โจวโม่เสวียนพูดอย่างมั่นใจหนักหนาว่า “พวกเขามีแต่จะขอบคุณข้า” องครักษ์หลายคนที่อยู่ข้างหลังต่างพากันมองหลี่หรูอี้ด้วยสีหน้าตึงเครียด กลัวว่านางจะไม่เห็นด้วย
เจียงชิงอวิ๋นถามว่า “พวกเขาเป็ผู้ใด”
“ท่านลุงจาง ท่านลุงหม่า ท่านลุงสวี่ ยังมีท่านลุงหู อ้อใช่ ยังมีท่านลุงติงอีกคน” โจวโม่เสวียนเห็นว่าเจียงชิงอวิ๋นเริ่มมีสีหน้าตกตะลึง จึงรีบแนะนำฐานะของคนทั้งห้าอย่างละเอียด
ที่แท้คนทั้งห้าล้วนเป็แม่ทัพแห่งกองทัพในพื้นที่ทางเหนือ ท่านลุงจางมีตำแหน่งสูงสุดเป็แม่ทัพกุยเต๋อขั้นสาม ที่มีตำแหน่งต่ำสุดคือ ท่านลุงติง ซึ่งเป็แม่ทัพเซวียนเวยขั้นสี่บน
ใต้พรมของเยี่ยนอ๋องโจวปิงมีกองทัพใหญ่สองแสนนาย เป็ทหารขั้นห้าขึ้นไปมีหลายร้อยคน ทั้งห้าคนนี้หากตัดเื่ที่เขาเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาสูงวัยของโจวปิงออกไป พวกเขายังเคยเป็เพื่อนเล่นครั้งเยาว์วัยของโจวปิงด้วย และเป็ผู้ที่เคยทุ่มเทเพื่อให้โจวปิงได้เป็เยี่ยนอ๋อง
มิเช่นนั้นโจวปิงจะไม่ส่งโจวโม่เสวียนมาไหว้ปีใหม่พวกเขาทั้งห้าคนแทนตน
แววตาของเจียงชิงอวิ๋นปรากฏความเคารพเลื่อมใส “ที่แท้เป็ท่านแม่ทัพผู้เฒ่าวีรชนทั้งห้าท่านนี่เอง”
โจวโม่เสวียนถอนใจคราวหนึ่ง กล่าวว่า “ถ้ามิใช่พวกเขาข้าก็จะไม่ร้อนใจเช่นนี้”
หลี่หรูอี้ออกปากว่า “หม่อมฉันเต็มใจจะไปตรวจรักษาให้ท่านแม่ทัพทั้งห้าเพคะ” นึกไม่ถึงว่ามาไหว้ปีใหม่เจียงชิงอวิ๋นจะทำให้นางได้พบกับท่านชายโจวโม่เสวียน หนำซ้ำโจวโม่เสวียนยังจะพานางไปพบกับท่านแม่ทัพผู้เฒ่าผู้เลื่องชื่ออีกหลายคนด้วย
โจวโม่เสวียนเอ่ยด้วยความดีใจว่า “ดี”
เจียงชิงอวิ๋นมองหลี่หรูอี้ ถามว่า “หรูอี้ ข้าจะไปกับเ้าด้วย ดีหรือไม่”
คิ้วงามของหลี่หรูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย ตอบว่า “ตกลงเ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้เอาหีบยามาด้วย และยังไม่ได้บอกผู้ใหญ่ที่เรือนเ้าค่ะ”
เจียงชิงอวิ๋นจึงบอกว่า “เจี้ยนอัน เ้ากลับเรือนไปก่อน แจ้งเื่นี้ต่อท่านพ่อท่านแม่ของเ้าแทนข้า และนำหีบยาของหรูอี้มาพร้อมกันด้วย”
เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่เชื่อใจเจียงชิงอวิ๋นอย่างยิ่ง และเมื่อเห็นว่าโจวโม่เสวียนมิใช่คนมีใจคิดร้ายจึงตอบตกลง
่เวลาที่หลี่เจี้ยนอันกลับไปที่บ้านหลี่ โจวโม่เสวียนก็เล่าถึงอาการเจ็บป่วยของท่านลุงทุกท่านให้หลี่หรูอี้ฟังโดยละเอียด จากนั้นก็เอ่ยอย่างดีใจว่า “มาเร็วมิสู้มาได้จังหวะ วันนี้์ให้ข้าได้พบท่านก็นับว่าเป็โชคดีของท่านลุงทุกท่านด้วย”
