด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน “ก็จริง ทว่าในเมื่อพวกเขาคิดจะดำเนินการ พวกเราก็ให้โอกาสพวกเขาเสียหน่อยไม่ดีหรือ”
“...”
ชั่วขณะหนึ่งเฮ้ออี้เทียนไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยเช่นไรออกมาดี เขาทำเพียงแค่จ้องสวี่เว่ยหรานนิ่งๆอยู่อย่างนั้น
เมื่อเห็นเฮ้ออี้เทียนเป็เช่นนี้สวี่เว่ยหรานก็ยังคงยิ้มต่อไป “รอจนพวกเขาจัดการเื่ทั้งหมดเสร็จแล้วพวกเราก็คว้าเอาผลประโยชน์ไปไม่ดีกว่าหรือ?”
“แต่ว่า...”
เฮ้ออี้เทียนคิดอยากจะพูดอะไรทว่ากลับถูกสวี่เว่ยหรานยกมือขัดคำพูดของเขา “ไม่มีแต่ ต่อให้พวกเขาคิดจะใส่ร้ายก็ต้องทำให้คนของแคว้นป่ายฮวาเชื่อได้ถึงจะสำเร็จ”
“หมายความว่าอย่างไร?”เฮ้ออี้เทียนมักจะความรู้สึกช้าไปเล็กน้อย
สวี่เว่ยหรานโยกจอกสุราในมือเบาๆอีกครั้งก่อนจะกระดกดื่มสุราในจอกจนหมดเช่นกัน “นับจากพรุ่งนี้เป็ต้นไปพวกเราก็เข้าไปพักอยู่ที่เรือนรับรองของราชสำนักทางที่ดีจะต้องพบเจอกับองค์หญิงหรือก็คือฮวาเชียนจือทุกวัน”
เขาจะต้องสร้างหลักฐานของการอยู่ในสถานที่ของตนขึ้น
เช่นนั้นฮวาเชียนจือก็ถือเป็ตัวเลือกที่เหมาะสมไม่น้อย
อีกทั้งหากเขา้าสนิทสนมกับฮวาเชียนจือทุกคนก็สามารถทำความเข้าใจได้
เพราะถึงอย่างไรเสียฮวาเชียนจือก็ถือเป็สตรีที่มีรูปโฉมงดงามผู้หนึ่ง
และยังมีโอกาสเป็อย่างสูงว่าจะเป็ฮ่องเต้หญิงคนต่อไป
ไม่ว่าใครก็หาเื่ต่อว่าไม่ได้
หลังจากที่เฮ้ออี้เทียนได้ยินคำพูดดังกล่าวเขาก็ตบมือของตนอย่างแรง “เป็ความคิดที่ดีๆ”
จากนั้นก็กระดกสุราขึ้นดื่มอีกหลายแก้วอย่างดีใจ
“เอาเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว ควรไปพักผ่อนเสียที” สวี่เว่ยหรานสวมชุดสีขาวสะอาดราวกับหิมะ ทว่ารอยยิ้มของเขาในตอนนี้กลับมีความเ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่อาจกลบบุคลิกอันองอาจของเขาไว้ได้
เฮ้ออี้เทียนเองก็ยิ้มพลางพยักหน้าจากนั้นคนทั้งสองก็เดินจากไปพร้อมกัน
คืนนี้ เหมือนว่าทุกที่จะไม่ค่อยสงบสุขนักแน่นอนว่าจวนสกุลเซียวเป็ข้อยกเว้น
เซียวซู่ซู่กำลังกอดชิงเจี่ยวเอาไว้นางฝึกซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนว่านางไม่อาจตัดใจปล่อยมือจากพิณโบราณที่ทรงคุณค่านี้ไปได้ สีหน้าของนางเองก็อ่อนโยนกว่ายามปกติไม่น้อย
เสียงไพเราะของพิณที่ดังสะท้อนยิ่งทำให้บรรยากาศของจวนสกุลเซียวอบอุ่นมากขึ้น
ทุกคนเงียบสงบเป็อย่างมากเพราะพวกเขาล้วนแต่กำลังจมอยู่กับเสียงพิณอันไพเราะของเซียวซู่ซู่
นี่ก็เป็ครั้งแรกที่เซียวเหยียนและเซียวจู๋ไม่ได้ออกไปเริงร่าหาความสุขแต่กลับอยู่รวมตัวกับเหล่าพี่น้องคนอื่นๆ ที่ริมทะเลสาบและดื่มด่ำค่ำคืนอันสวยงามนี้อย่างเงียบๆ
เซียวเอินยืนอยู่ด้านหลังเซียวซู่ซู่ดวงตาทั้งสองสะท้อนอารมณ์ลึกซึ้งออกมา เขาทำเพียงแค่จับจ้องไปที่แผ่นหลังของเซียวซู่ซู่ที่กำลังดีดพิณอยู่เสื้อสีขาวที่สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะประกอบกับผมยาวสลวยสีดำดุจน้ำหมึกของนางทำให้นางดูเรียบง่ายแต่กลับมีเสน่ห์สะดุดตา
