แทนที่เหลยเจิ้นจื่อจะถามหลัวเลี่ยว่า “เ้าจะตายหรือไม่” คนอื่นกลับคิดว่าเขาควรถามว่า “เ้าจะเสียใจหรือไม่” เพราะทุกคนก็รู้ดีกว่าการที่ไก้อู๋ซวงเกิดใหม่นี้จะทำให้นางมีพลังมากขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้บรรพชนอูอวิ๋นเซียนยังให้ไก้อู๋ซวงศิษย์ของเขาเป็คนสะสางเื่นี้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าอูอวิ๋นเซียนคิดไว้แล้วว่าอย่างไรไก้อู๋ซวงก็ต้องชนะ
แล้วหลัวเลี่ยเล่า?
แค่เพราะเื่ที่ข่งเยวี่ยเจินเคยเคยออกหน้าให้หลัวเลี่ย เขากลับพาตัวเองเข้าสู่อันตรายและเสี่ยงเป็เสี่ยงตายถึงเพียงนี้ เขาไม่เสียใจหรือ
“เหลยเจิ้นจื่อ ท่านจำเป็ต้องไว้หน้าเขาด้วยหรือ พูดไปเลยสิว่าเขาจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน” คนก่อนหน้านี้ที่พูดเหน็บแนมหลัวเลี่ยเอ่ยอย่างเ็า
องค์ชายที่พูดประโยคนี้ไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับเหลยเจิ้นจื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็องค์ชายจากอาณาจักรชาง
ในสองคนนี้ คนหนึ่งคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นและถามอย่างมีชั้นเชิง ส่วนอีกคนหนึ่งกลับเสียดสีอย่างตรงไปตรงมา
หลัวเลี่ยไม่สนใจองค์ชายแห่งอาณาจักรชาง เขามองไปที่เหลยเจิ้นจื่อและพูดอย่างใจเย็น “พวกท่านอาจจะไม่เชื่อ แต่ความจริงแล้วข้าไม่เคยคิดเื่นี้มาก่อนเลย”
“ไม่เคยคิดมาก่อน?” เหลยเจิ้นจื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
องค์ชายแห่งอาณาจักรชางเย้ยหยัน “จะเป็ไปได้อย่างไร เ้าคงไม่กล้าพูดความจริงมากกว่า”
หลัวเลี่ยทำเหมือนไม่ได้ยินประโยคเหน็บแนมขององค์ชายจากอาณาจักรชาง เขาหันไปพูดกับเหลยเจิ้นจื่อด้วยท่าทีที่สงบนิ่งว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าการลงทุนต่อสู้ในครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ ข้าคิดเพียงว่าต้องเอาชนะนางอีกครั้งให้ได้เท่านั้น”
หลังจากนั้นหลัวเลี่ยก็เดินลงบันไดไปโดยไม่สนใจทั้งสองคนอีก
เมื่อองค์ชายแห่งอาณาจักรชางที่แต่เดิม้าจะเยาะเย้ยหลัวเลี่ยถูกขัดด้วยประโยคนี้ ใบหน้าของเขาก็กระตุกทันที
เหลยเจิ้นจื่อและคนอื่นๆ มีสีหน้าที่แสดงถึงความประหลาดใจ
“บ้าไปแล้ว! ไม่สนใจไก้อู๋ซวงหรือ”
“นี่มันบ้าเกินไปแล้ว การที่ไก้อู๋ซวงได้เกิดใหม่ นางจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน และเมื่อพิจารณาจากชัยชนะครั้งล่าสุดของเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้แกร่งไปมากกว่านางเท่าไรนัก ดังนั้นเขาแทบจะไม่สามารถชนะนางได้เลย”
“ใช่แล้ว ท่านบรรพชนอูอวิ๋นเซียนจะต้องสนับสนุนไก้อู๋ซวงอย่างสุดกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้นางแน่ๆ ดังนั้นหลัวเลี่ยก็แทบจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังบ้าจะไปสู้กับนาง ข้าคิดว่าเขาจะต้องเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง คนในโรงเตี๊ยมก็เริ่มสนทนากันอย่างคึกครื้น
เหลยเจิ้นจื่อลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองดูหลัวเลี่ยที่กำลังจะเดินออกไป จากนั้นเขาก็นิ่งเงียบเป็เวลานาน
“เ้าคิดว่าสุดท้ายหลัวเลี่ยจะกลัวและหนีไปโดยที่ไม่ต่อสู้หรือไม่” องค์ชายแห่งอาณาจักรชางเดินไปหยุดอยู่ข้างเหลยเจิ้นจื่อและมองไปยังหลัวเลี่ยที่กำลังจะจากไป เขาถือจอกเหล้าเอาไว้ในมือ ท่าทางสบายๆ เสมือนเทพเ้าที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆมองดูการดิ้นรนต่อสู้ของคนธรรมดา
เหลยเจิ้นจื่อกล่าวว่า “เขาจะสู้จนตัวตายและจะไม่หนีไปอย่างแน่นอน”
“แต่ข้าคิดว่าเขาจะหนีไปอย่างแน่นอน” องค์ชายแห่งอาณาจักรชางกล่าวพร้อมยิ้มเย็น “เพราะทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว!”
