เจิ้งหยวนคิดว่าเจิ้งเจวียนน่าจะถึงวัยต่อต้านแล้ว มิอย่างนั้นน้องสาวที่ปกติเชื่อฟังเธอขนาดนั้นทำไมวันนี้ถึงไม่ฟังแล้วล่ะ?
เจิ้งหยวนโมโหมากจริงๆ หากเด็กๆ ไม่ยอมเข้าเรียน เธอก็สามารถไล่ให้ไปเรียนได้ แต่เธอไม่อาจกดหัวเ้าตัวบังคับให้มีสมาธิกับการเรียนได้
สรุปว่าจวนจะเปิดภาคเรียนอยู่แล้ว เจิ้งหยวนก็ยังไม่อาจเกลี้ยกล่อมเจิ้งเจวียนให้กลับไปเรียนได้อยู่ดี ทุกคนในครอบครัวดูมีเหตุผลมากกว่าเธอ หากเธอพูดมากเกินไปและไม่เห็นด้วยตลอด ก็เหมือนเธอตั้งใจจะปล่อยให้แม่เหนื่อย
เจิ้งเจวียนก็ฉลาดเหลือเกิน อยู่ที่บ้านทั้งขยันขันแข็งและคล่องแคล่ว แย่งงานส่วนใหญ่ของเจิ้งหยวนไปทำเสียเกือบหมด จริงอยู่ที่เจิ้งหยวนสบายขึ้นมาก แต่เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีคนคอยตามก้นต้อยๆ ทั้งในและนอกบ้าน เธอเลยไม่มีโอกาสกระทั่งแอบขนเสบียงอาหาร น้ำมัน เกลือ เครื่องปรุงรส น้ำส้มสายชูและอย่างอื่นออกจากมิติ
ซึ่งมันน่ารำคาญอย่างยิ่ง!
เจิ้งหยวนกำลังจะเกลี้ยกล่อมน้องสาวต่อ ทว่าอยู่ๆ เบื้องบนก็มาแจ้งข่าวให้เจิ้งเฉวียนกังทราบว่าปีนี้มียุวปัญญาชนถูกส่งมาที่หมู่บ้านอีกแล้ว ให้เจิ้งเฉวียนกังพาคนไปรับในเขตด้วย
“บ่ายวันนี้ยุวปัญญาชนก็มากันแล้ว เจวียนจื่อ เดี๋ยวแกตามไปรับคนกับฉันที่เขตนะ” เจิ้งเฉวียนกังมอบหมายงานให้ลูกสาวระหว่างทานอาหารกลางวันที่บ้าน “รอบนี้คนไม่เยอะ มีแค่สหายชายสามคน สหายหญิงอีกสองคน ถูกย้ายมาจากเมืองเอกของมณฑลทั้งหมด เมื่อถึงเวลาแกก็ตามเจิ้งเทียนหยางไปปรับทัศนคติให้คนพวกนี้ เขาจะได้เคยชินกับชีวิตของคนชนบทเร็วๆ” เจิ้งเทียนหยางก็คือลูกชายคนโตของป้าฟางที่อยู่หลังบ้านพวกเขานั่นเอง
เจิ้งเจวียนมีความสุขมาก หลายวันมานี้เธอโดนพี่สาวมองค้อนใส่ทุกวัน ในที่สุดก็มีงานสำคัญให้เธอทำสักที แถมยังเป็งานไปรับยุวปัญญาชนอีกด้วย!เมื่อก่อนเธอได้ยินพี่สาวบอกว่าคนในเมืองไฮโซนักไฮโซหนาอยู่เป็ประจำ แต่พี่สาวก็เห็นเพียงคนจากในอำเภอเมืองเท่านั้น คราวนี้หลายคนที่มาเป็คนของเมืองเอก งั้นก็ต้องดูดีกว่าคนในอำเภอน่ะสิ? คิดได้ดังนั้นเธอจึงเอ่ยบ้าง “ทันฤดูเก็บเกี่ยว่ฤดูใบไม้ผลิพอดีเลย ดูท่าผู้นำก็คำนึงถึงเาาวชนบทอยู่นะ รู้ว่าฤดูเก็บเกี่ยวยุ่ง จึงส่งคนเหล่านี้มาช่วยเราโดยเฉพาะ”
