เมื่อชาวบ้านแยกย้ายไปแล้ว ในขณะนั้นเอง มีนายอำเภอถงพร้อมพวกขุนนางผู้ติดเข้ามาในเหมือง หนึ่งในนั้นมีขุนนางโหย่วมาด้วย เ้าหน้าที่ปกครองระดับล่างขั้น 9 เป็นายทะเบียน จัดอยู่ในขุนนางที่มีขั้นซึ่งอยู่ในระดับล่างสุด หน้าตาหล่อเหลา สูงโปร่ง เป็ผู้ที่รักความยุติธรรม และดูเป็บัณฑิตเป็ผู้ที่มีความรู้ แต่ฐานะต่ำต้อย
“มีชาวบ้านร้องเรียนว่า มีญาติพ่อแม่พี่น้องของพวกเขา ถูกจับมาเป็ทาสที่นี่โดยไร้ความผิด” นายอำเภอถงกล่าว เขามาตามหน้าที่ให้ลูกน้องเห็น ทั้งที่จริงรู้เื่ชาวบ้านโดนจับแต่ทำเป็ปิดตาข้างเดียวปล่อยเลยตามเลย
“เป็เพราะท่านไม่ใช่หรือ ข้าส่งข่าวให้ท่านแล้ว ว่ามีทาสหลบหนีไป ให้ท่านช่วยส่งคนจับ แล้วท่านจับมาได้สักกี่คน ทางราชสำนักก็เร่งรัดให้ส่งแร่เหล็กไปทำอาวุธ” ขุนนางผางพูดอย่างไม่เกรงกลัว
“แต่ท่านจะจับพวกชาวบ้านไปเป็ทาสไม่ได้ ชาวบ้านไม่ได้ทำผิดอันใด” นายอำเภอถงกล่าว เขาแสร้งเป็มีคุณธรรม
“ท่านจะให้ข้าทำอย่างไร ถ้าขุดแร่เหล็กไม่ทัน เบื้องบนคาดโทษลงมา ท่านก็อย่าหวังว่าจะรอดเพราะข้าจะดึงท่านลงมาเกี่ยวด้วย” ขุนนางผางกล่าว
“โธ่ คนกันเองแท้ๆ มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย” นายอำเภอถงกล่าว
“ท่านคิดให้ดี ข้าจับชาวบ้านมา ไม่นานก็ปล่อยตัว ถ้าอยากให้ปล่อยตัวเร็วก็ส่งนักโทษใหม่มาให้เป็ทาส” ขุนนางผางกล่าวด้วยความเ้าเล่ห์พูดจากลับกลอก
“เรียนท่านขุนนางผาง ข้าน้อยโหย่วจิ้งขอกล่าวสักคำได้หรือไม่ ชาวบ้านไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่ถูกโทษหนักบังคับใช้แรงงาน ถ้าเื่ไปถึงเบื้องบน ท่านจะรับไหวหรือไม่” ขุนนางโหย่ว ขุนนางระดับล่างกล่าว
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับไว้เอง เพราะถ้าส่งแร่เหล็กไม่ทัน มีผลกระทบต่อา คาดโทษลงมาโดนตัดหัวโทษไม่หนักกว่าหรือ” ขุนนางผางตอบ
“ในเมื่อท่านบอกไม่นานก็จะปล่อยตัวชาวบ้าน ในระหว่างนี้หากมีคนกระทำความผิดเพิ่ม ข้าก็จะส่งตัวนักโทษมาเป็ทาสเพื่อเปลี่ยนตัวชาวบ้านออกไป” นายอำเภอถงกล่าว
“ชาวบ้านธรรมดา จะมีสิทธิ์มีเสียงอะไรไปไกลถึงเมืองหลวง แค่พวกท่านทำทีรับเื่ไว้ ถึงเวลาข้าก็ปล่อยชาวบ้านเอง” ขุนนางผางตอบอย่างไม่เกรงกลัวโทษใด
