บนรถม้า ชุนเหมยรีบนำตั๋วเงินที่เก็บไว้ยื่นให้อวิ๋นเจียวพร้อมกับมอบกล่องใส่ทองคำแท่งให้อวิ๋นเจียวด้วย ชุนเหมยรู้สึกว่าคุณหนูของตนแม้จะยังเด็ก แต่เป็ดั่งดาวนำโชคโดยแท้ ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดล้วนขายได้ราคาดี
อวิ๋นเจียวเก็บตั๋วเงินไว้ในถุงเงินส่วนตัว กอดกล่องใส่ทองคำแท่งไว้แนบอก จากนั้นก็เอนกายพิงชุนเหมยอย่างเกียจคร้านพลางครุ่นคิดเื่ต่างๆ ไปด้วย
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น รถม้าก็มาถึงตรอกเล็กๆ ด้านหลังศาล อวิ๋นเจียวได้ยินเสียงดังโหวกเหวก “พี่รอง ล้วนเป็เพราะนางผู้นี้ถูกกิเลสครอบงำ หลงเชื่อคำยุยงของผู้อื่น ถึงได้ไปแจ้งความว่าพวกท่านเป็ทาสที่หลบหนีมา!”
ทันทีที่อวิ๋นโส่วจู่พูดจบก็มีเสียงตบหน้าดังสนั่น จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเ็ปของหลิ่วซื่อ อวิ๋นเจียวรีบเปิดม่านรถม้าขึ้นดู ก็เห็นอวิ๋นโส่วจู่ที่มีใบหน้าบวมช้ำ ตบหน้าหลิ่วซื่อที่มีใบหน้าบวมช้ำแดงก่ำไม่ต่างกันจนล้มลงไปกองกับพื้น
หลิ่วซื่อกัดริมฝีปากแน่นอย่างอดทน นางถูกอวิ๋นโส่วจู่โยนความผิดทั้งหมดมาให้ แต่นางกลับไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง สองสามีภรรยาคู่นี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก! อวิ๋นเจียวด่าทอในใจ
อวิ๋นโส่วจงไม่สนใจเขา พอเห็นอากุ้ยมาถึง เขาก็พาผู้ใหญ่บ้านขึ้นรถม้า ไม่แม้แต่จะชายตามองอวิ๋นโส่วจู่อีก
ผู้ใหญ่บ้านขึ้นรถม้าก่อน อวิ๋นเจียวรีบเอ่ยเรียก ‘ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน’ เพื่อเป็การทักทายด้วยท่าทางน่ารัก
แต่เมื่ออวิ๋นโส่วจงขึ้นมาบนรถม้า อวิ๋นโส่วจู่กลับตามเขาขึ้นมาพร้อมทั้งยิ้มหน้าด้านๆ แต่ยังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็ถูกอวิ๋นโส่วจงถีบร่วงลงจากรถม้าจนร่างกระแทกพื้นอย่างแรง
หลิ่วซื่อเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปประคองเขา แต่อวิ๋นโส่วจู่ที่กำลังโมโห กลับระบายความโกรธใส่หลิ่วซื่อ เขายกเท้าเตะนางจนล้มลงไปกลิ้งตลบบนพื้น หลิ่วซื่อจึงร้องไห้ออกมาทันที “พ่อเ้า ท่านเป็อะไรไป ไยถึงต้องมาลงกับข้าเช่นนี้”
อวิ๋นโส่วจู่กำลังมีเพลิงโทสะอัดอั้นอยู่เต็มอก พอหลิ่วซื่อพูดตำหนิเช่นนี้เข้าไปอีก เขาก็ยิ่งโกรธจนตัวสั่น ขึ้นไปนั่งคร่อมหลิ่วซื่อแล้วลงมือทุบตีนาง “นังหญิงตัวซวยอย่างเ้า หากไม่ใช่เพราะเ้าคอยพูดกรอกหูข้าทุกวัน ข้าจะทำเื่โง่เง่าเช่นนี้หรือ? หากยังกล้าพูดอีกสักคำ ข้าจะหย่ากับเ้าเสีย!”
ผู้ใหญ่บ้านกับอวิ๋นโส่วจงเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า อวิ๋นโส่วจงมีสีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยสั่งอากุ้ย “ไปเร็วเข้า!”
“ขอรับ นายท่าน!”