เมื่อหลัวเลี่ยได้รับข้อมูลที่ชัดเจนจากหลี่จิ้งและหยางเสี้ยวเสียแล้วว่าถ้าเขา้าจะรวบรวมระฆังจักรพรรดิประจิมให้ได้ครบสมบูรณ์ เขาก็ควรเริ่มสืบจากสมบัติรูปัก่อน และตอนนี้สมบัติรูปัก็กำลังจะให้กำเนิดไก้อู๋ซวง ดังนั้นเขาจึงกลับมาที่จตุรัสเหยียนหลงอีกครั้ง
ครั้งนี้หลัวเลี่ยไม่ได้มาเพื่อตรวจสอบไก้อู๋ซวงแต่เขามาเพื่อสังเกตสมบัติรูปั
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยไม่ได้สังเกตสมบัติรูปัมากนัก เขามุ่งความสนใจไปที่ไก้อู๋ซวงมากกว่า เพราะเขาคิดว่าสมบัติรูปันั้นลึกลับเกินไป มันเป็สิ่งที่ได้รับความสนใจโดยผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับกายทองคำและบรรพชนเชียวนะ แต่ตอนนี้กลับอยู่ที่แคว้นเหยียนหลงเสียได้
เมื่อหลัวเลี่ยหวนกลับมาที่จตุรัสเหยียนหลงอีกครั้ง จัตุรัสเหยียนหลงแห่งนี้ก็ได้รับการคุ้มกันโดยผู้คุ้มกันแล้ว และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ภายในระยะสามสิบจั้ง
ผู้คุ้มกันเหล่านี้ไม่ใช่คนของแคว้นเหยียนหลงแต่เป็คนของสำนักอูอวิ๋นเซียน พวกเขาเป็กลุ่มผู้คุ้มกันที่มีชื่อเสียงนามว่ากลุ่มเต่าสุพรรณ แม้จะมีคนในกลุ่มเพียงสามร้อยคนซึ่งถือว่าเป็จำนวนไม่มาก แต่ทุกคนก็ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังเข้าใกล้ระดับกายทองคำมาก ซึ่งหากนำสมาชิกออกมาจำนวนหนึ่งก็รับรองว่าย่อมสามารถกวาดล้างแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่งในแปดร้อยแคว้นได้อย่างแน่นอน
และมีเพียงบรรพชนอูอวิ๋นเซียนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งกับกลุ่มเต่าสุพรรณนี้ได้ เื่นี้ทำให้รู้ว่าอูอวิ๋นเซียนให้ความสำคัญกับไก้อู๋ซวงมาก
ไม่มีใครกล้ายุ่งกับกลุ่มเต่าสุพรรณ เพราะการหาเื่พวกเขาก็เท่ากับว่าเป็การหาเื่อูอวิ๋นเซียนด้วยเช่นกัน
แต่กับหลัวเลี่ยนั้นค่อนข้างพิเศษ เพราะกลุ่มเต่าสุพรรณคงได้รับคำสั่งให้ขัดขวางหากหลัวเลี่ยเข้าใกล้จัตุรัส ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงไม่ได้บินเข้าไปใกล้แต่เลือกที่จะเดินไปรอบๆ เพื่อสังเกตการณ์แทน
หลัวเลี่ยเงยหน้าขึ้นมองสมบัติรูปั
เมื่อจากภายนอก สมบัติรูปันั้นเป็ัไฟตัวหนึ่งที่มีคล้ายกับจะมีชีวิตจริงๆ
แต่แท้จริงแล้วมันคือสิ่งของ ไม่ใช่ัจริงๆ
หลัวเลี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับระฆังจักรพรรดิประจิมก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา และความทรงจำนั้นยังรวมถึงเื่ชิ้นส่วนทั้งเก้าชิ้นของระฆังจักรพรรดิประจิมด้วย
การที่หลัวเลี่ยได้ฝึกฝนอยู่ในระฆังนั้น ไม่เพียงเป็ส่วนช่วยให้เคล็ดวิชาจักรพรรดิประจิมเข้ากับเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ยังช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการฝึกฝนขึ้นมากจนน่าใ นอกจากนี้เขายังใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับระฆังจักรพรรดิประจิมจากระฆังจันทราที่เขามีอยู่อีกด้วย
ความเข้าใจที่ได้เรียนรู้มาทำให้หลัวเลี่ยมีความมั่นใจระดับหนึ่งในการพิจารณาสมบัติลึกลับรูปันี้
หลัวเลี่ยเอามือไพล่หลัง เขาค่อยๆ หลับตาลงทั้งสองข้าง เขาไม่ได้หยิบระฆังจันทราออกมาเพราะไม่อยากให้ใครเห็นมัน ถึงแม้ว่าตอนนี้สถานที่นี้จะไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังระดับบรรพชน แต่ก็ยังมีศิษย์ของบรรพชนบางคนที่มีระดับกายทองคำอยู่ และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีความรู้กว้างขวาง ทำให้หลัวเลี่ยไม่อยากเสี่ยงนำระฆังจันทราออกมา เพราะระฆังจักรพรรดิประจิมถือได้ว่าเป็สมบัติวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดที่แม้แต่เทพยังยอมรับ หากเขานำมันออกมาอาจทำให้เกิดเื่ใหญ่ได้
เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ใจเป็เหมือนน้ำที่นิ่งสงบ การโคจรพลังในวิธีของเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมก็เริ่มทำงาน
ระฆังจันทราที่อยู่ในกระเป๋าเฉียนคุณของหลัวเลี่ยถูกกระตุ้นด้วยเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม ทำให้หลัวเลี่ยยิ่งรู้สึกถึงสิ่งของที่เกี่ยวของกับระฆังจักรพรรดิประจิมมากยิ่งขึ้น
พรึ่บ!