ทันใดนั้นเฟิงมี่บุกเข้ามาอย่างสุดชีวิต เข้ามายังในเรือนบัญชาการเหมือง ภายในโถงกลางวงสนทนาของเหล่าขุนนาง
“ข้าคือท่านหญิงจากจวนชินฮ๋อง พวกเขาจับข้ามา ช่วยข้าด้วย” เฟิงมี่ะโพูดเพื่อให้เหล่าขุนนางได้ยินอย่างชัดเจน
“เ้าอีกแล้วรึ นางท่านหญิงทาส นางเด็กบ้า ชอบอ้างตัวว่าเป็ท่านหญิง” ขุนนางผางกล่าวปัด
“ข้าไม่ได้บ้า ข้าคือท่านหญิงจริงๆ ช่วยข้าด้วย” เฟิงมี่กล่าวแย้ง และร้องขอวิงวอน
“จับตัวนางไป และเอาไปโบย 20 ไม้ โทษฐานอ้างตัวเป็สตรีสูงศักดิ์” ขุนนางผางสั่งทหารจับตัวนางเอกแล้วลากออกไป
“ช้าก่อน โปรดละเว้นโทษให้นางด้วย นางอาจยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์” ขุนนางโหย่วขอร้องแทนตามวิถีสุภาพชน
“ไม่ต้องขอร้องแทนนาง นางแอบอ้างมาหลายครั้งแล้ว” ขุนนางผางปฏิเสธ
“ถ้าพวกท่านไม่มีธุรอะไรแล้ว ก็กลับไปได้ละ ส่งแขก” ขุนนางผางเชิญนายอำเภอถงและคณะออกไปนอกเหมือง
เฟิงมี่โดนโบย 5-6 ครั้ง นางก็ร้องเจ็บเจียนตาย ทหารผู้คุมเห็นใจจึงลดแรงลง ดูเหมือนโบยหนักแต่จริงๆ ไม่ได้หนัก แต่ก็ทำให้ร่างกายอันบอบบางของแม่นางน้อยอายุ 13 ปี ระบมไปทั้งตัว ้าได้รับการพักฟื้น แต่ไม่มียารักษาหรือยาทาแผล แม่นมเฝิงได้แต่เอาผ้าชุปน้ำเช็ดทำความสะอาดผิวที่แตกเืไหล เช็ดไปร้องไห้ไป องครักษ์เห็นดังนั้นจึงวิ่งออกไป หมายจะใช้กำลังทำร้ายขุนนางผาง แต่ไม่เป็ผลเพราะสู้ทหารที่มีจำนวนมากกว่าไม่ได้ เขาเลยโดนรุมกระทืบและถูกโยนกลับไปที่หมู่บ้านทาสในเหมือง
เฟิงมี่ใช้เวลา 15 วันกว่าแผลจะดีขึ้นโดยไม่มียารักษา แต่ละวันปวดแผลอย่างทรมานในระหว่างที่พักฟื้น แม่นมเฝิงต้องทำงานเป็ 2 เท่า เพื่อที่จะทำงานแลกอาหารเอามาให้ท่านหญิงกินประทังชีวิต ส่วนองครักษ์จ้งถูกลงโทษให้ทำงานที่หนักขึ้นเป็เวลา 1 เดือน
ในที่สุดท่านอ๋องบิดาท่านหญิงของเฟิงมี่สั่งแปะรูปวาดเหมือนตามหานางไปทั่วทุกเมือง รูปเหมือนมาถึงมือของขุนนางผาง เห็นแล้วจึงใเป็อย่างมาก แม้จะเป็แค่รูปวาดแต่ก็วาดคล้ายเฟิงมี่หลายส่วน ไม่เหมือนซะทีเดียว แต่ก็ทำให้ขุนนางผางมั่นใจว่าเฟิงมี่คือท่านหญิงจริงๆ เพราะท่วงท่ากิริยาการพูดนั่งเดินทุกอย่างเหมือนสตรีชั้นสูงที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี แต่ด้วยความฉลาดและเ้าเล่ห์กลัวว่าจะได้รับโทษ ขุนนางผางจึงให้เฟิงมี่เป็ทาสต่อไป เพราะไม่มีใครมาค้นหาถึงในเหมือง อีกทั้งถ้าปล่อยนางกลับจวนไป เกรงว่าจะมีโทษกังขังเชื้อพระวงศ์ จึงรอให้เวลาผ่านไปล่วงเลยไปหลายเดือน จนเื่ตามหาท่านหญิงเงียบลง