เจิ้งเทียนิกลืนกับข้าวในปากแล้วกลอกตามองบน “ช่วยเราเหรอ? คนพวกนั้นไม่เพิ่มความยุ่งยากให้เราก็ดีถมเถแล้ว!” เมื่อก่อนหน้าที่รับยุวปัญญาชนเป็งานของเขา ปีนี้ขาเขาหัก แม้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่กระดูกหัก ซ้ำร้ายเส้นเอ็นยังาเ็จนต้องพักฟื้นอย่างน้อยร้อยวัน ตอนนี้ขาของเขายังขยับไม่ถนัดเท่าไรนัก จึงรักษาตัวอยู่ที่บ้านต่อ
หลายปีที่ผ่านมาประธานเหมาสนับสนุนให้ ‘เยาวชนที่มีการศึกษาไปอยู่ชนบท เพื่อเรียนรู้จากชาวนาชนชั้นกลางที่ยากจน’ ฉะนั้น เลยมีคนถูกจัดสรรมาจำนวนมากทุกปี ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็เด็กที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจในเมือง ไฉนเลยจะทำนาได้ บางคนแยกกระทั่งต้นกล้าข้าวสาลีกับต้นกล้ากุยช่ายไม่เป็ ทั้งยังใช้จอบไม่ถูกและจุดไฟต้มหม้อไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ทำอะไรไม่เป็สักอย่าง เลยต้องให้คนมีประสบการณ์ มีความอดทนไปจับมือสอนทีละขั้นตอน ยุวปัญญาชนที่นิสัยดียังพอทำเนา ให้ทำอะไรก็ทำ แต่จะมีพวกยุวปัญญาชนบางคนที่ไม่รู้จักแยกแยะ ขนาดจัดสรรงานสะดวกสบายให้ก็ยังไม่พอใจ มาถึงก็อยากจะลงแปลงนาเลย ทั้งที่เ้าตัวทำอะไรไม่เป็สักอย่าง ลงแปลงไปก็เสียงานคนอื่นเปล่าๆ !
ไม่ว่าอย่างไรเจิ้งเทียนิก็ไม่ชอบยุวปัญญาชนพวกนี้อยู่ดี
ในทางกลับกันเจิ้งเฉวียนกังที่เป็คนจริงจังมีความรับผิดชอบ คิดว่าเบื้องบนจัดสรรยุวปัญญาชนมาให้แล้ว ดังนั้นก็ต้องดูแลยุวปัญญาชนไม่กี่คนให้ดี เขาจึงถลึงตาใส่เจิ้งเทียนิ “หยุดประชดประชันได้แล้ว คนเขาทำเกษตรไม่เป็ก็ยังเรียนหนังสือได้นี่! พวกเขาเป็ปัญญาชน รู้มากไม่แพ้นายหรอก! เหมือนเ้าหนุ่มที่ชอบอ่านหนังสือเกษตรที่มาคราวก่อนนั่นไงละ แทบจะเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรอยู่แล้ว หากเขาไม่สอนเราเื่การปลูกพืชแซมพวกนั้น พืชผลของกองพวกเราจะเก็บเกี่ยวได้มากกว่ากองอื่นๆ ไหม?”