หลังจากที่รถม้าออกจากตรอกเล็กๆ ก็มีรถม้าสองคันติดป้ายร้านฝูหรงเซวียนตามมา
อวิ๋นโส่วจงกำลังรู้สึกประหลาดใจ อวิ๋นเจียวจึงรีบอธิบาย “วันนี้ข้าไปร้านฝูหรงเซวียน บังเอิญเจอกับเ้าของร้านพอดี เขาพอใจสบู่ผลึกแก้วที่พวกเราส่งไปให้มาก จึงตกลงกันว่าต่อไปนี้สบู่ผลึกแก้วของพวกเราจะขายให้กับทางร้านของเขาเพียงเ้าเดียว ดังนั้นเ้าของร้านของพวกเขาจึงมอบของขวัญมาให้สองรถม้าเ้าค่ะ”
มีผู้ใหญ่บ้านอยู่ด้วย อวิ๋นเจียวจึงไม่สะดวกที่จะบอกว่าเ้าของร้านฝูหรงเซวียนคือเด็กหนุ่มที่พวกเขาช่วยชีวิตไว้ จึงไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่น้อย ทว่าถึงแม้จะพูดแค่สั้นๆ ไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึงจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ร้านฝูหรงเซวียนเป็สถานที่ใดกันเล่า นั่นคือร้านขายเครื่องหอมชื่อดังอันดับต้นๆ ของอำเภอ ลือว่าร้านของพวกเขามีสาขาทั่วแคว้นต้าเยี่ย นับว่าเป็กิจการขนาดใหญ่โดยแท้
สบู่ผลึกแก้วที่อวิ๋นโส่วจงทำขึ้นมา กลับไปเข้าตาเ้าของร้านฝูหรงเซวียนได้! ตระกูลอวิ๋นโส่วจงนี่คงเพราะมาจากเมืองหลวง จึงไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย! เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผู้ใหญ่บ้านก็ยิ่งอยากผูกมิตรกับตระกูลอวิ๋นโส่วจงมากขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มๆ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “สบู่ผลึกแก้วคือสิ่งใดหรือ?”
อวิ๋นโส่วจงตอบ “ก็คือสบู่หอม เพียงแต่เจียวเอ๋อร์ของพวกข้าปรับปรุงสูตรใหม่ ทำออกมาจนดูเหมือนผลึกแก้ว มีความโปร่งแสง จึงตั้งชื่อว่าสบู่ผลึกแก้วขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ยิ้มบางๆ แล้วมองอวิ๋นเจียวพลางเอ่ยชื่นชม “เจียวเอ๋อร์นี่ช่างเป็เด็กดี เป็เด็กที่มีบุญวาสนา ยังสามารถทำสบู่หอมได้ด้วย! ลูกๆ ที่พวกท่านเลี้ยงดูมาล้วนเป็เด็กดีกันทุกคน ข้าอิจฉาจริงๆ เลยเชียว!”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ย “ที่เมืองหลวง บรรดาคุณหนูตระกูลต่างๆ ล้วนชอบปรุงเครื่องหอมและแป้งประทินโฉมกันเองทั้งนั้น สบู่หอมก็ไม่ใช่มีแค่เจียวเอ๋อร์ที่ทำเป็ สตรีจากตระกูลอื่นๆ ก็นิยมทำใช้เองเช่นกันขอรับ”
ผู้ใหญ่บ้านจึงถึงบางอ้อ “นี่สินะ ใต้พระบาทโอรส์ แม้แต่ผู้คนก็แตกต่างจากพวกเราที่อยู่ในชนบทห่างไกล เจียวเอ๋อร์ ต่อไปนี้ปู่จางจะพาหลานสาวมาเล่นกับเ้าได้หรือไม่?”
อวิ๋นเจียวยิ้มอย่างใจกว้าง “ได้สิเ้าคะ ขอบคุณท่านปู่จางที่นึกถึงข้าเ้าค่ะ!”
เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่บ้าน้าผูกมิตรกับครอบครัวของนาง อวิ๋นเจียวจึงถือโอกาสเรียกเขาว่า ‘ท่านปู่จาง’ ตามที่เขา้า
อย่างไรเสียในหมู่บ้านก็ยังมีญาติที่แสนจะไร้ยางอายอยู่ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล คอยข่มพวกเขาไว้ เกรงว่าครอบครัวของนางคงถูกพวกเขาก่อกวนจนอยู่ไม่สุข
ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรส ผู้ใหญ่บ้านก็พูดถึงเื่ที่อวิ๋นโส่วจงไหว้วานให้ช่วยเหลือขึ้นมา “เื่ที่ดินได้ความแล้ว อยู่ไม่ไกลจากบ้านที่พวกเ้าพักอยู่ตอนนี้ เป็ที่ดินของตระกูลหวังเก่า”