วันหนึ่งองค์ชายออร์จิล องค์ชายแห่งเผ่าอูลาน (ชมเผ่าที่กำลังรบกับต้าลู่ในขณะนี้) ได้รับคำสั่งจากท่านข่าน ให้เขาลักลอบซื้อเหล็กกลับไปยังชนเผ่าอูลานเพื่อทำเป็อาวุธ พระองค์ปลอมตัวเป็พ่อค้ามาพร้อมกับคาราวานลักลอบเข้าเมือง และได้เข้ามาถึงอำเภอเจี้ยนเค่อเพื่อเจอกับขุนนางผางที่เหมืองเหล็ก
องค์ชายออร์จิลปลอมตัวเป็พ่อค้านามว่า ฟู่เหล่าอิง ส่วนภาษาเผ่าอูลาน คำว่า ออร์จิล แปลว่า อินทรี และภาษาต้าลู่คำว่า เหล่าอิง แปลว่า อินทรี เช่นกัน ส่วนแซ่ฟู่ มาจากคำว่า ร่ำรวย เขาเป็ชายหนุ่มที่หล่อเหลา สูงใหญ่ ร่างกายกำยำดุจดั่งยอดนักรบ
แท้ที่จริงแล้วขุนนางผางขายชาติ เป็ขุนนางที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน เห็นเงินทองสายตาลุกวาว เขาลักลอบขายเหล็กหลวงให้ชนเผ่าอูลานมานานแล้ว ที่ผ่านมาที่ได้จำนวนแร่เหล็กเยอะๆ เพราะเขาใช้งานทาสขุดแร่เหล็กอย่างหนัก จนทาสบางคนเหนื่อยตายคาเหมือง
ด้วยความสงสัยว่าเหตุใดแคว้นต้าลู่ถึงมีแร่เหล็กเยอะ องค์ชายออร์จิลจึงขอขุนนางผางเข้าไปดูด้านในเหมือง เจตนาเพื่อจะมาสอดแนมดูว่าชาวต้าลู่ขุดแร่เหล็กด้วยวิธีใด เขาเดินเข้ามาจนถึงบริเวณที่เหล่าทาสทำงานอยู่
เฟิงมี่ได้ยินว่าเขามาทำการค้ามาซื้อแร่เหล็ก จากที่นางสังเกตเขา ทั้งรูปร่างหน้าตาที่สูงใหญ่ดั่งนักรบ ทั้งสำเนียงการพูด นางแค่มองปราดเดียว นางก็รู้ว่าเขาไม่ใช่พ่อค้าธรรมดาแต่เป็นักรบเผ่าอูลาน เขามาซื้อเหล็กเพื่อทำากับต้าลู่
เพื่อหนทางรอดแม้เพียงแค่ส่วนเดียวก็ตามเฟิงมี่ก็พร้อมจะเสี่ยง ในขณะที่องค์ชายออร์จิลกำลังเดินสำรวจ เฟิงมี่ได้โยนหินสะกิดเขาให้หันมา แล้วกวักมือเรียกให้ไปหลังหินก้อนใหญ่ที่นางหลบอยู่
“เ้าคนนอก มานี่ๆ” เฟิงมี่กระชิบเรียก พร้อมกับกวักมือให้ไปหานาง
“เ้าเรียกข้าด้วยเหตุใดหรือ” องค์ชายออร์จิลเดินมาหาพร้อมตั้งคำถาม
“ข้าไม่ใช่ทาส พวกข้าถูกจับมาที่นี่ ท่านช่วยข้าได้หรือไม่ พวกเราล้วนเป็ชาวบ้านไร้ความผิด” เฟิงมี่ขอความช่วยเหลือพร้อมกับเปิดชายเสื้อให้เห็นว่าไม่มีรอยตราประทับทาส
