ใบหน้าของเสิ่นจือเหยียนเขียนคำว่าสงสัยเอาไว้เต็มไปหมด เหตุใดอันกุ้ยเหรินถึงได้ลงมือลอบสังหารฝ่าา?
เมื่อหลายสิบปีก่อน ขาทั้งสองข้างของอันกุ้ยเหรินถูกตีจนใช้การไม่ได้ ต่อมาฝ่าาก็ปลดนางให้เป็สามัญชนเข้าไปในเรือนชุนอู๋ ดังนั้น หัวใจของนางจึงเกิดความโกรธแค้น หลายสิบปีมานี้คิดถึงการแก้แค้นอยู่ตลอดเวลาเลยหรือ? แต่ว่าตอนนี้ขาทั้งสองข้างของนางไม่ได้เป็อะไร นี่มันเื่อะไรกัน?
เขาลูบคางครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าเื่นี้จะต้องมีอะไรแน่นอน
มู่หรงฉือจ้องอันกุ้ยเหริน ถามด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “อันกุ้ยเหริน เื่ที่เกิดขึ้นใน่นี้ เช่นหยกโลหิตตกมาจากฟ้าที่ตำหนักเฟิ่งเทียน ฝนโลหิตตกที่ตำหนักชิงหยวน คดีของซุนอวี้เหม่ยที่แม่น้ำลั่ว เสี่ยวลู่ที่บึงเสี่ยวเยว่ ล้วนเป็เ้าที่จัดฉากขึ้นมาใช่หรือไม่? เพลงพื้นบ้านในเมืองเ้าก็เป็คนปล่อยออกไปใช่หรือไม่?”
“องค์รัชทายาทมีหลักฐานหรือไม่?” อันกุ้ยเหรินยิ้มน้อยๆ อย่างเยียบเย็น ใบหน้างดงามของนางราวดอกเฉียงเหวยที่เหี่ยวเฉาในฤดูร้อนอันเจิดจ้าร้อนแรง
“เปิ่นกงไม่มีหลักฐานจริงๆ นั่นล่ะ” มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น “เ้าจัดฉากได้ชาญฉลาดถึงเพียงนั้น อีกทั้งไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย”
“การลอบสังหารฮ่องเต้เป็ความผิดร้ายแรง เพียงพอที่จะแยกศพเ้าให้เป็ชิ้นๆ” มู่หรงอวี้จิบชาหนึ่งอึกด้วยท่วงท่าสง่างาม “จัดฉากได้ยอดเยี่ยม แต่ย่อมต้องมีวิธีแก้ปริศนา เตี้ยนเซี่ยตัดสินว่าคนที่อยู่เื้ัคืออันกุ้ยเหริน เชื่อว่าเตี้ยนเซี่ยคงมีคำตอบของปริศนาเหล่านี้แล้ว เปิ่นหวางอยากจะฟังว่าเตี้ยนเซี่ยไขปริศนาคดีน่าสงสัยและถึงแก่ชีวิตเ่าั้นั้นอย่างไร”
“ขอเตี้ยนเซี่ยโปรดแถลงไข” กู้ฮวายประสานมือเข้าด้วยกันแล้วพูด ท่าทางรู้สึกละอายแก่ใจ สืบสวนมานานหลายวันเขาไม่พบอะไรเลย แต่เตี้ยนเซี่ยกลับไขคดีได้แล้ว
“ก่อนอื่นหยกโลหิตที่ตกลงมาจากฟ้าที่ตำหนักเฟิ่งเทียน” เสิ่นจือเหยียนหน้าตาเบิกบาน “อันกุ้ยเหรินสังหารสามัญชนไป๋และสามัญชนโม่ที่เรือนชุนอู๋ก่อน แล้วสูบเืของพวกนางออกมา ต่อมาก็ส่งเืไปที่ตำหนักเฟิ่งเทียนทันที วางเอาไว้ที่มุมอับ ทุกเช้าจิ้นเซิงกับเสี่ยวยินจะมาทำความสะอาดที่ตำหนักเฟิ่งเทียน เสี่ยวยินก็อาศัยในตอนที่จิ้นเซิงไม่สังเกตไปยกถังเืออกมา แล้วเทเืคนกับหยกโลหิตไว้ที่พื้นหน้าตำหนัก ก่อนเสี่ยวยินจะฆ่าตัวตายได้บอกทั้งหมดไว้แล้ว”
“ในฤดูร้อนแบบนี้ เืคนจะเปลี่ยนสีและแข็งตัวไว” กู้ฮวายถามสิ่งที่สงสัยออกมา “แต่ตอนที่เห็นเืคนเ่าั้ เืยังไม่แข็งตัวเลย”
“หยกโลหิตตกจากฟ้าเกิดขึ้นใน่เช้า อันกุ้ยเหรินอาศัยตอนที่คนของเรือนชุนอู๋ยังไม่ตื่นในยามเหม่า พาสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่มายังมุมอับมุมหนึ่งแล้วฆ่าทั้งสองทิ้ง” มู่หรงฉือเลิกคิ้ว “อันกุ้ยเหรินมีวิชาตัวเบาไม่ธรรมดา จะยกถังเืหลบองครักษ์มาถึงตำหนักเฟิ่งเทียนก็ไม่ใช่เื่ยากอะไร”