หลี่หรูอี้รีบตอบว่า “ท่านชายเพคะ ไม่แน่ว่าหม่อมฉันจะสามารถรักษาท่านแม่ทัพทุกท่านได้นะเพคะ”
โจวโม่เสวียนเอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “ข้ารู้สึกว่าท่านจะต้องรักษาได้แน่”
ป้าหลิวยืนอยู่ข้างหลังเจียงชิงอวิ๋น นางเชื่อมั่นในตัวหลี่หรูอี้อย่างมาก อดชมไม่ได้ว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยฝีมือแพทย์ล้ำเลิศ เก่งกาจเสียยิ่งกว่าแพทย์หลวง จะต้องรักษาอาการเจ็บป่วยของท่านแม่ทัพทุกท่านได้แน่เ้าค่ะ”
เจียงชิงอวิ๋นกลัวหลี่หรูอี้จะมีแรงกดดันมากเกินไป จึงกล่าวว่า “รักษาได้หรือไม่อย่างไรก็ต้องลองดู หากรักษาได้ก็เป็เื่ที่น่ายินดี แต่หากรักษาไม่ได้ก็ไม่เป็ไร”
ในใจของโจวโม่เสวียนอยากให้หลี่หรูอี้รักษาท่านลุงทั้งห้าท่านจนหาย ต่อให้รักษาหายเพียงแค่คนหนึ่งก็ยังดี
ลุงฝูกล่าวว่า “นายท่านขอรับ บ้านสกุลหลี่ยังนำของกินแปลกใหม่มาให้ท่านด้วย บ่าวจะให้คนไปนำมาให้ท่านกับท่านชายลองชิมดูนะขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นหันไปมองพี่น้องสกุลหลี่ และสุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หลี่หรูอี้ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ลำบากเ้าแล้ว”
หลี่หรูอี้เอ่ยเสียงละมุนว่า “ท่านสอนสั่งพี่ชายข้าต่างหากที่ลำบากแล้ว”
เจียงชิงอวิ๋นบอกกับโจวโม่เสวียนที่ประทับใจในอาหารของบ้านสกุลหลี่ว่า “ขนมที่เ้าเอาไปคราก่อนก็มาจากเรือนของพวกเขา ครานี้เ้ามีลาภปากแล้ว”
ป้าหลิวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านชายเพคะ ทั้งเต้าหู้ ขนมไหว้พระจันทร์รสหวาน ถั่วงอก เต้าหู้แห้ง และฟองเต้าหู้ ที่เคยเสวยก่อนนี้ก็ล้วนมาจากบ้านสกุลหลี่ทั้งสิ้นเพคะ”
โจวโม่เสวียนจึงได้รู้ พร้อมเอ่ยด้วยท่าทีเฝ้ารอว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องลองของกินชนิดใหม่ในวันนี้สักหน่อย”
เพียงไม่นานบ่าวก็ยกของทานเล่นเข้ามา ขนมเกลียวทองและข้าวซอยตัดล้วนเป็ของที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะเคยลิ้มรสกันมาก่อนเลย
หลี่หรูอี้ส่งสายตาให้หลี่ฝูคังคราวหนึ่ง เขาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยแนะนำของทานเล่นสองอย่างนี้กับทุกคนด้วยเสียงดังฟังชัด
