ตอนที่ 8 ขวานที่ต้องลับให้คม
ค่ำคืนนั้นเป็ครั้งแรกในรอบหลายปี หรืออาจจะเป็ครั้งแรกในชีวิตของมู่หลิงซี ที่กระท่อมท้ายเรือนของตระกูลมู่ไม่ได้มีเพียงกลิ่นอับชื้นและความเงียบงัน แต่กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของซุปกระดูกหมูที่เคี่ยวจนข้นขาว และเสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กน้อยที่ได้ลิ้มรสข้าวขาวเป็ครั้งแรก
บนโต๊ะไม้เก่าๆ มีชามกระเบื้องสี่ใบวางอยู่ ข้างในคือข้าวขาวที่หุงผสมกับข้าวกล้องแดงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ตรงกลางโต๊ะคือหม้อดินใบใหญ่ที่ภายในบรรจุน้ำซุปกระดูกหมูร้อนๆ ที่เคี่ยวกับหัวไชเท้าและสมุนไพรพื้นบ้านจนเปื่อยนุ่ม เนื้อหมูสามชั้นที่ซื้อมาถูกแบ่งส่วนหนึ่งมาผัดกับขิงจนหอมฉุย ส่วนที่เหลือหลิงซีนำไปหมักเกลือเตรียมถนอมไว้กินในวันต่อไป
"อร่อย! ท่านแม่! อร่อยเหลือเกินขอรับ!" มู่เฟยใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปากคำโต แก้มตุ่ยจนกลมเหมือนลูกซาลาเปา ดวงตาหยีลงเป็พระจันทร์เสี้ยวด้วยความสุข
หลี่ซือมองภาพนั้นด้วยน้ำตาที่ไหลรินอาบสองแก้ม แต่นี่คือน้ำตาแห่งความปิติยินดี นางใช้แขนเสื้อซับน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า พลางคีบเนื้อชิ้นที่ใหญ่ที่สุดใส่ในชามของลูกชายและสามี "กินเยอะๆ นะ กินเยอะๆ"
มู่เจิ้งไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ก้มหน้าก้มตากิน แต่ไหล่ที่สั่นเทาเล็กน้อยและดวงตาที่แดงก่ำก็บ่งบอกความรู้สึกในใจของเขาได้เป็อย่างดี เขาเหลือบมองหลิงซี ลูกสาวที่นั่งกินอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ฝั่งตรงข้าม ในใจของชายผู้กรำงานหนักมาทั้งชีวิตเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ทั้งภาคภูมิใจ ซาบซึ้ง และละอายใจ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ก็กินด้วยสิเ้าคะ" หลิงซีคีบเนื้อชิ้นใหญ่ใส่ชามให้ทั้งสองคน "อาหารมื้อนี้เป็ของพวกเราทุกคน"
คำพูดเรียบง่ายของนางทำให้บรรยากาศในกระท่อมยิ่งอบอุ่นขึ้นไปอีก พวกเขากินกันอย่างเงียบๆ แต่กลับสื่อสารกันผ่านแววตาและความรู้สึกได้มากกว่าคำพูดนับพันคำ นี่ไม่ใช่มื้ออาหารธรรมดา แต่มันคือการเฉลิมฉลอง "ชัยชนะ" ครั้งแรกของพวกเขา คือการประกาศอิสรภาพเล็กๆ จากความอดอยากและการกดขี่
หลังจากอิ่มหนำสำราญและช่วยกันเก็บจานให้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เข้านอนด้วยหัวใจที่พองโต แต่หลิงซีกลับยังไม่หลับ นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนแข็งๆ ของตนเอง หลับตาลงช้าๆ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
การเผชิญหน้ากับอากุ้ย มันคือบททดสอบที่อันตรายแต่ก็ล้ำค่าอย่างยิ่ง มันทำให้นางตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่ง พลังของดวงตาทิพย์หยก ไม่ได้มีไว้แค่มองเห็น แต่มันสามารถใช้ชี้นำ การกระทำของนางได้ด้วย! การจู่โจมจุดชี่ไห่เมื่อกลางวันเป็เพียงการใช้พลังโดยสัญชาตญาณที่ผสมผสานกับความรู้จากชาติก่อน แต่หากนาง้าเอาตัวรอดในโลกที่โหดร้ายใบนี้ นางจำเป็ต้องเข้าใจและควบคุมพลังนี้ให้ได้ดียิ่งขึ้น