อันกุ้ยเหรินหน้านิ่งเฉย ราวกับเื่เหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
แววตาของมู่หรงอวี้มองไปยังนักฆ่า แล้วถามขึ้นว่า “หยกโลหิตเป็ของหายาก ในวังไม่มีหยกโลหิตมากมายขนาดนั้น อันกุ้ยเหรินไปได้หยกโลหิตมาจากไหน”
“เื่นี้ต้องถามอันกุ้ยเหรินแล้ว” มู่หรงฉือ
ริมฝีปากของอันกุ้ยเหรินแสยะยิ้มที่เหมือนจะแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันแต่ก็ไม่มี ทว่าไม่มีคำตอบใดออกมา
กู้ฮวายครุ่นคิด “หยกโลหิตตกจากฟ้ากับฝนโลหิตปรากฏออกมาตามคำใบ้ของเพลง อันกุ้ยเหรินเผยแพร่เพลงออกไปอย่างไร?”
เสิ่นจือเหยียนพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ใต้เท้า ข้าน้อยไปดูที่เรือนชุนอู๋มาแล้ว ด้านนอกกำแพงด้านหลังเรือนชุนอู๋เป็ถนนเส้นหนึ่ง ถนนเส้นนั้นเป็ทางติดกับกำแพงด้านนอกสุดของวัง หรือก็คือ เรือนชุนอู๋อยู่ติดกับกำแพงวัง อันกุ้ยเหรินมีวิชาตัวเบาไม่ธรรมดา จะเข้าออกนอกวังกับเรือนชุนอู๋นั้นก็เหมือนกับเดินเข้าออกปกติ ไม่มีคนสังเกตเห็น นางสามารถปลอมตัวแล้วลอบออกไปนอกวังเพื่อแพร่กระจายเพลงออกไปได้”
กู้ฮวายยิ่งสงสัยแล้ว “อันกุ้ยเหรินขาหักทั้งสองข้างมิใช่หรือ? เหตุใดขาของนางเหมือนปกติดีเล่า? อีกทั้งเมื่อสิบกว่าปีก่อนนางเป็เฟยผินอยู่ในวังหลัง จะไปฝึกวิทยายุทธ์เก่งกาจขนาดนี้มาจากที่ใด?”
“เื่พวกนี้ อีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน” มู่หรงฉือจ้องอันกุ้ยเหริน อีกฝ่ายยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม ราวกับเป็พระเข้าฌาณ
“ฝนโลหิตที่ตำหนักชิงหยวนล่ะ มันคือเื่อะไรกัน?” ดวงตาของมู่หรงอวี้มองไปทางนางอย่างสนใจ
“ฝนโลหิตที่ตำหนักชิงหยวน ใช้เป็เืสุนัขไม่ใช่เืคน อันกุ้ยเหรินฆ่าสุนัขในเมืองมาหลายตัว ก่อนจะเอาเืมันมา ตอนกลางคืนที่ปราศจากผู้คนก็เอาเืสุนัขไปทาบนกระเบื้องหลิวหลีสีเหลืองที่ตำหนักชิงหยวน นางทาเอาไว้ได้ดีเช่นเดียวกับการทาสีบนกำแพง จากนั้นพอฝนตกลงมาน้ำฝนก็ชะล้างกระเบื้อง เืสุนัขที่ทาเอาไว้ก็จะไหลรวมกับสายน้ำ” มู่หรงฉือเดินกลับไปที่โต๊ะ ด้วยท่าทีไม่ธรรมดา พกพาบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร “เปรียบได้กับสตรีผู้หนึ่งที่ทาเครื่องประทินโฉมไว้หนาชั้นบนใบหน้า ครั้นฝนตกลงมาโดนเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าก็จะถูกน้ำล้างลงมา”
“เช่นนั้นนางคาดเดาได้อย่างไรว่าวันนั้นฝนจะตก?” เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้วถาม ในใจตื่นตะลึงมากที่เตี้ยนเซี่ยสามารถแก้ปริศนาฝนเืได้ เขายิ่งนับถือเตี้ยนเซี่ยที่มีความสามารถในการคิดและสืบสวนคดีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“แม้ว่ากำลังภายในของนางจะยอดเยี่ยมเพียงไร จะลงมือกับตำหนักชิงหยวน ก็ยากจะหลีกเลี่ยงการทิ้งความเคลื่อนไหวไว้” มู่หรงอวี้เลิกคิ้วน้อยๆ “ตำหนักชิงหยวนเป็ตำหนักของโอรส์ มีทหารคอยคุ้มกันแ่า สิบก้าวต่อหนึ่งหน่วยเดินสลับกันไปมา นางสามารถลงมือโดยที่คนไม่รู้ตัวได้อย่างไร?”