ใบหน้าที่ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มกลับดูงดงามอย่างน่าประหลาด
“ฝีมือการดีดพิณเช่นนี้ ต่อให้ท่องเที่ยวทั่วยุทธภพก็เกรงว่าจะไม่มีคู่ต่อสู้เป็แน่” เซียวจู๋กำลังเคลิ้มไปกับเสียงพิณของเซียวซู่ซู่ เมื่อเซียวซู่ซู่บรรเลงเสร็จนางก็พูดเสียงดังออกมา พวกนางรู้ว่าอนาคตของสกุลเซียวล้วนขึ้นอยู่กับการบรรเลงพิณครั้งนี้ของเซียวซู่ซู่
ขอเพียงคว้าชัยชนะในการแข่งขันมาได้สกุลเซียวถึงจะสามารถได้รับการคุ้มครองจากสำนักเหลยได้อย่างเหมาะสม
“ท่านป้าสองกล่าวเกินไปแล้ว”เซียวซู่ซู่นั้นไม่ได้เอ่ยถ่อมตนไปมากกว่านี้ นางเพียงยิ้มออกมาบางๆ “ถ้าหากคนที่ฝ่ายตรงข้ามเชิญมาคือเฝินเหวิน เช่นนั้นการแข่งครั้งนี้ก็ยังถือว่ามีความยากไม่ใช่น้อย”
แม้ว่าครั้งที่แล้วนางจะโชคดีเอาชนะเฝินเหวินไปได้แต่ว่าความรู้สึกในใจของนางในตอนนี้และตอนนั้นกลับต่างกัน
นางกลัวแต่เพียงว่าตนจะไม่สามารถแสดงฝีมือออกมาได้ถึงขั้นนั้น
เมื่อนางเอ่ยเสร็จ ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็เหมือนมีสติขึ้นมาพลางจับจ้องไปที่เซียวซู่ซู่
แววตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
วินาทีนั้น เซียวซู่ซู่ที่มองไปทางแววตาของทุกคนก็รู้สึกหัวใจหนักอึ้งเหลือเกิน
ตอนนั้น นางเพียง้าให้ตนเองมีชีวิตต่อไปไม่ถูกเหยีดหยามอีก เช่นนั้นตอนนี้ล่ะ นางกำลังทำเพื่อคนในครอบครัวที่คอยสนับสนุนนางมาโดยตลอดมีหรือที่นางจะกล้าเผิกเฉยต่อการแข่งครั้งนี้
เมื่อคิดได้ดังนี้นางก็ลอบกำมือของตนเองแน่น ก่อนจะหันไปมองทางพิณชิงเจี่ยวที่อยู่ระดับความสูงของเข่าเบื้องหน้าตนอีกครั้งพร้อมบอกกับตนเองว่าต้องคว้าชัยชนะมาให้ได้
ใช่แล้ว ต้องชนะให้ได้
เซียวมี่ก้าวไปด้านหน้าก่อนจะตบมือลงบนไหล่ของเซียวซู่ซู่เบาๆนางมิได้เอ่ยอะไรออกมาแต่กลับทำเพียงแค่สนับสนุนเซียวซู่ซู่อยู่เงียบๆ
สกุลเซียวสามารถสามัคคีเป็หนึ่งได้เช่นนี้ล้วนแต่เป็เพราะการฟื้นขึ้นมาของเซียวซู่ซู่ เพราะฉะนั้นความรู้สึกรักใคร่ที่เซียวมี่มีต่อเซียวซู่ซู่ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หลานสาวผู้นี้นำทุกสิ่งมาให้กับนางทำให้นางไม่มีวันลืมสิ่งเหล่านี้ไปได้
แสงจันทร์ส่องสว่าง ขณะที่ทุกคนในสกุลเซียวต่างก็กำลังรื่นเริงสังสรรค์กันอย่างมีความสุข
บนกำแพงสูงมีเงาของคนผู้หนึ่งแวบผ่านไปก่อนจะหายไปท่ามกลางความมืด
เซียวมี่ที่เดิมมีสีหน้ายิ้มแย้มก็สะดุ้งตัวขึ้นก่อนจะดีดตัวลอยขึ้นนางได้ะโข้ามกำแพงสูงเพื่อตามรอยคนผู้นั้นไปแล้วท่วงท่าของนางรวดเร็วดุจพญาเหยี่ยวที่โผยบินอยู่กลางสายลม
เสียงของพิณหยุดลงสีหน้าของเซียวซู่ซู่เองก็เคร่งเครียดขึ้นขณะหันไปมองตามทิศทางที่เซียวมี่พุ่งทะยานไป
ไม่นาน เซียวเอินเองก็พุ่งตัวตามไปเช่นกัน