‘การมีอาวุธวิเศษ แต่ไม่รู้วิธีใช้ ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กสามขวบที่ถือค้อนปอนด์ มีแต่จะทำร้ายตัวเอง’ นางคิดในใจ ‘ ลับขวานให้คมไม่เสียเวลาตัดฟืน ถึงเวลาที่ข้าต้องลับคมขวานของข้าแล้ว’
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น หลิงซีก็ลุกจากเตียงอย่างแ่เบา นางเดินออกไปนอกกระท่อม ยืนอยู่กลางลานดินใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเป็สีเงินยวง อากาศยามค่ำคืนเย็นสบาย เสียงแมลงกลางคืนกรีดร้องเป็บทเพลงขับกล่อมธรรมชาติ
นางหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มทำในสิ่งที่นางไม่เคยทำมาก่อน การฝึกสมาธิ
นางไม่ได้นั่งขัดสมาธิ แต่ยืนนิ่งๆ ปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลาย จิตใจที่เคยฟุ้งซ่านค่อยๆ สงบนิ่งลงทีละน้อย นางไม่พยายามจะคิดอะไร แต่ปล่อยให้ความคิดไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำ จากนั้น นางเริ่มหันสมาธิทั้งหมดเข้าไปภายในร่างกายของตัวเอง
นางจินตนาการถึงพลังงานอุ่นๆ ที่ได้รับมาจากน้ำต้มหลินจือเมื่อคืนก่อน มันยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างของนางเหมือนลำธารสายเล็กๆ ที่คอยหล่อเลี้ยงทุกสรรพางค์กาย นางลองใช้จิต ของตนเองค่อยๆ ชักนำลำธารสายนั้น ให้ไหลเวียนไปตามเส้นทางที่นาง้า
ตอนแรกมันช่างยากเย็น ลำธารพลังงานนั้นดื้อรั้นและไหลสะเปะสะปะ แต่หลิงซีก็ไม่ย่อท้อ นางอดทนและพยายามต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนคนหัดเขียนหนังสือที่ต้องคัดลายมือซ้ำๆ จนกว่าจะสวยงาม
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดก็ไม่ทราบได้ ในที่สุดนางก็ทำสำเร็จ!
วูบ!
ลำธารพลังงานสายเล็กๆ นั้นพลันเชื่องเชื่อและไหลไปตามการควบคุมของนางอย่างนุ่มนวล! นางสั่งให้มันไหลจากท้องน้อย ขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลัง ผ่านลำคอ แล้วไปรวมตัวกันอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง!
ในวินาทีนั้นเอง! โลกในความรู้สึกของนางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง!
นางรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ดวงตา ไม่ใช่ความร้อนที่แสบไหม้ แต่เป็ความร้อนที่อบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยพลัง ราวกับมีดวงตะวันขนาดจิ๋วสองดวงกำลังลืมตาตื่นขึ้นในเบ้าตาของนาง!
นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น และภาพที่เห็นก็ทำให้นางถึงกับหยุดหายใจ!
โลกที่นางเห็นผ่านดวงตาทิพย์หยกในยามนี้ แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง!
ก่อนหน้านี้ นางมองเห็นพลังปราณเป็เพียง แสงสี ที่ห่อหุ้มวัตถุต่างๆ เอาไว้ แต่ตอนนี้ นางมองเห็นได้ลึกซึ้งกว่านั้นมาก! นางมองเห็นการไหลเวียน และพื้นผิวของพลังปราณ!