“นี่ต้องถามอันกุ้ยเหรินแล้ว” มู่หรงฉือมองไปทางอันกุ้ยเหริน เลิกคิ้วอย่างมั่นใจ
“องค์รัชทายาทเป็คนแก้ปริศนาเองทั้งหมดหรือ?” อันกุ้ยเหรินถามกลับอย่างเย้ยหยัน
“ไม่ผิด ตำหนักชิงหยวนมีทหารคอยคุ้มกันหนาแน่น ยากที่จะหลบหลีกสายตาขององครักษ์เ่าั้ได้ อีกอย่าง การจะทาเืบนหลังคาจำเป็ต้องใช้เวลาไม่น้อย” มู่หรงฉือหรี่ตาลงน้อยๆ เ็าจนฆ่าคนได้ “แต่อันกุ้ยเหรินฉลาดยิ่งนัก ทั้งยังมีผู้ช่วยคนหนึ่ง คนข้างกายนางหลิวเหม่ย ก่อนที่พวกนางจะขึ้นไปบนหลังคาตำหนัก อันกุ้ยเหรินก็ใช้ยานอนหลับกับองครักษ์ทั้งหมด เพราะกำลังภายในของนางยอดเยี่ยม ในตอนที่องครักษ์พวกนั้นพบว่ามีเงาดำปรากฏขึ้นก็ถูกซัดยาสลบเข้าไปแล้ว ส่วนที่นางจะรู้ว่าเช้าวันไหนมีฝนตกนั้นไม่ยาก”
กู้ฮวายพูดอย่างชื่นชม “เตี้ยนเซี่ยวิเคราะห์ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ฝนโลหิตที่ตำหนักชิงหยวนก็เข้ากับฝนเืตกเต็มฟ้าในเพลงได้พอดี เช่นนั้น การตายของซุนอวี้เหม่ยในแม่น้ำลั่วกับเสี่ยวลู่ที่บึงเสี่ยวเยว่ ก็เข้ากับปลากินคนในเพลง เื่นี้อันกุ้ยเหรินก็เป็ฆาตกรหรือ?”