เด็กหนุ่มที่เจิ้งเฉวียนกังเอ่ยถึงชื่อเก๋อชิ่งเหมียว หากพูดตามความเห็นของเจิ้งหยวน เธอว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็คนแปลก ถึงจะชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเกษตร แต่กลับทำไร่ทำนาไม่เป็ กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาพูดช่างมีเหตุผลชวนให้อยากรับฟัง คนถือดีอย่างเจิ้งเฉวียนกังยังฟังเด็กหนุ่มคนนั้นเลย ั้แ่เก๋อชิ่งเหมียวมาที่นี่ เจิ้งเฉวียนกังก็พาคนทั้งหมู่บ้านไปทำงานตามที่เขาบอกตลอด และผลผลิตเสบียงอาหารก็เพิ่มขึ้นสูงมากจริงๆ นอกจากนี้ ยังมีพวกเทคโนโลยีต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์การเลี้ยงหมู การเลี้ยงผึ้ง ซึ่งเป็เทคนิคดีๆ ที่ใช้งานได้จริงทั้งนั้น
แต่ในความเป็จริงมียุวปัญญาชนที่ได้รับการจัดสรรมาให้ชุมชนปีละตั้งเท่าไรกันล่ะ? คนที่มีความสามารถจริงๆ ก็มีแค่เก๋อชิ่งเหมียวคนเดียว
เจิ้งเทียนิเบะปาก ไม่พูดคำใดอีก
“ฉันว่าให้เจวียนจื่ออยู่ที่บ้านดีกว่า ฉันจะไปกับพี่เทียนหยางเอง” เป็เจิ้งหยวนที่พูดแทรกขึ้นมากะทันหัน
จะปล่อยเจิ้งเจวียนคบค้าสมาคมกับยุวปัญญาชนพวกนั้นไม่ได้ เจิ้งเจวียนถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของยุวปัญญาชนพวกนั้นในชาติก่อน! เธอไม่รู้แน่ชัดว่ายุวปัญญาชนคนไหนที่หลอกน้องสาวเธอ เลยทำได้เพียงพยายามกีดกันยุวปัญญาชนทุกคนเท่านั้น เป็ที่รู้กันดีว่าเพื่อนรอบข้างส่งผลต่อทัศนคติอย่างใหญ่หลวง ยุวปัญญาชนที่มาชนบทกลุ่มนี้มีทั้งดีและเลวปะปนกัน ใครจะรู้กันเล่าว่าคนไหนดีหรือร้าย
“ไม่ได้! แกอยู่ที่บ้านซะ” แต่ทว่าเจิ้งเฉวียนกังกับเฉินชุ่ยอวิ๋นตอบเป็เสียงเดียวกัน
เจิ้งหยวนถึงกับสำลักไปพักหนึ่ง “ทำไมล่ะ?” หลังสบสายตาของพ่อแม่ เธอก็ตระหนักได้ในทันที ดีนี่ เพื่อกีดกันเธอสินะ! เจิ้งหยวนอดรู้สึกโกรธไม่ได้ เธอแย้ง “ฉันไม่ใช่คนที่เห็นใครดีก็พุ่งเข้าใส่นะ! พ่อกับแม่เห็นฉันบ้าผู้ชายมากขนาดนั้นเลยหรือไง!”
เจิ้งเฉวียนกังใบหน้าพลันดำคล้ำ เฉินชุ่ยอวิ๋นเองก็โกรธไม่ต่างกัน เธอง้างตะเกียบตีลงบนหลังมือเจิ้งหยวนทันที “นังลูกคนนี้ พูดอะไรออกมาเนี่ย!”
“พวกแม่ไม่ได้คิดแบบนี้กันอยู่เหรอ? ยังไม่ยอมให้ฉันพูดอีก!” เจิ้งหยวนนึกเจ็บมือ จึงชักมือหลบตะเกียบของมารดาแล้วบุ้ยปาก “พวกแม่แค่กลัวว่าฉันเห็นยุวปัญญาชนหน้าตาดี แล้วจะตกหลุมรักเขานี่!”
ความจริงก็โทษเจิ้งเฉวียนกังกับเฉินชุ่ยอวิ๋นที่กีดกันเธอไม่ได้หรอก เจิ้งหยวนชอบผู้ชายผิวขาว และสุภาพเรียบร้อยแบบนั้นจริงๆ หลินเสี่ยวหยางที่เธอคบหาเมื่อก่อนก็เป็ทรงนี้ เด็กๆ ที่มาจากในเมืองเอาแต่เรียนอย่างเดียว ไม่เคยลงทำนาพวกนั้น ย่อมต้องตรงตามรสนิยมของเจิ้งหยวนทุกคนอยู่แล้ว ยุวปัญญาชนหลายคนจากในเมืองเมื่อก่อน ขอแค่หน้าตาดีหน่อย ก็ล่อลวงหัวใจเด็กสาวที่ยังไม่แต่งงานไปได้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน
เจิ้งเฉวียนกังกำลังจะะเิ แต่อยู่ๆ เจิ้งเทียนิก็ตอกกลับเจิ้งหยวนไปเสียก่อน “เมื่อก่อนแกก็เห็นว่าเ้าคนแซ่หลินนั่นดี ถึงได้ตกหลุมรักเขานี่! พ่อแม่เขาเจอเข้าไปครั้งหนึ่งเลยจำฝังใจน่ะ น้องสาว แกอย่าถือโทษที่พ่อแม่ไม่เชื่อใจแกเลย ทั้งหมดนี้มิใช่ว่าแกทำตัวเองหรอกเหรอ?”