นางมองไปที่ต้นหญ้าข้างเท้า แสงปราณสีเขียวอ่อนของมันไม่ได้เป็เพียงแสงนวลๆ อีกต่อไป แต่นางมองเห็นเส้นใยพลังงานเล็กๆ นับพันสายที่กำลังไหลเวียนจากรากสู่ปลายใบอย่างช้าๆ เป็ระเบียบและสวยงาม
นางหันไปมองกระท่อมของตนเอง แสงปราณสีขาวนวลของพ่อแม่และน้องชายที่หลับใหลอยู่ไม่ได้เป็เพียงก้อนแสงกลมๆ อีกแล้ว แต่นางมองเห็น "กระแส" พลังงานที่ไหลเวียนเข้าออกตามจังหวะการหายใจของพวกเขา นางมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กระแสพลังงานบริเวณแผ่นหลังของบิดามีจุดติดขัด อยู่หลายแห่ง มันไหลเวียนได้ไม่สะดวกและมีสีเทาคล้ำแทรกซึมอยู่ นั่นคือสาเหตุของอาการปวดหลังเรื้อรังของท่าน!
และที่น่าทึ่งที่สุด เมื่อนางหันหน้าไปทางเรือนใหญ่ของตระกูลมู่
นางสามารถรับรู้ ถึงอารมณ์ที่แฝงอยู่ในพลังปราณเ่าั้ได้!
แสงปราณของป้าสะใภ้ใหญ่หวังซื่อที่นางเห็นจากในห้องนอน ไม่ได้เป็เพียงแสงสีขุ่นมัวอีกต่อไป แต่มันมีสีแดงคล้ำ ที่ปะทุเป็ระลอกคล้ายลาวาเดือดพล่าน มันคือปราณแห่งความโกรธแค้นและความริษยา! ส่วนแสงปราณของย่าจางนั้นเยียบเย็นและนิ่งสงบกว่า แต่กลับมีสีเทาเข้มที่แฝงไว้ด้วยความโลภและความยึดมั่นถือมั่นอย่างรุนแรง
นี่คือการพัฒนาอย่างก้าวะโ! ตอนนี้นางไม่เพียงแค่มองเห็นพลังชีวิต แต่นางสามารถวินิจฉัย และอ่านอารมณ์ได้ด้วย! พลังการมองเห็นของนางทะลุทะลวงออกไปไกลหลายร้อยเมตร
"สุดยอด" หลิงซีพึมพำกับตัวเองด้วยความตื่นเต้น
นางลองเพ่งสมาธิไปที่มือของตัวเอง แสงปราณสีขาวนวลของนางสว่างและไหลเวียนได้อย่างราบรื่นกว่าทุกคนในครอบครัว บ่งบอกว่าร่างกายนี้ได้ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว นางลองชักนำพลังปราณให้ไปรวมตัวกันที่ปลายนิ้ว ปลายนิ้วของนางก็รู้สึกร้อนวูบวาบและมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!
‘นี่เอง นี่คือเคล็ดวิชาที่แท้จริง!’ นางกำหมัดแน่น ‘ไม่ใช่แค่การจิ้มจุด แต่คือการรวบรวมปราณไว้ที่ปลายนิ้วก่อนลงมือ หากข้าทำเช่นนี้ได้ั้แ่แรก อากุ้ยคงไม่ได้แค่หมดแรง แต่อาจจะสลบไปเลยก็ได้!’
ความเข้าใจใหม่นี้เปิดประตูสู่ความเป็ไปได้อีกนับร้อยนับพัน นางสามารถใช้พลังนี้เพื่อรักษาอาการป่วยของบิดา ใช้เพื่อวินิจฉัยคุณภาพของสมุนไพรได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และใช้เพื่อป้องกันตัวจากอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม!