อวิ๋นโส่วจงขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “ตระกูลหวังเก่า หมายถึงตระกูลของเศรษฐีหวังหรือขอรับ?”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “ใช่แล้วของบ้านพวกเขานั่นแหละ ปีนี้บุตรเขยของหวังโจวอี้ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเมืองฉางอัน บุตรเขยของเขาเป็เด็กกำพร้า เพื่อตอบแทนที่หวังโจวอี้ส่งเสียให้เขาร่ำเรียนมาโดยตลอด จึงปฏิบัติต่อท่านทั้งสองราวกับพ่อแม่แท้ๆ”
“ประกอบกับหวังโจวอี้มีบุตรสาวเพียงคนเดียว จึงตอบรับข้อเสนอของบุตรเขย ย้ายไปอยู่กับบุตรเขยที่เมืองฉางอัน ดังนั้นจึง้าขายที่ดินของบ้านพวกเขาทิ้ง”
อวิ๋นโส่วจงดีใจ “เช่นนั้นก็ดีเลย ข้ารู้จักที่ดินของตระกูลเขา ที่ดินของพวกเขาล้วนเป็ที่ดินชั้นดี ไม่มีที่ดินชั้นเลวเลยสักผืน ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านพวกข้าด้วย”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “ตระกูลเขามีที่ดินทั้งหมดสองร้อยแปดสิบสามหมู่ พร้อมกับบ้านอีกหนึ่งหลัง หวังโจวอี้ขายบ้านกับที่ดินแปดสิบหมู่ที่อยู่ติดกับบ้านให้กับญาติห่างๆ ของตระกูลเขาไปแล้ว”
“ส่วนที่ดินอีกสองร้อยหมู่ที่เหลืออยู่ติดกัน เขาไม่ขายแยก! เดิมทีข้าคิดว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็จะชวนคนอื่นๆ รวมเงินกันแล้วมาซื้อสักหนึ่งร้อยหมู่ แต่ข้าไปหาหวังโจวอี้หลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่ยอม ้าขายทีเดียวทั้งหมด เขาไม่อยากยุ่งยาก”
ที่ดินผืนนั้น ผู้ใหญ่บ้านเองก็หมายตาไว้ เดิมทีเขาคิดจะรวบรวมเงิน แล้วซื้อสักยี่สิบถึงสามสิบหมู่ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะ้าขายทีเดียวทั้งหมด
ตอนนี้เขาบอกเื่นี้ให้อวิ๋นโส่วจงฟัง อย่างแรกก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขานั้นใส่ใจกับเื่ของบ้านอวิ๋นโส่วจง อย่างที่สองก็คือ้าลองเชิงอวิ๋นโส่วจง
เขาพูดจบ สีหน้าดีใจของอวิ๋นโส่วจงก็พลันจางหายไป ที่ดินสองร้อยหมู่ ตอนนี้ครอบครัวของเขาจะเอาเงินมากขนาดนั้นมาจากที่ใดเล่า?
เพียงแต่เขาไม่ได้ปฏิเสธทันที แต่บอกกับผู้ใหญ่บ้านว่า “ท่านรอข้ากลับไปปรึกษากับภรรยาก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยให้คำตอบได้หรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านรีบตอบ “ได้สิ! แล้วก็เื่ที่เ้าฝากข้าหาที่ดินสำหรับสร้างบ้าน เื่นี้ข้าก็สืบมาให้แล้วเช่นกัน”
อวิ๋นโส่วจงรีบถาม “ที่ไหนหรือขอรับ?”
ผู้ใหญ่บ้านตอบ “ที่ดินผืนนั้นอยู่บนเนิน พื้นที่ราบเรียบ อยู่ห่างจากเชิงเขาพอสมควร แม้จะอยู่บนถนนเส้นเดียวกับบ้านตระกูลอวิ๋นเก่า แต่ก็อยู่ห่างกันพอสมควร”
ผู้ใหญ่บ้านรู้สถานการณ์ครอบครัวพวกเขาดี ดังนั้นเงื่อนไขในการเลือกสถานที่สร้างบ้านข้อแรกก็คือต้องอยู่ห่างจากบ้านตระกูลอวิ๋นเก่า “เป็ที่ดินแห้งแล้งชั้นเลวสิบหมู่ เหมาะสำหรับสร้างบ้านเป็อย่างยิ่ง!”
“เช่นนั้นก็ดีเลยขอรับ หลังจากกลับไปแล้ว เชิญท่านพาข้าไปดูหน่อยเถิด หากไม่มีปัญหาอะไร ก็จะได้ซื้อที่ดินสิบหมู่ผืนนี้ไว้ก่อน”
หลังจากตกลงเื่นี้บนรถม้าแล้ว ไม่นานก็มาถึงในตำบล จึงได้แวะรับอวิ๋นฉี่เยว่ที่เพิ่งเลิกเรียนให้กลับบ้านพร้อมกันพอดี
อวิ๋นฉี่เยว่ขึ้นรถม้า แล้วนั่งลงข้างๆ อวิ๋นเจียวพลางเล่าเื่สนุกๆ ในสำนักศึกษาให้นางฟัง เรียกรอยยิ้มจากอวิ๋นเจียวได้ตลอดทาง
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน อวิ๋นโส่วจงก็ไปดูที่ดินกับผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นระหว่างทางกลับบ้าน อวิ๋นเจียวก็เล่าเื่ที่คุยกับผู้ใหญ่บ้านบนรถม้าให้อวิ๋นฉี่เยว่ฟังทั้งหมด