เจิ้งหยวนแย้ง “…ฉันก็ไม่ได้เ้าชู้ขนาดนั้นสักหน่อย?”
“ฉันไม่สนว่าแกเ้าชู้หรือไม่ แต่แกอยู่ที่บ้านเฉยๆ เสียเถอะ!” ดูน้องสาวเขาสิ ่นี้ก่อเื่ก่อราวไปตั้งเท่าไรแล้ว! เจิ้งเทียนิคิด
แต่เจิ้งหยวนยังคงพยายามอธิบาย “ฉันคบหาหลินเสี่ยวหยางก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพราะยังไม่ได้ตกลงกับเฝิงเจี้ยนเหวินหรอกเหรอ ในเมื่อตอนนี้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ไม่มีทางคิดเป็อื่นอีก เข้าใจไหมคะ?”
เจิ้งเฉวียนกังตบโต๊ะดังปังแล้วจ้องเขม็ง “ไม่ตกลงกันตรงไหน? หมั้นกันมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว!”
“นั่นมันเื่ั้แ่ปีมะโว้แล้วมั้ง? นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วคะ คู่หมั้นสมัยเด็กอะไรเนี่ยเป็ค่านิยมสมัยยุคศักดินาทั้งนั้น หากตกลงกันจริงๆ ทำไมสกุลเฝิงต้องให้สินสอดเราอีกรอบเล่า?” เจิ้งหยวนเบ้ปาก แต่ยังว่าต่อ “เป็แค่สัญญาปากเปล่าเท่านั้นเอง แถมสมัยก่อนเฝิงเจี้ยนเหวินก็ไม่เห็นจะชอบฉันสักเท่าไรเลยไม่ใช่เหรอ? ถ้าชอบฉันจริงๆ ทำไมหลายปีที่ผ่านมาถึงไม่เขียนจดหมายหาฉันสักฉบับเลยล่ะคะ? ทำอย่างกับเป็คนแปลกหน้ากัน ตามความเห็นฉัน บางทีหลายปีมานี้เฝิงเจี้ยนเหวินอาจจะคบหาใครอยู่ที่กองทัพเหมือนกันก็ได้ แค่เราไม่รู้ก็เท่านั้นเอง”
สิ้นเสียง เจิ้งเฉวียนกังพลันตบโต๊ะอีกครั้ง ก่อนชี้หน้าบุตรสาวตนเอง “แกพูดจาเหลวไหลอะไร! แกทำตัวไม่เหมาะสมเอง แต่ยังจะกล้าใส่ร้ายเจี้ยนเหวินเขาอีก!”
เจิ้งหยวนเองก็ใช่ว่าจะยอมผู้เป็พ่อ
“ฉัน——”
“รีบหุบปากกันเสียทีเถอะ!” เฉินชุ่ยอวิ๋นขัดจังหวะเจิ้งหยวนด้วยใบหน้าดำทะมึน “แกพูดให้มันน้อยๆ หน่อย ต้องทะเลาะกับพ่อให้ได้ถึงจะมีความสุขหรือไง?” ก่อนเบนสายตาไปยังเจิ้งเฉวียนกังต่อ “คุณก็ด้วย พูดเสียงดังขนาดนี้กลัวคนนอกไม่ได้ยินเหรอคะ?” แล้วปิดท้ายกับเจิ้งหยวนว่า “แกอยู่บ้านอย่างว่าง่ายซะ แล้วคราวนี้ให้เจวียนจื่อไปแทน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้