“ข้าช่วยเ้า แล้วข้าจะได้อะไร” องค์ชายออร์จิลถามกลับ
“ถ้าท่านช่วยพวกข้า ท่านจะสามารถตัดจำนวนอาวุธของศัตรูได้ แผนของข้าคือให้ท่านซื้อแร่เหล็กไปให้มากที่สุดจนหมดคลังได้ยิ่งดี แล้วช่วยพวกข้าฝ่าประตูเหมืองออกไป เพียงเท่านี้ในเหมืองก็จะว่างเปล่าไม่มีคนขุด ท่านก็จะได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง” เฟิงมี่ลองเสี่ยงพูดแผนให้ฟัง ถ้าเขาคือชนเผ่าอูลานจริง เขาต้องถูกใจแผนนี้
“เ้ารู้ตัวตนของข้า” องค์ชายออร์จิลใในความฉลาดของเฟิงมี่ และตกลงดำเนินแผน เพราะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้นเฟิงมี่เล่าแผนให้ฟังอย่างละเอียด โดยมีไฟไหม้เป็สัญญาณ
เฟิงมี่รวมหัวกับพวกชาวบ้าน และเหล่าทาสหลบหนี โดยให้กลุ่มผู้ชายลอบเผาเรือนบัญชาการ เผาห้องเก็บเสบียง และห้องสำคัญต่างๆ พอทหารช่วยกันดับไฟ ในจังหวะที่ทหารเฝ้าประตูหละหลวม พวกองค์ชายออร์จิลปลอมเป็กลุ่มคนชุดดำปิดหน้า พวกเขาเห็นไฟไหม้เป็สัญญาณจึงเข้าบุกมาช่วยทุกคนฝ่าประตูเหมือง บุกพร้อมกันทั้งด้านนอกและด้านใน ทำให้ทุกคนฝ่าประตูเหมืองออกไปได้สำเร็จ วิ่งกันกระจัดกระจายไปคนละทิศ
กลุ่มของเฟิงมี่หนีไปด้วยกัน แต่โดนทหารตามล่า ในระหว่างหนีองครักษ์จ้งเข้าสู้กับทหารหวังเป็นกต่อให้ท่านหญิงหนีไปแต่พลาดท่าถูกฆ่าตาย เฟิงมี่กับแม่นมเฝิงหนีสุดชีวิตจึงรอดไปได้
หลังจากนั้นองค์ชายออร์จิลและพวกขนแร่เหล็กกลับชนเผ่าทันทีด้วยคาราวานพ่อค้า ก่อนเดินทางได้เตรียมเกวียนซึ่งเอาแร่เหล็กไว้ด้านในแล้วเอาสินค้าวางทับหลายชั้น จึงรอดพ้นจากด่านตรวจคนเข้าออกเมืองผ่านไปได้ทุกเมือง
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความเสียหายให้ขุนนางผางเป็อย่างมาก ไม่มีทาสเหลือสักคน เพื่อทางรอดจึงแบกหน้าไปขอทาสเพิ่มจากนายอำเภอถง ได้มาไม่ถึงยี่สิบคน แต่ก็พอกลบเกลื่อนความผิดเขาได้ ดังนั้นในเหมืองจึงมีคนทำงานต่อเพราะความช่วยเหลือของนายอำเภอถง
ส่วนเื่เฟิงมี่ ขุนนางผางไม่มีเวลาไปสนใจ จึงสั่งทหารไม่ต้องไปจับนาง และทำเหมือนว่าท่านหญิงไม่เคยมาที่นี่มาก่อน หากนางรอดไปถึงจวนอ๋องได้ คิดจะกลับมาเอาโทษเขา เขาก็จะปฏิเสธไปว่าไม่เคยจับเชื้อพระวงศ์มาก่อน อีกทั้งไม่มีหลักฐานเอาผิดเขาได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้