ใบหน้าของอันกุ้ยเหรินเงียบเหงา เหมือนกับขี้เถ้าในกองไฟ มีเพียงแสงไฟเล็กๆ ที่ใกล้จะมอดดับ
“อันกุ้ยเหรินพบซุนอวี้เหม่ยโดยบังเอิญ นางจึงเป็ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังหาร เสี่ยวลู่เองก็เช่นกัน พวกนางตายอย่างไม่ยุติธรรม อันกุ้ยเหรินซัดฝ่ามือไปทีเดียวอวัยวะภายในของซุนอวี้เหม่ยก็จบสิ้นทันที ครั้นพวกนางตายแล้วก็ค่อยๆ เอาร่างของพวกนางโยนลงไปในแม่น้ำลั่วกับบึงเสี่ยวเยว่ สร้างสถานการณ์ปลากินคนแบบปลอมๆ ขึ้น” เสิ่นจือเหยียนพูด
มู่หรงฉือกล่าวต่อ “นางจัดฉากแยกที่แม่น้ำลั่วกับบึงน้ำเสี่ยวเยว่ในวัง เป้าหมายก็คือเพื่อให้ทั้งข้าหลวงในวังกับประชาชนในเมืองลั่วหยางหวาดกลัว ให้ทุกคนเชื่อในสิ่งที่เพลงนั้นบอก อันกุ้ยเหริน การสันนิษฐานของเปิ่นกงไม่ผิดใช่หรือไม่”
ใบหน้าของอันกุ้ยเหรินราวกับฤดูหนาวอันรกร้างไร้ผู้คน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลือ มีเพียงความเงียบสงัด
“าแบนใบหน้ากับแขนทั้งสองข้างของซุนอวี้เหม่ยกับเสี่ยวลู่ผู้ตายนั้นสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?” มู่หรงอวี้ถามเสียงทุ้ม
“กระหม่อมกับเตี้ยนเซี่ยได้ทำการทดลองเป็ที่เรียบร้อยแล้ว าแที่แมวคลุ้มคลั่งกัดคนถึงแม้จะเหมือนกับาแของผู้ตายทั้งสอง แต่กลับไม่ใช่แมว พวกเราไปเดินวนรอบตลาดทางตะวันออกของเมือง สุดท้ายก็ซื้อกระต่าย ลิงกับหนูท่อมา ใช้สัตว์สามตัวนี้ในการพิสูจน์” เสิ่นจือเหยียนตอบ
“หนูท่อเป็สัตว์ตัวเล็กที่มีแค่ในแคว้นซีฉิน ลักษณะคล้ายกับหนูนายิ่งนัก หลายปีมานี้เมืองหลวงมีคหบดีไม่น้อยที่ชอบเลี้ยงสัตว์ ทั้งแมว กระต่ายขาว และลิงล้วนเป็สัตว์เลี้ยงที่พบเห็นได้ทั่วไป คหบดีเ่าั้เลี้ยงกันจนเบื่อหน่ายแล้ว จึงเบนความสนใจไปยังหนูท่อแล้วซื้อพวกมันมาเลี้ยง” มู่หรงฉือพูดต่อ “กระต่ายขาว ลิงกับหนูเป็สัตว์เลี้ยงที่มีนิสัยนุ่มนวล ปกติแล้วจะไม่ทำร้ายหรือกัดคน ตอนที่กระต่ายขาว ลิงกับหนูถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ก็จะมีนิสัยเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะหนูท่อ”
ดวงตาวางเปล่าของอันกุ้ยเหรินมีแสงวาบขึ้นเล็กน้อย
มู่หรงอวี้สนใจเื่หนูขึ้นมา “จะทำให้หนูคลุ้มคลั่งจนกัดคนได้อย่างไร?”
มู่หรงฉือยิ้มเย็น “เปิ่นกงเคยถามเ้าของร้านมา หากจะทำให้หนูคลุ้มคลั่ง มีอยู่วิธีหนึ่ง แคว้นซีฉินมีผลชนิดหนึ่งที่เรียกว่าผลฮั่วหม่า หากนำผลนั้นมาทำเป็ผงแล้วให้หนูดม ผ่านไปไม่ถึงนาทีหนูก็จะมีนิสัยที่เปลี่ยนไป คลุ้มคลั่งกัดคน เปิ่นกงกับเสิ่นจือเหยียนได้ทำการทดลองที่ศาลต้าหลี่ ผลฮั่วหม่ามีผลต่อกระต่ายขาวและลิงด้วยเช่นกัน แต่ว่าจะส่งผลกระทบต่อหนูท่อมากที่สุด พอหนูกัดเนื้อขาหมูจนเหนื่อยแล้ว ก็เกิดเป็แผลเหมือนกับที่พบบนใบหน้ากับแขนของผู้ตายถึงแปดเก้าส่วน”
เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างสดใส “อันกุ้ยเหรินสังหารคนก่อน ในตอนที่ลมหายใจของทั้งสองมอดดับไปแล้วก็ให้หนูที่คลุ้มคลั่งไปกัดพวกเขา เมื่อเป็เช่นนี้ก็สามารถสร้างสถานการณ์ปลากินคนได้แล้ว”
กู้ฮวายพยักหน้าพลางลูบเคราสีดำไปด้วย “แต่ว่าอันกุ้ยเหรินไปได้หนูกับผลฮั่วหม่าจากที่ใด?”