หลิงซียืนอยู่ใต้แสงจันทร์อีกเนิ่นนาน นางฝึกควบคุมพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งรู้สึกคุ้นชินและสามารถทำได้อย่างใจนึก ก่อนจะกลับเข้าไปในกระท่อมอย่างเงียบเชียบ
นางกลับไปนอนบนเตียง แต่ในใจยังคงตื่นเต้นไม่หาย โลกใบนี้ช่างเต็มไปด้วยความลับและความอัศจรรย์ที่รอให้นางไปค้นพบ
รุ่งอรุณของวันใหม่ไม่ได้นำพาเพียงแค่แสงสว่าง แต่ยังนำพา กลิ่นที่ไม่อาจปกปิดมาด้วย
หวังซื่อ ป้าสะใภ้ใหญ่ ตื่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดเช่นทุกวัน หน้าที่อย่างหนึ่งที่นางเกลียดแสนเกลียดแต่จำต้องทำ เพราะแม่สามีสั่งไว้ คือการตรวจดูเศษอาหารที่เหลือจากเมื่อคืน เพื่อดูว่ามีอะไรพอจะเก็บไว้ให้ไก่กินได้บ้าง นางเดินไปยังหลังครัว ที่ซึ่งถ้วยชามของทั้งสองบ้านถูกวางรวมกันไว้รอการล้าง
ทันทีที่นางเดินเข้าไปในครัว จมูกของนางก็ได้กลิ่นบางอย่างที่ผิดปกติ
มันไม่ใช่กลิ่นบูดเน่าของเศษอาหาร แต่เป็กลิ่นหอมจางๆ ของน้ำซุปที่เคี่ยวจากกระดูก กลิ่นที่นางคุ้นเคยดีเพราะเป็ของโปรดของลูกชายสุดที่รัก
นางขมวดคิ้วเดินตรงไปยังกองชามของบ้านรอง แล้วก้มลงไปดม
ชัดเลย!
กลิ่นหอมมันๆ ของน้ำซุปกระดูกหมูยังคงติดอยู่ที่ก้นชามอย่างชัดเจน! แม้จะถูกล้างน้ำเปล่าไปแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม!
ดวงตาของหวังซื่อเบิกกว้างขึ้นทันที ความงัวเงียเมื่อครู่หายวับไปกับตา ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนกและความโกรธที่พุ่งขึ้นมาเป็ริ้วๆ นางรีบหยิบชามใบอื่นของพวกบ้านรองขึ้นมาดม ทุกใบมีกลิ่นเดียวกัน!
"บ้านะ! เป็ไปได้อย่างไร!" นางสบถออกมาอย่างลืมตัว "พวกมัน พวกมันไปเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อกระดูกหมูกินกัน!"
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือ ‘พวกมันต้องแอบขโมยเงินของตระกูลไปแน่ๆ!’
หวังซื่อไม่รอช้า นางทิ้งชามในมือเสียงดัง เคร้ง! ไม่สนใจว่ามันจะบิ่นหรือแตกหรือไม่ แล้วรีบวิ่งแจ้นออกจากครัวตรงไปยังเรือนใหญ่ของแม่สามีทันที นางต้องรีบรายงานเื่นี้ ไม่สิต้องรีบใส่ไฟ เื่นี้ก่อนที่ความจริงจะถูกบิดเบือน!
นางวิ่งกระหืดกระหอบไปถึงหน้าห้องนอนของย่าจาง แสร้งทำเป็ร้องห่มร้องไห้เสียงดังโอดโอย
"ท่านแม่เ้าขา! ท่านแม่! เกิดเื่ใหญ่แล้วเ้าค่ะ!"
ย่าจางที่กำลังนั่งจิบชาสมุนไพรยามเช้าอยู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ "เกิดอะไรขึ้นแต่เช้า! โวยวายราวกับหมูถูกเชือด!"
หวังซื่อรีบคลานเข้าไปเกาะขาแม่สามี บีบน้ำตาออกมาอย่างน่าเวทนา "ท่านแม่ต้องให้ความเป็ธรรมกับพวกเรานะเ้าคะ! พวกบ้านรอง พวกมัน พวกมันทรยศต่อความไว้วางใจของท่านแม่เ้าค่ะ!"
"มันเื่อะไรกันแน่! พูดจาให้มันรู้เื่!"
"เมื่อวาน ที่มีคนมาบอกว่าเห็นยัยหลิงซีซื้อข้าวขาวกับเนื้อหมูในเมือง ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ คิดว่าเป็แค่ข่าวลือที่พวกชาวบ้านพูดกันไปเรื่อยเปื่อย" นางปาดน้ำตาป้อยๆ "แต่เมื่อครู่นี้ ข้าเข้าไปในครัว แล้วข้าก็ได้กลิ่น กลิ่นน้ำซุปกระดูกหมูที่หอมฟุ้ง มันมาจากชามข้าวของพวกบ้านรองเ้าค่ะ!"