โจวโม่เสวียนเป็คนชอบกิน อาหารทั้งเหนือใต้เขาล้วนเคยกินมาหมดแล้ว โดยเฉพาะพวกขนมและของว่างนั้นเคยกินมาหลากหลายชนิดนัก เมื่อครานี้ได้ยินเื่ของว่างที่มีเอกลักษณ์ของบ้านสกุลหลี่ ก็เอ่ยปากชมจากใจจริงว่า “ดี” ก่อนจะหันไปมองเจียงชิงอวิ๋นอยู่หลายครั้ง กล่าวว่า “ท่านอาน้อย ท่านช่างมีลาภปากจริงๆ”
หลี่หรูอี้เห็นว่าเจียงชิงอวิ๋นหยิบข้าวซอยตัดมาทานติดต่อกันหลายชิ้น จึงเตือนไปด้วยความหวังดีว่า “ข้าวซอยตัดค่อนข้างเลี่ยน ไม่เหมาะจะทานมากเกินไป พี่เจียงทานให้น้อยหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
“ครั้งที่ท่านอาน้อยของข้าอยู่ที่จวนอ๋อง มิได้เจริญอาหารเช่นนี้เลย” โจวโม่เสวียนพูดต่อว่า “ท่านอาน้อย ข้าจำได้ว่าท่านทานอาหารเช้ามาแล้วนี่”
“นั่งรถม้ามาก็หิวขึ้นมาอีกแล้ว” เจียงชิงอวิ๋นวางข้าวซอยตัดที่อยู่ในมือลงอย่างเสียดาย
หลี่หรูอี้ยิ้มน้อยๆ “ของกินสองอย่างนี้เก็บรักษาได้ง่าย โดยเฉพาะในยามฤดูหนาว วันพรุ่งท่านก็ยังทานได้อยู่เ้าค่ะ”
เจียงชิงอวิ๋นบอกว่า “ข้าฟังคำเ้า”
ไม่รู้เพราะเหตุใด โจวโม่เสวียนจึงได้รู้สึกว่า ท่าทีที่หลี่หรูอี้ปฏิบัติต่อเจียงชิงอวิ๋นนั้นเหมือนกับที่โจวฉยงรุ่ยปฏิบัติกับตน เฉกเช่นพี่สาวปฏิบัติต่อน้องชาย แต่หลี่หรูอี้กลับเป็คนที่อายุน้อยกว่าแท้ๆ จึงคิดในใจว่า หมอเทวดาน้อยจะรู้ชาติกำเนิดของท่านอาน้อยหรือไม่ จึงรู้สึกสงสารและเห็นใจเขา?
ไม่นานนักหลี่เจี้ยนอันก็กลับมา และมีหลี่ซานตามมาด้วย
เจียงชิงอวิ๋นลุกขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอาหลี่ ครานี้รบกวนแล้วจริงๆ ขอรับ”
“มิเป็ไรขอรับ บุตรสาวคนเล็กสามารถไปตรวจรักษาท่านแม่ทัพทุกท่าน นับเป็เกียรติของบ้านสกุลหลี่ของเราขอรับ” ถ้อยคำสละสลวยเช่นนี้เป็หลี่ซานได้ยินมาจากปากของจ้าวซื่อ
โจวโม่เสวียนมองไปทางหลี่ซาน สังเกตว่าเขามีใบหน้าซื่อๆ เหมือนกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ในค่ายทหาร มองออกว่าบ้านสกุลหลี่เป็บ้านเรือนธรรมดาๆ ครอบครัวหนึ่ง
หลี่เจี้ยนอันส่งห่อผ้าเล็กๆ ให้หลี่หรูอี้ “น้องสาว ท่านแม่ให้เ้าเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าผู้ชาย”
หลี่หรูอี้สั่งความกับพี่ชายทั้งสามคนว่า “ให้ท่านพ่อ พี่ใหญ่ และพี่เจียงไปกับข้า ส่วนพวกท่านกลับไปอยู่กับท่านแม่เถิดเ้าค่ะ”
เมื่อประตูใหญ่ของจวนเจียงเปิดออก พวกของโจวโม่เสวียนก็นั่งรถม้าเดินทางไปทางทิศตะวันออก