ทันใดนั้นเปลวไฟที่ลุกโชนก็พุ่งออกมาจากร่างของหลัวเลี่ย
สิ่งนี้เป็เอกลักษณ์ของเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม
ท่าทางของหลัวเลี่ยค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเงียบๆ ท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ
ถ้าก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยดูเป็คนธรรมดาๆ เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ดูสูงส่งคล้ายกับจักรพรรดิที่อยู่เหนือผู้คนใต้หล้ามากมาย
เส้นผมของหลัวเลี่ยเคลื่อนไหวช้าๆ ไปตามสายลมและลมหายใจของเขาก็หอบแรงขึ้นเรื่อยๆ
ระฆังจันทราที่อยู่ในกระเป๋าเฉียนคุณของหลัวเลี่ยส่งผ่านพลังบางอย่างออกมาให้เขา มันค่อยๆ ส่งพลังเข้ามาผสานกับหลัวเลี่ย จากนั้นหลัวเลี่ยก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นและจ้องไปยังสมบัติรูปัราวกับว่า้ามองมันให้ทะลุปรุโปร่ง
การกระทำดังกล่าวของหลัวเลี่ยทำให้คนที่มองอยู่ต่างใ
“เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม!”
“หลัวเลี่ยฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม มิน่าเขาจึงกล้าต่อสู้กับไก้อู๋ซวงและสามารถสังหารนางได้สำเร็จ”
“นี่เป็เคล็ดวิชาอันดับหนึ่งของพลังวรยุทธ์ในระดับหยินหยาง แก่น์ และวังชะตาเชียวนะ อีกทั้งการฝึกฝนยังมีเงื่อนไขมากมาย และมีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้”
“ยิ่งนานวันยิ่งร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าตั้งตารอชมการปะทะกันครั้งที่สองระหว่างหลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงแล้ว”
ทุกคนยิ่งสนใจเื่นี้มากขึ้นเมื่อได้เห็นว่าหลัวเลี่ยฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม
แม้แต่คนจากกลุ่มเต่าสุพรรณเ่าั้ก็มองหลัวเลี่ยด้วยความประหลาดใจ
แน่นอนว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาอันดับหนึ่งของแต่ละระดับในระดับวรยุทธ์นั้นย่อมไม่ง่ายเลย
หลัวเลี่ยไม่สนใจเสียงจากผู้คนรอบกาย เขาเกิดความรู้สึกขึ้นเงียบๆ ว่าเขาไม่อาจมองทะลุสมบัตินี้ได้ และทำได้เพียงััถึงพลังบางอย่างเท่านั้น แม้ว่ามันจะแ่เบาและมองไม่เห็น แต่หลังจากที่หลัวเลี่ยจับััอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็จับพลังที่เกือบจะเหมือนกับพลังของระฆังจักรพรรดิประจิมได้
เขากล้าพูดเลยว่าแม้สมบัติรูปัจะไม่สามารถไขปริศนาทั้งหมดของระฆังจักรพรรดิประจิมได้ แต่ก็สามารถเปิดเผยความลึกลับของระฆังจักรพรรดิประจิมได้
ในขณะเดียวกันหลัวเลี่ยยังค้นพบว่ามีบางอย่างที่กำลังดูดซับแก่นพลังของสมบัติรูปันี้อย่างบ้าคลั่งเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตนเอง และสิ่งๆ นั้นก็คือไก้อู๋ซวง
หากไก้อู๋ซวงดูดซับแก่นพลังของสมบัติระดับสูงนี้ได้ก็จะทำให้ปัญหาด้านสมรรถภาพทางร่างกายที่นางด้อยกว่าหลัวเลี่ยนี้ได้รับการแก้ไข และนางก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้นมากอย่างแน่นนอ
และเื่นี้ก็สร้างความกดดันให้กลัวเลี่ยเป็อย่างมาก