นางชูนิ้วที่เปียกน้ำแกงเล็กน้อยขึ้นมาให้แม่สามีดู "ท่านแม่ดูสิเ้าคะ! นี่ยังมีคราบไขมันติดอยู่เลย! พวกมันแอบซ่อนเงิน! แอบกินของดีๆ ลับหลังพวกเรา! ทั้งๆ ที่เทียนหยูหลานรักของท่านยังต้องอ่านหนังสืออย่างเหน็ดเหนื่อย! แต่ลูกชายของท่านกลับมีปัญญาซื้อของบำรุงให้ลูกเมียกินอย่างสบายใจเฉิบ! นี่มัน นี่มันไม่เห็นหัวพวกเราอยู่ในสายตาเลยนะเ้าคะ! นี่มันคือการอกตัญญูอย่างร้ายแรง!"
ทุกถ้อยคำของนางเต็มไปด้วยการเสี้ยมสอนและยุยง นางจงใจพูดเปรียบเทียบระหว่าง ความสบาย ของบ้านรอง กับความเหนื่อยยาก ของหลานชายสุดที่รัก เพื่อกระตุ้นต่อมความลำเอียงและความโกรธของแม่สามีให้ลุกโชนขึ้นมา!
และมันก็ได้ผล...
เพล้ง!
ย่าจางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรงจนน้ำชากระฉอก! ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของนางบัดนี้บึ้งตึงจนน่ากลัว! แววตาฉายแววโทสะที่เย็นเยียบ!
"ดี ดีจริงๆ" นางเค้นเสียงลอดไรฟัน "ข้าอุตส่าห์เมตตาให้ที่ซุกหัวนอน แต่มันกลับกล้าเนรคุณข้าถึงเพียงนี้! นึกว่าข้าแก่จนหูตาฝ้าฟางมองอะไรไม่เห็นแล้วรึ!"
นางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง! แผ่รังสีอำมหิตออกมาจนน่าขนลุก!
"ไป! ไปเรียกมู่เฉียงกับเทียนหยูมา! วันนี้ ข้าจะไปเยี่ยมพวกมันถึงกระท่อมด้วยตัวเอง! ข้าจะไปดูให้เห็นกับตา ว่าพวกมันจะยังปากแข็งไปได้อีกกี่น้ำ!"
เื่ราวก็เหมือนกับไฟ ขอแค่มีเชื้อไฟและลมปาก ก็พร้อมจะลุกลามได้เสมอ
ระหว่างทางที่คนบ้านใหญ่เดินผ่านลานบ้าน ก็สวนกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็ญาติห่างๆ คนหนึ่งที่กำลังหาบน้ำจากบ่อผ่านมาพอดี
"พี่สะใภ้ใหญ่! มีเหตุใดจึงรีบร้อนกันเช่นนั้น?" ชายผู้นั้นเอ่ยทัก
หวังซื่อหยุดกึก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ทั้งโกรธทั้งตื่นเต้น "จะ จะไม่ให้ข้ารีบได้อย่างไร! พวกบ้านรองน่ะสิ! พวกมันแอบซ่อนเงิน! เมื่อคืนพวกมันมีปัญญาซื้อกระดูกหมูมาต้มซุปกินกันอย่างสบายใจเฉิบเลย!"
คำพูดนั้นราวกับก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำนิ่ง แม้ก้อนหินจะจมหายไป แต่ระลอกคลื่นแห่งข่าวลือกลับแผ่ขยายวงกว้างออกไปไม่หยุดหย่อน
ชายลูกพี่ลูกน้องคนนั้นตาโตเท่าไข่ห่าน เขารีบวางถังน้ำลงทันที "จริงรึ พี่สะใภ้ใหญ่! กระดูกหมูเลยรึ! มิน่าเล่า เมื่อวานข้าเห็นมู่เจิ้งมันดูมีเรี่ยวมีแรงผิดปกติ ตอนเย็นยังช่วยข้ายกกระสอบข้าวตั้งสองกระสอบแน่ะ!"