เพิ่งออกจากเขตอำเภอฉางผิง ก็มาถึงจวนแม่ทัพติงเป็หลังแรก
เวลานี้ทั้งจวนแม่ทัพติงล้วนอยู่ในความโศกเศร้า พ่อบ้านสั่งการลงไปแล้วว่า รอจนท่านแม่ทัพติงสิ้น ก็ให้รีบเปลี่ยนโคมสีแดงเป็โคมสีดำเสีย
ที่แท้คืนวานนี้ท่านแม่ทัพติงอาการกำเริบ เชิญแพทย์เลื่องชื่อมาสิบกว่าคน แต่แต่ละคนพากันส่ายหน้าบอกให้จวนติงทำใจ และเตรียมเื่งานศพไปพร้อมกัน
เหล่าบุตรสาวของแม่ทัพติงที่แต่งออกไปล้วนกลับมา เดิมทีนั้นเพื่อมาไหว้ปีใหม่เขา แต่ครานี้กลับกลายเป็มาดูใจเสียแล้ว
แม้ฮูหยินของแม่ทัพติงจะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่พอเื่มาจวนตัวก็ยังรับไม่ได้ นางจึงร้องไห้จนเป็ลมไปแล้วสองรอบ บุตรธิดาให้นางกลับไปนอนที่ห้อง นางก็ไม่ยอม บอกจะคอยอยู่กับแม่ทัพติงไปจนวาระสุดท้าย
น่าสงสารที่แม่ทัพติงองอาจเกรียงไกรมาทั้งชีวิต ทุ่มเทเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชา อายุยังไม่ถึงสี่สิบก็จะมาป่วยตายอยู่บนเตียงเสียแล้ว
ในยามที่คนทั้งเรือนกำลังเศร้าโศกสิ้นหวังเป็ที่สุด ก็ได้ยินว่า โจวโม่เสวียนเป็ตัวแทนเยี่ยนอ๋องโจวปิงมาเยี่ยมแม่ทัพติง จึงพากันปลาบปลื้มจนน้ำตาไหล ประหนึ่งเห็นเขามาด้วยตนเอง
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงปีนี้อายุได้ยี่สิบสามปี เมื่อเทียบกับรัฐทายาทโจวจิ่งวั่งแล้วยังโตกว่าหลายปี แต่ยามที่อยู่ต่อหน้าโจวโม่เสวียนกลับต้องโค้งตัวคำนับ เขาสะอื้นเอ่ยว่า “ท่านชายพ่ะย่ะค่ะ บิดาของกระหม่อมเจียนจะไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โจวโม่เสวียนตื่นในัก “สองวันก่อนข้ายังได้ยินท่านบอกว่าท่านลุงติงยังดีๆ อยู่นี่ เหตุใดวันนี้จึงไม่ไหวแล้วเล่า”
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงทำงานอยู่ในกองทัพ เป็นายทหารชั้นเจ็ดแล้ว รูปร่างกำยำแข็งแกร่งเหมือนวัว แต่ในยามเศร้าโศกเช่นเวลานี้ กลับปาดน้ำตาร่ำไห้พลางเล่าว่า “พี่สาวและน้องสาวกระหม่อมกลับจวนใน่ปีใหม่ ท่านพ่อดีใจจึงแอบดื่มสุรา ั้แ่วานนี้ก็อาการทรุดหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมอที่มาหลายคนต่างบอกว่า พิษรุกเข้าโจมตีหัวใจบิดาของกระหม่อม ต่อให้เป็ยอดเทพเซียนมาก็ยังช่วยเขาไม่ได้ กระหม่อมคับแค้นใจนัก หากรู้แต่แรกก็จะเอาสุราในเรือนไปเททิ้งเสียให้หมด จะไม่ให้บิดากระหม่อมแอบดื่มแม้แต่หยดเดียว”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้