”สำหรับอันกุ้ยเหรินแล้ว การออกจากวังกับเรือนชุนอู๋นั้นเป็เื่ที่ง่ายดายอย่างยิ่ง หาไม่แล้วนางก็คงไม่มีทางออกจากวังไปสังหารคนได้” มู่หรงฉือมองไปทางอันกุ้ยเหรินอีกครั้ง “อันกุ้ยเหริน สถานการณ์ที่เ้าสร้างขึ้นมานั้นชาญฉลาดและสมบูรณ์แบบมาก ไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้แม้แต่น้อย เ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดเปิ่นกงถึงได้สงสัยเ้า?”
“องค์รัชทายาทไขคดีปริศนาและคดีฆาตกรรมได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าก็อยากจะรู้เช่นกันว่าเหตุใด เพียงแต่ว่าเตี้ยนเซี่ยเหมือนจะไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเป็ข้าที่สร้างสถานการณ์สังหารคน” อันกุ้ยเหรินพูดออกมาช้าๆ น้ำเสียงนิ่งเรียบแหบพร่า
“เ้าไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้จริงๆ จนกระทั่งตอนนี้ เปิ่นกงกับจือหยียนหาเบาะแสเจอเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือผมสีขาวสามเส้น” คิ้วเรียวของมู่หรงฉือเลิกขึ้นเบาๆ “ตอนที่เ้ากำลังสังหารสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ ตอนที่สามัญชนโม่จะตายได้จับเส้นผมสีขาวที่เ้าทำร่วงเอาไว้มา อีกอย่าง บนเตียงของพวกนางเ้าเองก็ทิ้งเส้นผมไว้อีกหนึ่งเส้น เส้นที่สามก็หาเจอบนตัวของเสี่ยวยิน เพียงแต่ว่า ในตอนแรกเปิ่นกงไม่ได้สงสัยเ้า เพราะว่าเ้าคลุมผมกับใบหน้าเอาไว้ เปิ่นกงจึงไม่รู้ว่าผมของเ้าขาวโพลนไปแล้ว เ้าปกปิดได้ดีมาก”
นี่เรียกว่าการ “ค่อยๆ หว่านแหออกไปเพื่อไม่ให้ปลาเล็ดลอด” เสิ่นจือเหยียนพูดสรุป
“แค่เส้นผมสามเส้นก็คิดจะโยนความผิดมาให้ข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?” อันกุ้ยเหรินหัวเราะเย้ยหยัน
“เ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน อีกเดี๋ยวเปิ่นกงจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เ้า” ดวงตามู่หรงฉือวาววับ “เปิ่นกงคาดเดาว่า หลังจากที่จัดฉาก ‘ปลากินคน’ แล้วเ้าก็ไม่ได้สังหารผู้ใดอีก เป้าหมายในการจัดฉากของเ้าในครั้งนี้ชี้ไปทางอวี้หวาง ให้ทุกคนสงสัยเขา ระวังเขา ให้เขาตกเป็คนในข่าวลือว่าจะสังหารฮ่องเต้ชิงบัลลังก์ใช่หรือไม่?”
อันกุ้ยเหรินไม่ได้ตอบ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นเหมือนมีแต่ก็ไม่มี ลึกลับยากคาดเดา
แม้ว่านางจะไม่ได้ตอบ แต่ทุกคนก็คิดว่าความเงียบของนางคือการยอมรับแล้ว
ครั้นคนที่เหลือได้ยินคำว่า “สังหารฮ่องเต้ชิงบัลลังก์” จิตใจต่างสั่นสะท้าน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
มู่หรงอวี้ยังคงนิ่งสงบ “หลายวันมานี้เปิ่นหวางได้ยินข่าวลือมากมาย เจอสายตาที่มองมาแปลกๆ ไม่น้อย ที่แท้ก็เป็อันกุ้ยเหรินมอบให้นี่เอง”
หัวข้อนี้ช่างกระอักกระอ่วน อ่อนไหวยิ่งนัก กู้ฮวายเบี่ยงประเด็นได้ถูกเวลาพอดี “จ้าวผินไม่ใช่อันกุ้ยเหรินสังหารหรือ?”
เสิ่นจือเหยียนตอบ “การตายของจ้าวผินไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับอันกุ้ยเหริน แต่เื่นี้ค่อยพูดกันอีกที”
สายตาของมู่หรงฉือจ้องไปที่อันกุ้ยเหริน ดวงตาที่นิ่งเฉยเปลี่ยนมาเป็ดุดัน “เ้าลอบสังหารเสด็จพ่อ เป็เพราะเ้า้าแก้แค้น”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้