ชายผู้นั้นก็ไม่รอช้า รีบวิ่งไปที่ลานซักล้าง ที่ซึ่งภรรยาของเขากำลังนั่งซักผ้าอยู่กับกลุ่มหญิงสาวในละแวกนั้น
"นี่ๆ เยว่เอ๋อร์! เ้าได้ยินเื่น่าใรึยัง!" เขาโพล่งขึ้นมาเสียงดัง จนทุกคนหันมามองเป็ตาเดียว "พวกบ้านรองของตระกูลมู่น่ะสิ! เมื่อคืนพวกเขารวยมาจากไหนไม่รู้ มีเงินซื้อกระดูกหมูมาต้มซุปกินกัน! ข้าว่าพวกเขาต้องไปเจอสมบัติอะไรในป่าเข้าแล้วแน่ๆ!"
เพียงเท่านี้ ข่าวลือก็ได้ติดปีกโบยบินไปทั่วทั้งหมู่บ้าน!
มันแพร่จากลานซักล้าง ไปยังร้านขายเต้าหู้ จากร้านขายเต้าหู้ ไปยังร้านน้ำชา และจากร้านน้ำชา ก็เข้าสู่หูของมู่เทียนหยู ที่กำลังนั่งจิบชาพลางอ่านตำราอย่างเกียจคร้านอยู่พอดี
คิ้วของเขากระตุกทันทีที่ได้ยินชื่อบ้านรอง และคำว่าสมบัติ
เขาย่นจมูกด้วยความรังเกียจ ‘พวกชาวบ้านป่าเถื่อน แค่เื่ไร้สาระก็เอามาพูดกันจนใหญ่โต’ เขาคิดในใจอย่างดูถูก แต่ประกายความโลภก็วูบขึ้นมาในแววตาอย่างห้ามไม่อยู่
‘สมบัติ...’
คำนี้มีน้ำหนักกว่าคำว่า โสมป่า หลายเท่านัก! หากเป็สมบัติที่ท่านปู่ทิ้งไว้ให้ล่ะ? หากเป็ทองคำหรือเครื่องประดับล้ำค่าล่ะ?
ความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความขุ่นเคืองและไม่พอใจอย่างรุนแรง ของล้ำค่าเช่นนั้น สมบัติที่จะพลิกชะตาตระกูลได้เช่นนั้น มันควรจะเป็ของ เขา ผู้เดียว! เขาคือความหวังของตระกูลมู่! เขาคือผู้ที่จะสอบเป็ขุนนางในอนาคต!
แล้วพวกบ้านรองมันเป็ใคร? เป็แค่ปลิงที่คอยสูบเืสูบเนื้อ เป็แค่แรงงานชั้นต่ำที่เกิดมาเพื่อรับใช้เขา! การที่พวกมันบังอาจมีของดีๆ ไว้ใน แถมยังนำไปซื้อเนื้อหมูกินกันอย่างสำราญใจโดยไม่นำมามอบให้กับเขาผู้เป็หลานชายสายหลัก นั่นมันคือการทรยศ! คือการไม่เห็นหัวเขาและท่านย่า!
‘พวกมันต้องซ่อนสมบัติเอาไว้แน่ๆ! ยัยเด็กหลิงซีนั่น ั้แ่หายป่วยกลับมาก็ดูมีเล่ห์เหลี่ยมขึ้นเยอะ ต้องเป็ฝีมือของมันแน่ๆ!’
ความโกรธแค้นและความโลภผสมปนเปกันจนใบหน้าของมู่เทียนหยูบิดเบี้ยว เขาวางถ้วยชาลงเสียงดัง เคร้ง! ไม่สนใจสายตาของใครหน้าไหนอีกต่อไป รีบเดินออกจากร้านน้ำชามุ่งหน้ากลับบ้านด้วยฝีเท้าที่รีบร้อน
เขาจะไม่อดทนอีกต่อไป! เื่นี้ต้องถึงหูท่านย่า! และสมบัติทุกชิ้น จะต้องถูกริบกลับมาเป็ของเขาให้หมด